14 ส.ค. เวลา 17:40 • ดนตรี เพลง

แด่เธอ..ทีมงาน ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ “PARADOX อภินิห่านคอนเสิร์ต 30 ปีแสง แรงทะลุจักรวาล”

ทีมเวิร์กนั้นสำคัญ ! การจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ต้องมีทีมเวิร์กและทีมงานเบื้องหลังคอยช่วยสนับสนุนตรากตรำไปด้วยกัน การทำงานคนเดียว ไม่มีทางเป็นไปได้ คอนเสิร์ตจบไป ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะจำได้แต่ภาพนักร้องนำหรือวงดนตรีนั้น ๆ หรือถ้าผู้จัดมีชื่อเสียงก็อาจจะจำได้บ้าง แต่จริงแล้วกลุ่มทีมงานผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมขนาดใหญ่ มีบทบาทและความสำคัญเป็นอย่างมาก เรียกว่าถ้าไม่ได้คนเก่งมาร่วมงาน ก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
คอนเสิร์ตใหญ่ครบรอบ 30 ปีประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สิ่งที่ต้องชื่นชมมาก ๆ ก็คือ คนทำงานเบื้องหลัง กลุ่มคนที่ทุ่มเทสุดกำลังใจกาย มากกว่านักดนตรีอย่างพวกเราเสียอีก สตาฟทีมงานตื่นมาตั้งแต่เช้า นั่งประชุมกันถึงตีสามตีสี่ อดหลับอดนอน วางแผน แก้ปัญหา ทำอย่างนี้มาตลอดหนึ่งเดือน (หรือมากกว่า) น่าสงสารและเห็นใจมาก
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ วันนี้ก็เลยจะนำมาเล่าด้วยความสนุกสนานปนความอึด ถึก ทน ของทีมงานหลาย ๆ ฝ่าย (ขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมจะขอทยอยเขียนถึงท่านต่าง ๆ ใครที่ยังไม่ได้พูดถึง ก็ขอยกไปตอนต่อไปนะครับ)
บุคคนสำคัญท่านแรก เป็นผู้ปิดทองหลังพระมาตั้งแต่อดีตกาล เป็นน้องที่ทุ่มเททุ่มใจให้วงอย่างเต็มที่มาก ๆ ๆ และมาก
“น้องตูน”
น้องตูนคนนี้นี่แหละ แม่พระ หัวจักรผู้ขับเคลื่อน คอยช่วยสานฝันให้กับพวกเราวง Paradox ได้ทำคอนเสิร์ตครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี
คอนเสิร์ตใหญ่ที่ผ่านไป ในสายตาของผม (ส่วนตัว) จะเห็นภาพหน้าคนเด่น ๆ อยู่ 3 ท่าน ท่านแรก คือ “พี่สอง“ ท่านที่สามก็คือ “ป๋าเต็ด” ส่วนภาพที่สอง ก็จะเห็นใบหน้า “น้องตูน” ลอยเด่น แบบถือไม้เรียวรอไล่ตีก้นแต่ละคนให้เข้าที่เข้าทาง ถ้านึกเป็นภาพ ก็เป็นภาพคุณครูกำลังแกว่งไม้เรียวไล่ต้อนเด็ก ๆ วิ่งไปมาแบบ “จับปูใส่กระด้ง” ผมมักได้ยินประโยคติดปาก
“โอยย หัวจะปวด !”
“กูจะบ้าตาย !”
พลางทำหน้าเชิด ๆ มองต่ำ พยักหน้า กระดิกคิ้วเอือม ๆ กอดอก คล้ายครูฝ่ายปกครองกำลังยืนรับเรื่อง เด็กงอแงวิ่งมาบอก หนึ่งวันพันเรื่อง แล้วปากก็บ่นพึมพำ ส่ายหน้าแบบเอือมระอา อ่อนล้าเหลือเกิน แต่ก็ยังช่วยเหมือนเดิม จริง ๆ ก็เป็นคุณครูผู้ใจดีนั่นแหละ แค่ขี้บ่นไปอย่างนั้น เพื่อความบันเทิง อิอิ
ย้อนเวลากลับไป (อีกแล้ว !) 10 ปีก่อน น้องตูนทำหน้าที่เป็นโปรโมเตอร์ของค่ายจีนี่ หน้าที่ คือ ดูแลผลงานของวงในค่าย เปรียบเทียบก็คล้ายโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์นั่นแหละ คอยดูแลภาพรวมทั้งหมด เป็นคนคอยประสานโปรเจกต์ของวงให้เกิดขึ้นจริง เช่น งานอัลบั้มในค่าย จะมีหน้าที่นี้หลายคน แต่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้ตูนต้องมาดูแลวง Paradox ผมก็เลยรู้จักกับตูนตั้งแต่บัดนั้น
การทำงานของตูนทำให้ผมทึ่งและประทับใจ เพราะน้องตูนคล่องแคล่ว ที่สำคัญทำงานแบบเกินร้อย ทำงานด้วยใจ ไม่ใช่แค่ดูแลงานตามปกติ แต่น้องตูนคอยเป็นที่ปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง รับฟัง แก้ปัญหา เป็นเพื่อนไปนั่งกินข้าว ฟังผมบ่นไปเรื่อย เอาตามตรงนะครับ
มานั่งนึกแล้ว ใครทำงานกับผมนี่ปวดหัวไอ้เรื่องทวงงานเพลง โดนกันมาทุกรุ่นจริง ๆ ต้องมาประกบ รีดเลือดกับปู ความยาก ก็คือ ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ผมแต่งเพลงมาส่งสักที (ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน อิอิ) เหมือนเจ้าหนี้ที่ไม่รู้จะตามทวงหนี้ยังไง ก็ได้แต่ประกบตัวไป มีงานนิด ๆ หน่อย ๆ งอกมา ก็ค่อย ๆ เก็บตกทีละนิดทีละหน่อย เหนื่อยมากครับ ทำงานกับผมเนี่ย อิอิ (ชิงออกตัวไว้ก่อนเลย)
น้องตูนกลายเป็นต้องคอยรับฟังอย่างเข้าใจ เนื่องด้วยต้องทวงงานที่ไม่เสร็จ (เรื่องส่วนใหญ่จะเรื่องงานเพลงนี่แหละ) ปากร้ายใจดี แต่จริง ๆ ผมว่าน้องตูนใจดี ทำเสียงดังไปอย่างนั้นแหละ แต่ทุกครั้งที่ผมท่าจะแย่ น้องตูนจะพุ่งมาช่วยก่อนเป็นอย่างแรก แล้วก็จะตบท้ายด้วยประโยคเดิม ๆ
“โอยย หัวจะปวด ! กูอยากจะบ้า”
ผมอ้าปากทีไร จะมีคำว่า
“ไง ว่ามา ?”
สวนขึ้นมาพร้อมหน้าแบบเอือม ๆ (ไอ้นี่จะอะไรอีก) แต่ถ้ามีปัญหาแบบจริงจัง จะมีคำว่า
“พี่ ...” แบบเน้นเสียงยาวขยี้โทนสูง
ถ้าเสียงแบบนี้ก็คือรู้เลยว่า มีการขอคำปรึกษาอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากนั้นน้องตูนก็ย้ายไปทำงานกับทีมคอนเสิร์ตของป๋าเต็ด ก็จะได้เจอกันตามงานต่าง ๆ ประปราย แต่พอมีงานใหญ่แบบนี้เกิดขึ้น ก็เลยได้หวนกลับมาเจอกันอีกครา การร่วมงานคราวนี้ เลยเหมือนกับการรียูเนียน ไม่ใช่จะมีแต่คนดูที่มาคืนสู่เหย้า ทีมงานก็ไม่ต่างกัน เป็นการรวมรุ่นหลาย ๆ กลุ่ม ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
โดยตูนเป็นคนคอยประสานกับพี่สอง ทำหน้าที่ช่วยบริหารระบบทีม ไม่ต่างจากสมัยทำที่จีนี่ อย่างที่บอกไปว่าคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ ผมไม่ค่อยได้รู้ระบบงานอะไรเท่าไหร่ ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองให้รอด ไม่ป่วย ไม่ตาย เป็นใช้ได้ ก็เลยจะไม่ได้เห็นมุมของการทำงานเบื้องหลังมากนัก
แต่ก็มั่นใจได้เลยว่า น้องตูนเต็มที่กับงานนี้ มั่นใจว่าทำเกินหน้าที่อย่างแน่นอน อาจจะด้วยความที่ต้องตามทวงงาน หรือคอยสร้างโปรเจกต์อัลบั้มที่ผ่านมา หรืออาจจะเป็นแฟนเพลงชื่นชอบเพลงอยู่แล้ว ก็มิทราบได้ เลยทำให้น้องตูนมีความ “อิน” กับเพลงของวงทุกเพลง เรียกว่าไม่ต่างจากสมาชิกวงคนหนึ่งเลยทีเดียว
ดังนั้นเวลาเรียงเพลง หรือพูดถึงเพลงนั้นเพลงนี้ น้องตูนสามารถจินตนาการตามไปได้อย่างรู้ทาง และช่วยประสานกับทีมต่าง ๆ คอยแก้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ ผมจะเห็นน้องตูนกับพี่สองนั่งโต๊ะคุยงานปรับแก้กันตลอดระยะเวลา 1 เดือนเต็ม ๆ ตั้งโต๊ะประชุมกับทีมงานกันอยู่หน้าประตูห้องซ้อมที่ตึกแกรมมี่
ระหว่างซ้อม ตูนก็จะเดินไปมา เข้า ๆ ออก ๆ หน้าตาเหมือนคนแบกโลก ดูเป็นกังวล แล้วก็แวะมานั่งแหมะดูวงซ้อม แววตาเหม่อลอย (รู้เลยว่ากำลังใช้สมองแก้ปัญหาอยู่) แล้วก็จบท้ายด้วยการบ่นอุบอิบ
การทำคอนเสิร์ตใหญ่คราวนี้ เราได้ทีมงานเก่ง ๆ หลากหลายทีม ทั้งทีมคนรุ่นใหม่ หน้าใส ๆ วัยกระเตาะ แต่ฝีมือขั้นเทพ เริ่มด้วยทีมงานหน้าใหม่ที่พี่เต็ดภูมิใจ เป็นทีมดิไซเนอร์ออกแบบเวที คือ ทีมชื่อ “AutoSave” สมาชิก คือ พง, แพ่ว, อามีน, แบม, แป้ง, ออม, เป้, โด้, เอ็ม และน้องอีกคนที่จำชื่อแม่นเลยคือ “รัสเซีย” (คนอะไรชื่อรัสเซีย?)
เวลาเข้าประชุมจะได้ยินพี่เต็ดพูดประโยคซ้ำ ๆ “เดี๋ยวให้ทีมรัสเซียจัดการไป” ฟังแล้วตะหงิด ๆ ทุกที เพราะผมจะสับสนกับชื่อประเทศ แล้วมักจะเข้าใจผิด นึกว่าให้ทีมงานจากประเทศรัสเซียเข้ามาดูแล (โกอินเตอร์) อีกอย่างที่ยิ่งขัดแย้งมาก ๆ ก็คือ น้องรัสเซียในจินตนาการของผม คือ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ บึกบึน หน้าตาเอาจริงเอาจัง คิ้วขมวด พร้อมบวก บ้าพลัง ออกแนวบอยโลโมฯ หรือนักมวยรัสเซียเคราดก ประมาณนั้น (สงสัยดูมวย ONE บ่อยไป ฮ่า ๆ )
แต่พอมาเจอตัวจริง… น้องรัสเซียกลายเป็นสาวหมวย ตัวเล็ก ๆ ตาตี่ หน้าตาอมยิ้ม ตาหยี๋ ๆ อารมณ์ดีไปซะอย่างนั้น (ถ้ามีทีมงานชื่อ ยูเครน ไม่รู้จะร่วมงานกันได้ไหมนะครับ อิอิ)
อีกทีม คือ ทีม “All Area” มี ตูน, แบมแบม, ตุ๊ก, แกงค์, มิลลี่ และมีทีมโปรดักชันที่ดูประกอบร่างเวที และดูแลซื้อพร็อปทั้งหมดในงาน
ส่วน แบงค์, พีซี่, ฟิว, นุ่งนิ่ง ทีมนี้จะเหนื่อยหน่อยในการประดิดประดอยก่อร่างสร้างเวที อย่างที่ทุกท่านได้เห็นกัน
มิวสิกไดเรกเตอร์ หรือผู้ดูแลการเรียงเพลงในโชว์ คอยฟังและดูความต่อเนื่องกราฟของอารมณ์เพลงต่าง ๆ ให้ลื่นไหล และทำเสียงดนตรีเชื่อมระหว่างเพลง ก็คือ “น้องข้น Bomb At Track” มือเบสสุดเท่ของวงร็อกขวัญใจวัยเหลน หลานรักของพี่สอง ที่ถูกดึงมาช่วยเรียงโชว์
อันนี้ผมนับถือมากจริง ๆ เพราะการจะมานั่งฟังเพลงของวงคนอื่นจำนวนมาก แล้วต้องเข้าถึงความหมายและอารมณ์ได้นี่ทำกันยาก ส่วนใหญ่จะเข้าไม่ถึง แต่น้องข้นศึกษาทำการบ้านมาอย่างดี เรียกว่ารู้ท่อนเพลงบางเพลงดีกว่าตัวผมเสียอีก (ฮ่า ๆ ) จนบางทีกลายเป็น ผมต้องถามน้องข้นเสียเองเกี่ยวกับข้อมูลเพลงนั้น ๆ น้องข้นจะมาคอยวิเคราะห์ให้ฟังว่า เพลงนี้ควรสลับมาอยู่ตรงนั้นตรงนี้มากกว่า คอยเสนอไอเดียร่วมกับพี่สอง ปรับแก้ทางกันตลอดเวลา ซ้อมเสร็จก็เอาละ แก้กัน
พี่แหม่ม เจ้าเก่า ทำ AR ประสานงานศิลปินและ Guest ต่าง ๆ น่าจะอาวุโสสุดในทีมมั้ง อิอิ
ส่วนทีม “หน้าตั้ง” คนเยอะมาก นำโดย ปิงและน้องมิน ที่คอยเป็นร่างทรงให้ตูน ประสานงานเรื่องเครื่องดนตรีต่าง ๆ และคุยกับตูนในการเข้าออกของศิลปินและ Guest เพื่อจะได้มาร์กจุดถูก
อยากเล่าเรื่องตลกปนหลอน เกี่ยวกับ “เสียงกระซิบ” ที่ตามหลอกหลอนจนวินาทีสุดท้ายของโชว์ เกริ่นนิดหนึ่งก่อนว่า สิ่งที่คนดูอาจจะไม่ทราบและไม่รู้ เวลาดูโชว์เคยคิดไหมว่า ศิลปินเขารู้คิวตัวเองกันได้อย่างไร วิธีแรกก็คือ “จอมอนิเตอร์ตรงหน้าศิลปิน” จอโทรทัศน์จอแบน ๆ จะคอยพิมพ์ขึ้นทั้งเนื้อเพลง และอีกจอก็เอาไว้ขึ้นคิวสิ่งที่ต้องทำในโชว์ต่าง ๆ (ซึ่งผมนั้นเกลียดสคริปต์มาก เพราะมันทำให้กังวลและเกร็ง ยิ่งคอนเสิร์ตใหญ่ ยิ่งบทพูดสารพัดสิ่ง ยุบยับจนตาลาย (แอบบ่น))
และอีกวิธีที่เนียนกว่า แต่ก็แอบหวาดเสียว นั่นก็คือ “พรายกระซิบ” หรือการใช้ไมค์พูดคิวต่าง ๆ ผ่านเข้าไปทางหูฟังหรือมอนิเตอร์ของนักดนตรี วิธีนี้จะช่วยย้ำและคอยบอกคิวอีกรอบให้นักดนตรีเตรียมพร้อมขึ้น เช่น “3…2...1... พี่ ๆ เตรียมออกไปยืนตามจุดมาร์ก เดี๋ยวจะมีพลุไฟพ่นที่หน้าเวที ระวังอย่าไปยืนตรงนั้น เดี๋ยวได้กินไข่ลวก !” อะไรทำนองนี้
ผู้ทำหน้าที่นี้ ผมค้นหาตัวอยู่ตั้งนานว่าใคร เพราะจะได้ยินแค่เสียงลอย ๆ แต่มองไปในหมู่ทีมงานหลักสิบ เราจะดูไม่รู้เลยว่าใครกันเป็นคนพูด เชื่อไหมครับว่า จนจบโชว์ไปแล้ว ผมถึงเพิ่งได้รู้ว่า เจ้าของเสียงกระซิบนั่น คือ “น้องมิน“ แห่งทีมหน้าตั้ง (ทีมเยอะจริง) สาวแว่นหน้าตาเรียบเฉยคนนั้น จริงแล้วนั่งโต๊ะอยู่ข้างหน้าผมนี่เอง ในห้องซ้อม แต่ด้วยจังหวะนรกหรืออะไรมิทราบ
ผมหาต้นตอเสียงไม่เจอ คือ เสียงออกไมค์จะเป็นจังหวะหลับตา ไม่ได้มอง หรือด้วยความที่ทีมงานยืนกันเยอะ ตาลาย ดูไม่ทันว่าใครกันที่พูดไมค์ ประกอบกับผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะค้นหาเสียงนั้นด้วย อารมณ์จะประมาณหนังผี ที่พระเอกหูแว่ว ได้ยินคนพูดข้างหู แต่พอมองหา มองไปในฝูงชน กลับไม่เจอใคร ! ”จนผมเริ่มหลอนกับเสียงพรายกระซิบ !“
ช่วงซ้อมแรก ๆ ระหว่างกำลังเล่นและร้องเพลงอยู่นั้น ในหูฟังอยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเย็นยะเยือกของผู้หญิงพูดอยู่ข้างหู เสียงอย่างชัด
“เดี๋ยวจะมีเสียงแมลงวัน 3 วิ แล้วเข้าเพลงเลยนะคะ”
ผมนี่สะดุ้งเลย เพราะไม่ทันต้้งตัว สติเสียไปเลย (ฮ่า ๆ ) แล้วก็จะมีคิวไกด์พรายกระซิบที่หูแบบใกล้ราวหายใจรดต้นคอโผล่มาอีกในช่วงต่าง ๆ หรือบางช่วงระหว่างกลางเพลงก็มีพูดแทรก เพื่อบอกคิวต่อไป แต่ผมนั้นเกิดอาการ “หลอน !”
หลอนที่หนึ่ง คือ กังวลกลัวว่าเสียงดนตรีที่ดังจะย้อนเข้าไมค์ที่ใช้พูด แล้วเสริมเฟดทำให้มีผลกับการได้ยิน เช่น ทำให้เสียงร้องก้องขึ้น บวมขึ้น เนื่องจากเสียงรั่วเข้าไมค์ แล้วมาบวกกับไมค์ร้องของตัวเอง ซึ่งทีมงานบอกว่าจะคอยปิดเปิดให้ ไม่ต้องห่วง (แต่ผมอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก ๆ ถ้าลืมปิดไมค์นี่ ผมร้องออกทะเลได้เลย มีความระแวงนั่นเอง)
หลอนที่สอง ก็คือ “ตกใจ” เวลามีเสียงโพล่งมาข้างหู บางทีกำลังขึ้นเพลงแล้วมีเสียงบอกคิว ด้วยความที่เสียงใกล้มาก มันทำให้ผมชะงักเพราะตกใจไปแทน สรุปก็เลยขอเขาให้ปิดเสียงไกด์นี่ในหูฟังเพื่อตัดปัญหา ดังนั้นเสียงพรายกระซิบนี่จะไปโผล่ที่มอนิเตอร์ด้านหน้าเวทีแทน แต่ก็ยังคงความหลอนด้วยเสียงเย็น ๆ นิ่ง ๆ ตาย ๆ เหมือนเดิม ฮ่า ๆ(นึกถึงเสียงประกาศ บนรถไฟร้าง ในเกม Silent Hill แต่เย็นยะเยือกกว่า)
น้องมินจะมีโต๊ะประจำคล้ายเสมียนนั่งทำเอกสาร มีไมค์วางหนึ่งตัว มีเครื่องพรินเตอร์พร้อม เปลี่ยนคิวเพลงเมื่อไหร่ก็ทำให้ทันที คล้ายพวกโต๊ะประชาสัมพันธ์ตามงานกีฬาสี คอยรับเรื่อง คอยประกาศ ภาพจำของผม คือ น้องมินนั่งฝังตัวอยู่ที่โต๊ะนั่นตั้งแต่เริ่มซ้อม จนจบซ้อม ใครไม่รู้อาจนึกว่าหุ่น AI ประจำห้องซ้อมก็เป็นได้ แถมเวลายกไมค์ขึ้นพูดเสียงสวยเสร็จ แกก็จะวางไมค์แล้วทำหน้านิ่ง ทำให้ดูแนบเนียนคล้ายพวกยืนข้างเพื่อนแล้วอ้อมมือไปตบกะโหลกเพื่อนแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้
ไอ้เพื่อนก็ได้แต่หันรีหันขวาง
อีกทีมที่ตื่นเต้นไม่แพ้นักดนตรี ก็คือ “ทีมซาวนด์และทีมสตาฟวง” ทีมดูแลระบบเสียง และทีมช่วยเหลือนักดนตรี ทีมนี้ต้องไวและบ้าจี้ตามนักดนตรี นำทีมโดย “พี่โต้ง” มือซาวนด์ขั้นเทพ คอยปรุงแต่งเสียงให้คนดูได้รับฟังอย่างสนุกสนาน
ทีมนี้สำคัญเท่ากับสมาชิกของวงอีกคนหนึ่งเลย
ส่วน“เต้ย”มือซาวนด์อีกคนที่ช่วยดูแลมอนิเตอร์บนเวที ส่วนนี้ก็สำคัญมาก ถ้านักดนตรีฟังตัวเองไม่รู้เรื่อง ซ้อมมาเป็นเดือนก็เท่านั้น ตกม้าตาย มันทำให้โชว์พังได้เลย เพราะเมื่อได้ยินไม่ดี เล่นก็จะไม่ดี เล่นไม่มั่นใจ และจะทำให้โชว์ออกมาเละเทะ (ส่วนนี้คนดูอาจจะไม่เข้าใจ) เพราะเสียงที่คนดูได้ยิน กับเสียงที่นักดนตรีได้ยิน จะคนละส่วนกัน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สตาฟของวงก็มี บอย, ภาค, ไข่กุ้ง, ก้อง, ลี และพี่ท็อป โดยเฉพาะน้องก้องที่หลายคนสงสัยว่า เขาไปนั่งทำอะไรกลางเวที ผมเฉลยให้ฟังว่า ผมขอไว้เองครับ เนื่องจากการโชว์ต่อเนื่อง เวลาเกิดปัญหาทางระบบต่าง ๆ มันสื่อสารไม่ทัน ตัวผมก็ยืนเสียกลางเวทีเลย เกิดปัญหาฉุกเฉินอะไรก็จะบอกไม่ทัน ผมถนัดการหันขวับไปบอกกับก้องได้ทันที โดยใช้จังหวะช่องว่างที่ไม่ได้ร้อง สื่อสารแบบเร่งด่วน เรื่องที่คุยกัน ก็เช่น
“เปิดจอ EQ ไมค์หน่อย จะขอลดเสียง
กลางมันก้องไป” (ผมจะปรับเอง)
“ขอเพิ่มร้องในหูหน่อย”
“ขอสแนร์ดังขึ้นที่มอนิเตอร์หน้า“
“ขอกีตาร์ดังหน่อย จับคีย์ไม่ถูก”
”บอกเค้าหน่อยว่าจอเนื้อดับ !“
ฯลฯ
ดังนั้นพี่เต็ดเลยให้นั่งตรงข้างหลังผมไปนั่นแหละ มีอะไรจะได้บอกได้ทันที ดูกวนดีด้วย
ส่วนอีกทีม คือ ทีมดูแลเครื่องเสียง “Media Vision“ ที่เอาของดีมาสนับสนุน
รวมถึง”เสี่ยบิ๊ก“ส่งบอร์ดมิกซ์อย่างดีจากห้องอัด ”Supernova“ มาให้ใช้
ทีมเครื่องแต่งกายเว่อร์วัง
”ทีมพี่ผักกาด“และทีมหน้าผม ซัน และคนอื่น ๆ ที่จำไม่หมดจริง ๆ ต้องขออภัยด้วยครับ
ทีมค่ายจีนี่ พี่อ๊อฟ Big Ass บอสใหญ่ พี่เต็ดและเหล่าศิลปินที่ซุกซน ลงทุนมาใส่ชุดขึ้นเวทีแจกของสนุกไปกับพวกเรา และหลัก ๆ เลย 3 ประสาน พี่อ้อ, ยา, เงาะ ช่วยดูแลและเป็นกำลังใจให้ตลอด โดยเฉพาะน้องฝน ที่ช่วยดูแลระหว่างการทำงาน 3 วันนี้ดีมาก ๆ ในช่วงป่วย (เล่นเอาเกือบแย่) และทีมจีนี่ท่านอื่น ๆ ฝ่ายอื่น ๆ ด้วยที่มิได้กล่าวชื่อ (เพราะอาจคลาดกัน)
ส่วนแขกรับเชิญก็เน้นคนกันเอง ไม่ว่าจะเป็น “ลุลา” ที่คุ้นเคยกันมานาน ทั้งร้อง “ทะเลสีดำ” กันด้วย
“พี่โป้ โยคีเพลย์บอย” รุ่นพี่คณะที่มักเจอกันหลังเวที หรืองานปาร์ตีคณะ แต่เพิ่งมีโอกาสได้เล่นด้วยกันก็คราวนี้ (พี่โป้ถือเป็นรุ่นใหญ่ ถ้าไม่งานใหญ่จริง ๆ คงไม่กล้าชวนแน่ ด้วยความเกรงใจในบารมี) พี่โป้มาร้องเพลง “เพ้อ” และเมตตาแต่งเนื้อให้ใหม่ (แซวไม่เลิก อิอิ) แถมยังโชว์ท่าโยกส่ายเอวในตำนานอีกด้วย
“น้องซิดนีย์” ที่เคยร่วมบุญกับกิจกรรมการกุศลต่าง ๆ ด้วยกันบ่อย ๆ สมัยน้องยังเป็นเทพอูคูเลเล่ตัวจิ๋ว ปัจจุบันพัฒนาไปทางสาย Jazz จนเป็นศิลปินกีตาร์ Jazz ที่น่าจับตามองมาก ๆ นำเพลง “เงา” มาถ่ายทอดในแบบของตัวเอง และเชื่อว่าไประดับโลกได้แน่นอน
“มะเหมี่ยว” น้องผู้มีเสียงร้องลึกหม่น ดึงอารมณ์คนฟังดิ่งถึงแก่นวิญญาณ ผู้ชุบชีวิตเพลง “เศษ” ขึ้นมาอีกครั้ง
และคนสำคัญ “น้องแพท Klear”
เรื่องราวของแพทมีมากมายจนเล่าไม่หมด(จะยกไปเล่าละเอียดอีกตอน) น้องแพทมาช่วยชวนคุยและสานต่อเดลง “ลา ลา ลา” เพลงเด็กรักป่าเล่นซ่อนแอบ และเราได้คุยกันออกรส จนเกิดคลิปวลีเด็ด ๆ ในโซเชี่ยล
แพทเป็นตัวอย่างของการรวมรุ่นคนในครอบครัวตาต้าและครอบครัวDoxfest อน่างแท้จริง ดังนั้นไม่แปลกใจเลย ที่แพทจะอินกับคอนเสิร์ตครั้งนี้ จนถึงน้ำตาคลอปล้วพยายามชวนให้ผมร้องไห้ตามไปด้วย (ซึ่งผมพยายามปิดโหมดนั้นอยู่ เดี๋ยวจะร้องเพลงไม่ได้ แพทนี่ก็จะมาบิ้วอีก ฮ่า ๆ ๆ) แพทน่าจะอินทั้งการเดินทางของวงและสะท้อนไปกับเรื่องของวงKlear
จบคอนเสิร์ตวันสุดท้าย ทั้งฮอลล์เปิดไฟขาวสว่าง เรามองดูเศษซากความสุขเกลื่อนกระจายอยู่ตามพื้น ท่ามกลางกระดาษแก้วปลิวระยิบระยับเกลื่อนเวที ลูกบอลสีตกค้าง ลูกโป่งใกล้ฟีบกลิ้งไปมา ทีมงานทุกคนมารวมกันถ่ายรูปหมู่ แต่ละคนสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ผมเห็นตูนกอดกับพี่สอง วินาทีนั้นตูนกับน้องฝน (ทีมดูแลวง) ปล่อยอารมณ์ร้องไห้เต็มที่ ผมเข้าใจเลยถึงความรู้สึกที่แบกรับมาทั้งหมด หลากหลายอารมณ์ได้ถูกปลดปล่อยออกมา มันคือน้ำตาแห่งความทุ่มเท น้ำตาแห่งความตื้นตันในความสำเร็จร่วมกัน
ขอบคุณน้องตูนและทีมงานทุก ๆ คนมากครับ (ขออภัยถ้าตกหล่นบางท่านไป)
“ขอเชิญทีมงานทุก ๆ คนที่อยู่ข้าง ๆ เข้ามาถ่ายรูปหมู่ด้วยกันนะคะ มาให้หมดเลยค่ะ”
“มาอีกแล้ว! ”
เสียงพรายกระซิบเย็นยะเยือกตามมาหลอกหลอนจนวินาทีสุดท้าย !
“อ้าว ! คนพูดไม่เข้ามาด้วยกันล่ะ”
พวกเราตะโกนเรียกกึ่งแซว
น้องมินที่ยืนถือไมค์จนเคยชินและทีมงานที่เจียมตัวสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ยิ้มเขิน ทิ้งไมค์รีบวิ่งเข้ามารวมกลุ่มกันครึกครื้น เกรียวกราว เสียงตะโกนปล่อยมุกกันอื้ออึง เรียกเสียงหัวเราะเฮฮากันได้อย่างอบอุ่น ผมมองไปตรงหน้า ตรงโซนคนดู ภาพแฟนเพลงกระโดดโลดเต้นเมื่อไม่กี่นาทีนี้ กลับกลายเป็นภาพเหล่าทีมงานเก็บกวาด ก้ม ๆ เงย ๆ เก็บขยะ และรื้อถอนเครื่องเสียง ถอดอุปกรณ์ประกอบฉากกันอย่างขะมักเขม้นแข่งกับเวลา
ผมแอบตกใจที่ได้เห็นว่าคนงานเยอะมาก คาดว่ามากกว่าร้อยชีวิต นี่แค่ส่วนเก็บฉากเวที ถ้ารวมทีมทำคอนเสิร์ต ผมว่าน่าจะถึง 500 คนแน่ ๆ แอบรู้สึกวาบหวิวในใจแปลกประหลาด ทีมงานขนาดนี้ คนดูขนาดนี้ พุ่งตรงมาโฟกัสอยู่ที่ผมคนเดียว นี่ถ้าผมสติแตกพาโชว์ล่มนี่ คงเป็นพลังทำลายล้างแบบธานอสเลยทีเดียว ฮ่า ๆ ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร
แต่ที่แน่ ๆ การประสบความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากคน ๆ เดียว มันเกิดจากความทุ่มเทร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว มีความชอบและเห็นคุณค่าในงานที่ทำเหมือนกัน การได้ทีมงานที่มีทั้งความสามารถ และเหนือกว่านั้น คือ “เอาใจ” ลงมาทำด้วยกันนั้น ทำให้ผมและวง Paradox รู้สึกโชคดีจริง ๆ ครับ ถ้าไม่มีทุกคน ก็ไม่มีงานที่กลายเป็นตำนานให้คนได้พูดถึงแบบนี้อย่างแน่นอน
ขอบคุณแล้วขอบคุณอีกครับ
ต้า PARADOX
โปรดติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม
ของพี่ต้า Paradox และ วง Paradox ได้ที่
💌 ส่งจดหมายคุยกันได้ทางอีเมล
โฆษณา