11 ก.ย. เวลา 10:42 • ธุรกิจ

🤝 คู่มือผู้นำ Gen Y : เมื่อ “ลูกน้องยุคนี้” คือ Gen Z ที่เร็ว-แรง-ไม่เชื่อกฎเดิม

(จาก “ผู้สั่ง” สู่ “โค้ช” ที่คนรุ่นใหม่ยอมรับและอยากเดินตาม)
💥 เมื่อ Gen Y กลายเป็นหัวหน้าเต็มตัว
* หลายคนใน Gen Y ยังรู้สึกว่าเพิ่งผ่านช่วง “เด็กใหม่ไฟแรง” มาไม่นาน แต่วันนี้เรากลับกลายเป็น “หัวหน้า” ที่ต้องดูแลทีมที่เต็มไปด้วยคน Gen Z รุ่นใหม่ที่เติบโตมาในโลกที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
* พวกเขาเรียนรู้ไวกว่า มุ่งเป้าหมายชัดเจนกว่า และมีความเป็นผู้ประกอบการสูงกว่าที่เราเคยเป็นในวัยเดียวกัน พวกเขาไม่ได้เข้ามาเพื่อรอเลื่อนตำแหน่ง แต่เพื่อสร้าง impact ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในองค์กร
* สิ่งที่ท้าทายไม่ใช่แค่การนำทีม แต่คือการนำทีมข้ามผ่าน “ยุคเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรมการทำงาน“ จากโลกที่ให้ความสำคัญกับ “อาวุโส” ไปสู่โลกที่ขับเคลื่อนด้วย “ศักยภาพ” และ “ความเร็วในการเรียนรู้”
นี่ไม่ใช่เพียงช่องว่างระหว่างวัย แต่คือการปะทะของ “ระบบปฏิบัติการ” สองเวอร์ชัน ผู้นำ Gen Y จึงต้องอัปเกรดวิธีคิด ภาษาการสื่อสาร และภาวะผู้นำ เพื่อดึงศักยภาพของทีมรุ่นใหม่ให้เต็มที่ โดยไม่สูญเสียความเข้าใจและภราดรภาพที่เคยมีในรุ่นของเราเอง
====
💻 ถอดรหัสระบบปฏิบัติการ Gen Z
1. เป้าหมายชัด & โตเร็ว
* Gen Z ไม่รอเลื่อนตำแหน่งแบบ 3–5 ปี หากองค์กรไม่ตอบโจทย์ พวกเขาพร้อมย้ายทันที พวกเขามองว่า career ควรมีลักษณะเป็นเส้นทางวิ่งที่มี milestone ชัด ไม่ใช่บันไดที่ต้องรอใครเปิดขั้น
* (Deloitte 2024 Gen Z & Millennial Survey: 46% ของ Gen Z จะลาออกหากไม่มีโอกาสเติบโตเร็วพอ – Deloitte)
2. เรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ไม่ใช่คำสั่ง
* Gen Z เติบโตมากับแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Notion, ChatGPT และ LinkedIn Learning ดังนั้น การเรียนรู้ของพวกเขาเป็นแบบ pull-based ไม่ใช่ push-based
* พวกเขาไม่ต้องการให้ใครบอก “ต้องทำอะไร?” แต่ต้องการเข้าใจว่า “ทำไปทำไม?”
3. ความจริงใจคือสกุลเงินสูงสุด
* คำตอบอย่าง "ก็ระบบมันเป็นแบบนี้" หรือ "เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ" ใช้ไม่ได้กับคนรุ่นนี้!
* พวกเขาคาดหวังเหตุผล ความโปร่งใส และการสื่อสารตรงไปตรงมาในทุกระดับ
* (Gallup 2023: 70% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและการสื่อสารตรงไปตรงมา – Gallup)
4. คุณค่าที่องค์กรยืนหยัด > แค่เงินเดือน
* งานวิจัยของ McKinsey และ BCG พบว่า Gen Z มองหาองค์กรที่มีจุดยืนชัด มี purpose ที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว เช่น ความเท่าเทียม ความยั่งยืน หรือ wellbeing เป็นต้น
5. Hybrid-first mindset
* สำหรับคนรุ่นนี้ การทำงานไม่ได้จำกัดอยู่ที่โต๊ะทำงานหรือชั่วโมงทำงาน แต่คือ “output” และ “impact” ที่วัดผลได้จริง พวกเขาคาดหวังระบบงานที่ยืดหยุ่น เชื่อมโยง และเปิดโอกาสให้เรียนรู้จากที่ใดก็ได้
====
🧭 กลยุทธ์และวิธีปฏิบัติสำหรับผู้นำ Gen Y
1. จากบันไดอาชีพ → ภารกิจท้าทาย
* แทนที่จะผูกอนาคตของทีมกับขั้นเลื่อนตำแหน่ง จงเปลี่ยนรูปแบบการเติบโตเป็น Mission-Based Career Path
* เช่น โปรเจกต์ใหม่ที่ต้องจัดการ, ปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ต้องดูแล การเติบโตจึงเป็นผลจาก Impact ไม่ใช่ระยะเวลา
2. จากผู้รู้ → ผู้อำนวยความสะดวก
* จงยอมรับว่าเราอาจไม่รู้เท่าทันทุกเครื่องมือใหม่ๆ แต่เราเข้าใจบริบทธุรกิจ ความเสี่ยง ความเชื่อมโยงระหว่างทีมและผลลัพธ์
* ใช้ความเข้าใจเชิงกลยุทธ์นี้เพื่อปลดล็อกเส้นทางให้ทีมเดินหน้าเร็วขึ้น โดยไม่ต้อง micromanage
3. สื่อสารโปร่งใส & ให้เกียรติ
* เช่น หยุดสั่งงานทาง LINE ตอนสองทุ่ม, หยุดวัดผลจากการ “เห็นนั่งหน้าจอ”
* แล้วหันมาใช้หลักการ Asynchronous Communication + Accountable Delivery ผ่านเครื่องมือสื่อสารของคนยุค Gen Z เช่น ผ่าน Slack หรือ Trello ด้วย expectation ที่ชัดเจน และเคารพเวลาเชิงคุณภาพของทีม
4. จากผู้มีอำนาจ → mentor ที่เข้าถึงได้
* หัวหน้าแบบที่ Gen Z ยอมรับไม่ใช่คนที่รู้ทุกเรื่อง แต่คือคนที่ พร้อมเรียนรู้ไปด้วยกัน
* เช่นเดียวกับกรณี Adobe ที่เปลี่ยนจาก Performance Review → Check-in model ทำให้ engagement พนักงานพุ่งสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม early-career (Harvard Business Review)
5. เข้าใจระบบรางวัลแบบใหม่
* Gen Z ต้องการ Feedback ที่เร็วขึ้น, Recognition ที่เป็น public และ Ownership ในสิ่งที่ทำ
* เช่น Unilever ใช้ Reverse Mentoring ให้ Gen Z โค้ชผู้บริหารระดับสูง พร้อมให้เครดิตอย่างเป็นทางการเมื่อสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ (Unilever Leadership Development)
6. ทำให้ทีมได้เป็นตัวเองอย่างปลอดภัย
* Gen Z มีความเปราะบางทางอารมณ์มากกว่ารุ่นก่อนหน้า และให้คุณค่ากับ Psychological Safety อย่างสูง
* อย่าดูถูกประโยค เช่นว่า “ผมรู้สึกยังไม่โอเค…” เพราะนั่นคือโอกาสที่หัวหน้าจะสร้างความไว้วางใจขั้นลึกที่สุดกับคนรุ่นใหม่
====
🌍 “ช่องว่างระหว่างรุ่น” = โจทย์ระดับองค์กร ไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล
การบริหาร Gen Z ไม่ใช่เรื่องของ “เทคนิคการเป็นหัวหน้า” แต่คือภาพใหญ่ของ Organizational Operating System ที่ต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง ความเชื่อ และวัฒนธรรมการทำงานแบบเดิม ๆ ให้ทันกับความเร็วและความหวังของคนรุ่นใหม่
* War for Talent: Gen Z ไม่ได้ภักดีต่อองค์กร แต่ภักดีต่อเป้าหมาย → องค์กรต้องมี narrative ที่ชัดเจนว่าเราสร้างอะไร เพื่อใคร และตอบโจทย์ “คุณค่าร่วม” อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น HubSpot ที่ประกาศ Core Value ว่า "Growth With Heart" และออกแบบการเติบโตของพนักงานโดยไม่บังคับให้เดินตามสายอาชีพเดิม แต่ยืดหยุ่นตาม passion ของแต่ละคน
* Hybrid Work & Digital Workplace: องค์กรที่ยังยึด LINE เป็นช่องสั่งงาน บ่งชี้ว่าระบบ workflow ยังไม่พร้อมเข้าสู่การทำงานแบบ async และ cross-functional จริงๆ องค์กรที่ปรับตัวได้ เช่น GitLab หรือ Atlassian ใช้ “working agreements” ที่ชัดเจนระหว่างหัวหน้ากับทีม เช่น เวลา core hours, ช่องทางแจ้งเตือนฉุกเฉิน และการ track งานด้วย issue board ไม่ใช่การถามบ่อยๆ ว่า “ถึงไหนแล้ว?”
* AI x Human Productivity: Gen Z ใช้ AI เป็นส่วนขยายของความคิด → ผู้นำที่ยังไม่เข้าใจ AI เท่าทีม จะกลายเป็นจุดตายของ Innovation องค์กรชั้นนำเช่น PwC, IBM หรือ SAP จึงจัด bootcamp AI สำหรับหัวหน้าทุกระดับ เพื่อให้เกิด common language และลดช่องว่างระหว่างการใช้งานจริงกับการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์
“หากองค์กรยังบริหารโดยใช้ mindset แบบ command & control” ความสามารถของคนรุ่นใหม่จะไม่สามารถแสดงออกได้เต็มศักยภาพ และสุดท้ายองค์กรจะกลายเป็น "ที่ทำงานที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากอยู่" ซึ่งในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ "ลาออก" แต่คือ "เลิกเชื่อ" ในผู้นำคนนั้นอย่างถาวร
====
✨ ดังนั้น Gen Y สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองโลกได้
* เรา (Gen Y) คือ “Bridge Generation” ที่โตมากับโลกอนาล็อก แต่ปรับตัวได้ในโลกดิจิทัล เราคือคนรุ่นเดียวที่ “ฟังเจ้านายยุคเก่าเข้าใจ” และ “อ่านใจน้อง Gen Z ออก”
* เราเข้าใจทั้งภาษาของการวางแผน 5 ปี และแรงกระตุ้นของคำว่า “อยากเห็น impact วันนี้” และเพราะแบบนั้น เราคือสะพานที่องค์กรต้องการมากที่สุดในเวลานี้
* เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแค่เป็นหัวหน้า แต่เพื่อเป็น “นักแปลวัฒนธรรม” ที่เชื่อมเป้าหมายขององค์กรกับแรงขับของคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นงานที่มีความหมาย ผลลัพธ์ที่ชัด และทีมที่อยากอยู่ด้วยกันนานๆ
สุดท้ายแล้ว ภารกิจของเราอาจไม่ใช่การสร้างทีมที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนรุ่นใหม่ “ได้เติบโตอย่างจริงจัง โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาตัวรอด” และนั่น คือภาวะผู้นำที่โลกต้องการ
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Leadership
#GenY
#GenZ
#FutureOfWork
#Management
#ภาวะผู้นำ
#วัฒนธรรมองค์กร
โฆษณา