27 ส.ค. เวลา 07:38 • ท่องเที่ยว
ทะเลสาบอินเล

ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมา (อินเล ตอนแรก)

มีผู้ชายพม่ายืนอยู่ด้านข้างเบาะที่ฉันนั่ง ทุกคนรอบๆ พูดอะไร ฟังไม่เข้าใจสักอย่าง
เพื่อนฉัน 2 คนที่นั่งอยู่ด้วย สะดุ้งตื่นเช่นกัน ชายคนนั้นพยายามอธิบายบางอย่างให้เราฟัง จนในที่สุดมีคนพูดภาษาอังกฤษคำว่า มันนี่ แล้วหยิบจำนวนแบงค์พม่าออกมาแสดงให้ดู
ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่าเราคงต้องจ่ายค่าเข้าเมือง ที่พม่าเวลาที่เราจะเข้าไปยังเมืองท่องเที่ยวบางเมืองเราต้องจ่ายค่าเข้า ประมาณเหมือนค่าเหยียบแผ่นดินนั่นแหละค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็อยู่ประมาณคนละ 200 หรือ 300 บาทนี่ล่ะค่ะ
ฉันดูนาฬิกา เพิ่งจะตีสี่ครึ่ง และคนที่ขึ้นมาเก็บเงินก็ไม่ได้แต่งตัวมียูนิฟอร์มแต่อย่างใด ใส่โสร่งกับเสื้อเชิ้ตสีซีดจางที่บอกสีเดิมไม่ได้มา ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเราจะโดนหลอกหรือเปล่า แต่ก็จ่ายเขาไปตามที่เขาต้องการ
เรามาถึงโรงแรมก่อน 6 โมงเช้า ฟ้ายังคงมืดสลัว แต่มีไฟถนนส่องสว่าง รถจอดให้ลงไม่ไกลจากโรงแรมนัก โรงแรมหาได้ง่ายมาก เราไม่แน่ใจว่าเขาจะเปิดหรือยัง แต่พอลองเรียกเบาๆ ประตูก็เปิดออก
เด็กสาวคนหนึ่งมารับเราให้เข้าไปด้านใน อนุญาตให้เช็คอินได้ก่อนเวลาเยอะโข ดูเขาช่างมีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้ออ่อนโยนและอ่อนน้อมมากๆ จนฉันรู้สึกประทับใจไม่น้อย
ฉันถามเธอระหว่างทางเดินขึ้นไปห้องพัก ว่าเราจะไปอินเลยังไง ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ของฉันสื่อสารกับเธอได้เข้าใจ เธอบอกจะหาเรือให้ ไม่นานนักระหว่างเราจัดการสัมภาระ เธอกลับขึ้นมาแจ้งราคา บอกว่า ถ้าเราพร้อม เรือจอดรอที่ตรงท่าเรือใกล้ๆ
ที่ท่าเรือ มีเรือแค่ลำเดียวที่มีคนขับรอยู่ เราจึงมั่นใจว่าเขาเป็นคนขับเรือของเรา หนุ่มน้อยรูปร่างเจ้าเนื้อคนนี้ ใบหน้าดูใสซื่อ ที่ปากแดงนั้นมีร่องรอยของการเคี้ยวหมากชัดเจน ใบหน้าดูเป็นมิตร เหมือนเด็กต่างจังหวัดบ้านเรา
เรือออกวิ่งจากท่าน้ำนั้นทันทีที่เราลงเรือเรียบร้อน มันเป็นเรือหางยาวเหมือนบ้านเรา อาจะแคบหรือยาวกว่าฉันไม่แน่ใจนัก มันทะยานไปบนพื้นน้ำ ฝ่าหมอกทึบที่ปกคลุมสายน้ำจนแทบมองไม่เห็นอะไรในสองข้างทาง
เราทำเวลากันได้ดีอย่างไม่น่าจะเป็นได้ จากเมื่อวานที่เราบินมาจากประเทศไทย จนมาลงเครื่องที่มัณฑะเลย์
ถึงเช้าวันนี้ เวลายังไม่ถึงหกโมงครึ่งดีเลย เราก็ล่องอยู่บนผิวน้ำไปยังทะเลสาบน้ำจืดขนาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของพม่าแล้ว
เรือแล่นด้วยความเร็วฝ่าลมหนาวจนฉันสะท้าน สักพักหนึ่ง...
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็โผล่พ้นม่านหมอกออกมา เห็นเป็นเงาร่างชายนุ่งโสร่ง ผู้ยืนด้วยท่าทางแปลกประหลาด ขาข้างหนึ่งเหมือนจะยกขึ้นตั้งฉากกับพื้น อ่ะ! ใช่แล้ว
เขาคือ Fisherman นักจับปลาในตำนานที่โด่งดังมากของพม่า ฉันตื่นเต้นมากๆ กับภาพของเขา ที่ยืนทรงตัวบนเรือหางยาวไม้แคบๆ กลางทะเลสาบอินเล ขาข้างหนึ่งเหยียบหัวเรือ อีกข้างพาดไว้กับปลายของสุ่มยาว มือข้างหนึ่งจับประคองเหล็กยาว มืออีกข้างจับด้านบนของสุ่มตาข่ายเท้าเหยียบปลายไว้ สุ่มนี้คงเตรียมไว้จับเหยื่อของเขานั่นเอง
ภาพร่างของเขาที่โผล่พ้นหมอกขาว เหมือนหุ่นเชิดที่กำลังร่ายรำ ดูราวกับมีการจัดวางท่าทางไว้เพื่อเตรียมถ่ายภาพ แต่มันเป็นกิจวัตรและวิถีชีวิตจริงของชาวพม่าที่อินเลนี้ ภูมิปัญญาวิธีการจับปลาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นนี้ คือการดำรงชีวิตของเขามาแต่ช้านาน มันเรียบง่าย งดงามและเปี่ยมด้วยสมาธิ ไม่น่าจะมีชาติใดในโลกที่ทำวิธีนี้แบบของคนจับปลาพม่าได้อีกแล้วนะ❤️
ฉันคิดเสมอว่า เพื่อนบ้านของเราชาตินี้
คือชาติที่มีทุกอย่างไม่น้อยไปกว่าเรา
ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญา ศิลปะ และวัฒนธรรม
อาจมีมากกว่า คือ
ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้มหาศาล และ
พม่ามีหิมาลัยของตัวเองด้วยนะ
ภูเขาหิมะที่เป็นส่วนปลายของเทือกเขาหิมาลัย
แต่ที่เขาพลาดคือ การแก่งแย่งกันในราชสำนักของเขา
และผู้ปกครองที่เห็นแก่ประโยชน์ของตน
มากกว่าประชาราษฎร์
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ประเทศตะวันตก
เข้ามาตักตวงทุกสิ่งไปจากเขา
จนทุกวันนี้ เขายังไม่อาจรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา