Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นานาสาระ
•
ติดตาม
21 ก.ย. เวลา 13:41 • ไลฟ์สไตล์
สับสนกับคำว่า รักตัวเอง VS เห็นแก่ตัว / เพื่อนขอให้ช่วยงาน, พี่สอนการบ้านน้อง, ย้ายโรงเรียนตามแฟน
การรักตัวเองกับการเห็นแก่ตัวต่างกันยังไง
สองคำนี้ใกล้กันแต่จริง ๆ แล้วต่างกันอยู่เยอะ ลองมาดูกันแบบชัด ๆ
การรักตัวเอง (Self-love)
• คือการ ดูแล เอาใจใส่ และให้คุณค่ากับตัวเอง
• ยอมรับทั้งข้อดีข้อเสียของตัวเอง
• กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ทำร้ายจิตใจหรือเกินกำลัง
• ไม่ใช่แค่คิดถึงตัวเอง แต่ยังเคารพผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน
• ตัวอย่างเช่น
• ปฏิเสธงานเพิ่มเพราะอยากพักผ่อน เพื่อไม่ให้สุขภาพเสีย
• ออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อใจ
• พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นโดยไม่เปรียบเทียบกับใคร
• ตัวอย่างเช่น
• ปฏิเสธงานเพิ่มเพราะอยากพักผ่อน เพื่อไม่ให้สุขภาพเสีย
• ออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อใจ
• พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นโดยไม่เปรียบเทียบกับใคร
❌ การเห็นแก่ตัว (Selfishness)
• คือการ คิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น
• อาจทำให้ผู้อื่นเสียใจหรือเดือดร้อน
• ไม่คำนึงถึงความยุติธรรมหรือความรู้สึกของใคร
• ตัวอย่างเช่น
• ใช้เวลาของคนอื่นโดยไม่สนใจว่าเขาเหนื่อยหรือไม่
• เอาแต่ได้ในความสัมพันธ์ ไม่เคยเสียสละ
• แย่งโอกาสหรือทรัพยากรมาเพื่อตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
🌱 สรุปสั้น ๆ
• รักตัวเอง = ดูแลตัวเองอย่างมีขอบเขต + เคารพคนอื่นด้วย
• เห็นแก่ตัว = ใส่ใจแต่ตัวเอง โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อผู้อื่น
มาดูตัวอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยบ่อยกัน
สมมุติว่ามีเพื่อนร่วมงานมาขอให้เราทำงาน ให้เขาเพราะเขาไม่ถนัด แต่เราก็ไม่อยากทำเพราะว่าเราก็มีงานของเราเองและเราจะเสียเวลานอนเสียเวลาชีวิตในการทำสิ่งต่างๆเพียงเพื่อที่จะทำงานของเขา อันนี้เราควรจะคิดยังไงมันเป็นการรักตัวเองที่จะปฏิเสธเขาหรือเป็นการเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมทำให้เขากันแน่
นี่เป็นสถานการณ์ที่เจอบ่อยมากในที่ทำงานเลยค่ะ 🙆🏻♀️
ลองมามองแบบชัด ๆ กันว่าเป็น การรักตัวเอง หรือ เห็นแก่ตัวกันแน่
🔎 มุมมองที่ 1: ถ้าเราปฏิเสธ
• เป็นการรักตัวเอง เพราะ
• เรามีงานของเราเองที่ต้องรับผิดชอบ
• การฝืนทำให้งานเพิ่ม อาจกระทบสุขภาพ เวลา และคุณภาพงานของเรา
• การช่วยเหลือคนอื่นไม่ควรทำด้วยการเบียดเบียนตัวเองจนเกินไป
• การปฏิเสธไม่ได้แปลว่าไม่ช่วยเลย แต่แปลว่าเรากำลัง รักษาขอบเขต (boundary) ของตัวเอง
🔎 มุมมองที่ 2: ถ้าเป็นการเห็นแก่ตัวจริง ๆ
• จะเกิดขึ้นในกรณีที่เรา มีเวลา มีความสามารถ และไม่เสียหายอะไร แต่ก็ยังไม่ยอมช่วยโดยไม่สนใจคนอื่นเลย
• เช่น เราเสร็จงานแล้ว ว่างมาก แต่เพื่อนมาขอให้ช่วยอธิบายสั้น ๆ เรากลับตอบว่า “ไม่ช่วยอะ ไม่ใช่เรื่องของฉัน” แบบนี้ก็อาจเข้าข่ายเห็นแก่ตัว
✅ แนวคิดที่สมดุล
• เราสามารถปฏิเสธได้โดยไม่ผิด และนั่นคือ การรักตัวเอง
• แต่ถ้าเราอยากช่วยเพื่อนบ้าง อาจเลือกวิธีที่ไม่ทำให้เราลำบาก เช่น
• ช่วยแนะนำวิธีทำ แทนที่จะทำให้ทั้งหมด
• บอกว่าจะช่วยได้เล็กน้อย แต่ไม่สามารถรับงานแทนเต็ม ๆ ได้
🌱 ดังนั้นในกรณีนี้ การปฏิเสธคือการรักตัวเอง ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว
เพราะคุณแค่ปกป้องเวลาของคุณเอง ไม่ได้เบียดเบียนใครเลยค่ะ
มาต่อกันที่อีก กรณีหนึ่งคือ พี่สอนการบ้านน้อง พี่บอกว่าไม่เห็นได้อะไรในการสอนการบ้านน้อง เสียเวลาเค้า อย่างนี้เราควรคิดยังไง
คำถามนี้ลึกมากค่ะ 👍 ลองแยกเป็นมุมต่าง ๆ ดูนะคะ
🎯 1. มุมมองของ “พี่”
• ถ้าพี่รู้สึกว่า “ไม่เห็นได้อะไรเลย เสียเวลา”
• อาจเป็นการมองแบบ ผลประโยชน์ส่วนตัว ว่า ช่วยแล้วฉันได้อะไร
• แต่การช่วยน้องทำการบ้าน ไม่ใช่เรื่องของผลตอบแทนตรง ๆ แต่คือ ความสัมพันธ์ และ การส่งต่อความรู้
🎯 2. มุมมองของ “น้อง”
• น้องได้ประโยชน์มาก ทั้งความเข้าใจ การเรียนรู้ และความรู้สึกว่ามีพี่คอยดูแล
• สำหรับน้อง นี่คือเรื่องใหญ่กว่าคะแนนการบ้าน คือความใกล้ชิดและความมั่นใจ
🎯 3. การมองแบบสมดุล
• ถ้าพี่มีเวลาจริง ๆ การช่วยน้องทำการบ้าน อาจไม่ได้ “เสียเวลา” แต่เป็นการ ลงทุนความสัมพันธ์
• แต่ถ้าพี่เหนื่อยมาก งานตัวเองยังไม่เสร็จ แล้วน้องอยากให้ช่วยทันที พี่ก็มีสิทธิที่จะบอกว่า “ตอนนี้พี่ไม่สะดวก ขอทำงานตัวเองก่อนนะ” → แบบนี้คือ การรักตัวเอง
✅ สรุป
• ถ้าคิดว่า “ไม่ช่วย เพราะไม่คุ้มค่า” → ออกไปทาง เห็นแก่ตัว
• ถ้าคิดว่า “ช่วยได้ แต่ต้องไม่ทำร้ายเวลาของตัวเองจนเกินไป” → คือ รักตัวเองพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นในขอบเขตที่เหมาะส
มีอีกตัวอย่างนึง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ถ้าผู้หญิงเปลี่ยนสถานศึกษา ไปเรียน ที่โรงเรียนใหม่ที่ คิดว่าดีกว่าเดิมแต่ระยะทางค่อนข้างไกลจากโรงเรียนเดิมที่ผู้ชายอยู่ แล้วถ้าผู้ชายเอ่ยปากขอให้ผู้หญิงยอมล้มเลิกความฝันที่จะเปลี่ยนโรงเรียน กลับมาที่โรงเรียนเดิมเดียวกัน เพื่อรักษาระยะใกล้ชิดในความสัมพันธ์ อย่างนี้ ฝ่ายผู้หญิงควรจะทำยังไงดี เพราะสับสนระหว่างคำว่าว่ารักตัวเองกับเห็นแก่ตัว
กรณีนี้ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากค่ะ 💙
ลองแยกเป็นสองมุมให้เห็นชัด ๆ จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าอะไรคือ รักตัวเอง และอะไรคือ เห็นแก่ตัว
🎯 มุมของผู้หญิง
• การย้ายโรงเรียนไปที่ใหม่ = การเลือกเส้นทางที่คิดว่าดีกับอนาคตของตัวเอง
• ถ้าสถานศึกษานั้นมีโอกาสที่ดีกว่า ตอบโจทย์ความฝัน → การเลือกนี้คือ การรักตัวเอง
• เพราะเป็นการใส่ใจในอนาคตและการพัฒนาตัวเอง แม้ว่าจะต้องแลกกับระยะทางที่ห่างขึ้น
🎯 มุมของผู้ชาย
• การขอให้ผู้หญิงกลับมาโรงเรียนเดิม
• ถ้าเหตุผลเดียวคือ “อยากใกล้กัน” โดยไม่สนใจอนาคตหรือความฝันของผู้หญิง → นี่ออกไปทาง เห็นแก่ตัว
• เพราะเป็นการดึงอีกฝ่ายไว้เพื่อตอบสนองความสบายใจของตนเอง โดยไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายจะเสียโอกาสอะไรบ้าง
บ้าง
✅ สิ่งที่ผู้หญิงควรทำ
1. ถามตัวเองก่อน
• โรงเรียนใหม่สำคัญกับอนาคตแค่ไหน?
• เราจะเสียอะไรถ้ากลับไปโรงเรียนเดิม?
• สิ่งไหนคือ “ตัวตน” ของเรามากที่สุด?
2. สื่อสารกับผู้ชายตรงไปตรงมา
• บอกว่า “โรงเรียนใหม่คือสิ่งที่ฉันเลือกเพราะมันสำคัญต่ออนาคต แต่ฉันก็ยังอยากรักษาความสัมพันธ์นี้อยู่”
• ถ้าเขารักจริง เขาจะเข้าใจและหาทางปรับตัว ไม่ใช่กีดกันความฝันของคุณ
3. วัดความสัมพันธ์จากการสนับสนุน
• ความรักที่แท้จริง = สนับสนุนให้คู่รักเติบโต แม้บางครั้งต้องห่าง
• ถ้าฝ่ายชายพยายาม “กัก” คุณไว้กับเขาอย่างเดียว โดยไม่มองอนาคตคุณ → ความสัมพันธ์แบบนี้อาจไม่สมดุล
สรุป
• การที่ผู้หญิงเลือกโรงเรียนใหม่เพราะเชื่อว่าจะดีกว่าเดิม → คือ การรักตัวเอง
• การที่ผู้ชายบอกให้เลิกและกลับมาเพื่อให้ใกล้กัน → มีลักษณะ เห็นแก่ตัว เพราะมองแค่ความต้องการของเขา
อันนี้คิดถึงเพลง “ ที่ว่าง” ของพอสนะคะ ว่ามั๊ย
จากตัวอย่างทั้งสามนี้ คิดว่ามันยังมีอีกมากมายในกรณีอื่นๆด้วย เพื่อนเพื่อนคิดว่ายังไงคะ ตอบตัวเองได้หรือยังว่ารักตัวเองหรือเห็นแก่ตัว
ไลฟ์สไตล์
ความคิดเห็น
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
คำถามที่ ไม่แน่ใจในคำตอบ
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย