Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สันติ ผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ
•
ติดตาม
1 ต.ค. เวลา 10:58 • ครอบครัว & เด็ก
นักต้มตุ๋นหรือคนของพระเจ้า
ตอนที่ใจมันยังไม่ได้ฝากไว้กับเพียงพระเยซูหรือไม่เชื่อเพียงพระคำแต่อ้างพระเจ้าในการใช้ชีวิตก็จะกลายเป็นนักต้มตุ๋นหรือผู้เผยพระวจนะเท็จไปเลยครับ
คนเชื่อพระเจ้าก็จะอ้างหรือติดตามพระคำพระเจ้าหรือตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ ก็เป็นเหมือนจดหมายจากพระเจ้าเพื่อแจ้งให้มนุษย์รู้ว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร ส่วนคริสตจักรเป็นเหมือนร่างกายของพระเจ้าบนโลกขณะนี้ หรือกลุ่มคนที่เชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลครับ
ดังนั้นคริสตจักรแท้กับปลอมที่มารซาตานสร้างขึ้นจะไม่เหมือนกันครับ แค่ป้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคริสตจักร..เหมือนกัน แต่ถ้าได้ฟังคำพูดคำสอนของพวกเขาจะต่างกันครับ คริสตจักรของพระเจ้าจะสนใจกับโลกของจิตใจในพระคัมภีร์ฯครับ ในขณะที่คริสตจักรปลอมพวกเขาจะสนใจแต่กับเนื้อหนังหรือสถานการภายนอกทั่วไปแบบคนไม่เชื่อพระเจ้านี้ครับ เวลาพูดถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ฯ มันก็จะออกมาเป็นเรื่องของหลักการประพฤติทั้งหมดเลย แต่มุ่งเน้นการประพฤติปฏิบัติดีเหมือนพวกคนเคร่งศาสนาครับ
ดังนั้นสำหรับพระเจ้าแยกแยะคนบาปกับคนชอบธรรมจึงดูจากการเชื่อหรือไม่เชื่อกับพระคำนี้ครับ ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นเหมือนจดหมายรักจากพระเจ้าส่งมาถึงมนุษย์เพื่อจะบอกความจริงให้และเมื่อได้รู้แล้วมนุษย์ก็จะสามารถเชื่อวางใจเพียงพระเจ้าได้ตามที่พระองค์ประสงค์ ซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมาบนโลกนี้ครับ
ถ้าไม่มีเรื่องพระเจ้าพระเยซูนี้เข้ามา สำหรับผมโลกนี้มันน่ากลัวน่าหดหู่มากครับกับการมีชีวิตอยู่ เห็นหลายคนก็พยายามดิ้นรนขยันสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่อจะเอาชนะปัญหาความโหดร้ายของสังคม แต่จริงๆมันก็จบลงที่ตัวเองก็ทำเสียเองด้วย เพราะสภาพสังคมโลกมันบีบให้ทุกคนต้องเป็นไปเช่นนั้นเพื่อจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ หนีการต่อสู้เพื่อชนะไม่ได้ คนแข็งแรงเก่งฉลาดกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอดได้ประมาณนั้นครับ
หลายคนก็หนีออกจากสังคมไปบวชก็มาก แต่ข้างในก็เป็นสังคมอีกเหมือนกันทุกที่ๆมีคน ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเหมือนกัน หนีไม่พ้นความวุ่นวาย สุดท้ายหลายคนก็หนีไปอยู่ชนบททำไร่ทำสวนหวังว่าจะได้พบความสงบสุข แต่เห็นหลายคนก็พาครอบครัวไปไม่รอด ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่คิด หนี้สินอีลุงตุงนัง มีแต่ความเครียดหวาดวิตกเหมือนเดิมครับ
ส่วนคนมั่งมีก็หยุดพักสงบไม่ได้เหมือนกัน จะรักษาไว้ยังไงให้มันงอกเงยไม่ลด? ต้องชิงไหวชิงพริบกับคู่ต่อสู้ทางธุรกิจ จะจนหรือรวยใจจะปล่อยวางหรือพักสงบก็ไม่ได้เลยกับชีวิต เหมือนเป็ดลอยน้ำดูสงบนิ่งมาก แต่ใต้น้ำสองเท้าว่ายน้ำไม่หยุดได้เลยครับ
ถ้าผมไม่รู้จักพระเยซู ถ้าไม่บ้าก็คงเลือกฆ่าตัวตายหนีเหมือนหลายคนไปแล้ว คงไม่ทนอยู่มาจนถึงอายุหกสิบแบบนี้ครับ
มาตอนนี้พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมันมีคำตอบให้รู้ได้ แต่ก่อนมันเครียดบ่อยๆเพราะไม่รู้คำตอบนี้แหล่ะครับ เหมือนคนติดอยู่ในถ้ำมืดแล้วคลำหาทางออกไม่เจอ บ่อยครั้งชีวิตมันอึดอัดยากลำบากแบบนั้นครับ
ช่วงสองสามวันมานี้ผมก็นั่งคิดกับเหตุการที่เกิดขึ้นกับคนที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นสมาชิกโบสถ์ แต่ละคนก็เสนอความคิดเห็นต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อแก้ไขปัญหา ผมก็คิดถึงพระคำ
1 พงศ์กษัตริย์ 3:16-28 TH1971
[16] แล้วหญิงแพศยาสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ [17] หญิงคนหนึ่งทูลว่า <<ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางนั้นอยู่ในเรือน [18] เมื่อข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว นางคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีผู้ใดอยู่กับข้าพระบาททั้งสองในเรือนนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในเรือนนั้น
[19] แล้วบุตรของหญิงคนนี้ก็ตายเสียในกลางคืน ด้วยเขานอนทับ [20] พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปเสียจากข้างข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตาย แล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท [21] เมื่อข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้าเพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม ดูเถิด เขาตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูเถิด เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดมา>>
[22] แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า <<ไม่ใช่ เด็กที่เป็นเป็นบุตรของฉัน เด็กที่ตายเป็นของเจ้า>> หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า <<ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่เป็น เป็นของฉัน>> เขาทั้งสองพูดกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา
[23] แล้วพระราชาตรัสว่า <<คนหนึ่งพูดว่า <คนนี้เป็นบุตรของฉัน คือเด็กที่เป็นอยู่ และบุตรของเจ้าตายเสียแล้ว> และอีกคนหนึ่งพูดว่า <ไม่ใช่ แต่บุตรของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรของฉันเป็นคนที่มีชีวิต> >> [24] และพระราชาตรัสว่า <<เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง>> เขาจึงเอาพระแสงดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา [25] และพระราชาตรัสว่า <<จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้คนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง>>
[26] แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของเธออาลัยในบุตรของเธอ เธอว่า <<ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ขอทรงมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เขาไป และถึงอย่างไรก็ดีอย่าทรงฆ่าเสีย>> แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า <<อย่าให้ฉันเป็นเจ้าของ หรือของฉัน ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ>>
[27] แล้วพระราชาตรัสตอบเขาว่า <<จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเสียเลย นางเป็นมารดาของเด็กนั้น>>
[28] อิสราเอลทั้งปวงทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาประทานการพิพากษานั้น และเขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาทั้งหลายประจักษ์ว่า พระสติปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม
https://bible.com/bible/275/1ki.3.16-28.TH1971
แต่มันได้คิดถึงพระคำตอนนี้ขึ้นมาครับ เพราะถ้าชีวิตมันจบแค่นั้นก็คงเหมือนเดิม คือกลับไปติดตามกับกระแสของโลก มีปัญหาแล้วก็แค่ใช้หัวคิดแก้ไขหาทางออกเร็วๆ ตัดสินให้มีฝ่ายผิดฝ่ายถูกจบ ชีวิตวนเป็นลูปไปจนตาย แต่มาไม่ถึงพระประสงค์พระเจ้าแบบนี้ครับ
แต่พระคำพระเจ้ากำลังให้คำตอบที่แตกต่างออกไปครับ คนที่ผิดกลับได้รับพรจากพระเจ้า แต่คนมากมายพยายามจะเป็นแต่คนที่ไม่มีข้อผิดพลาด คำสอนของโลกก็จะสอนให้ผู้คนไปทิศทางนั้นครับ ทำไมพระเจ้าบอกไว้เช่นนั้น?
ตอนที่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ส่วนมากเราจะเห็นคนที่ชี้ความผิดคนอื่น แต่ไม่ค่อยจะได้เห็นคนที่กล้าออกมาเปิดเผยความผิดความชั่วร้ายของตัวเอง ส่วนมากต้องถูกจับได้คาหนังคาเขาก่อนถึงจะยอมรับ ไม่งั้นก็จะมีข้อแก้ตัวให้ตลอด เพราะสังคมยอมรับคนดีคนถูกต้อง แต่เหยียบย่ำดูหมิ่นกับคนที่สกปรกชั่วร้ายทำบาปผิดครับ ก็เลยต้องพยายามทำให้ตัวเองต้องดูดีไว้ก่อนเพื่อปากท้องชีวิตจะได้รอดเพราะต้องพึ่งพากับผู้คน
แต่ความจริงมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปคนผิดคนชั่วร้ายเสมอไปนะครับ ไม่มีใครสักคนเลยที่เป็นคนดีจริง พระเจ้าบอกไว้เช่นนั้น แต่หลายคนไม่เชื่อก็เลยออกผลมาเป็นแบบนั้น คือยังพยายามจะเป็นคนดี และยอมรับกับคนที่ดูเป็นคนดีด้วย ไม่เชื่อว่าพวกเขากำลังโกหกหลอกลวงผู้คนให้เข้าใจผิดอยู่ แต่ถ้าคิดลึกๆอย่างซื่อสัตย์ก็จะเห็นว่าพระเจ้าพูดถูก
คนที่ยอมรับความจริงนี้จึงต้องการความเมตตาของพระเจ้าช่วยให้รอด เพราะชีวิตของเขามันได้แต่ต้องไหลไปสู่ความพินาศเท่านั้น และพระเจ้าก็ให้ความเมตตาความรอดจริงๆ เหมือนกับแม่คนที่ยอมรับผิดในพระคำตอนนี้ก็ได้รับลูกที่มีชีวิตกลับคืนมาแบบนี้ครับ
ส่วนแม่คนที่ยืนยันความถูกต้องของตัวเอง ไม่ยอมรับผิด ลูกตายก็ไม่เป็นไร? ก็คงจบที่ถูกประหารกับการล่อลวงกษัตริย์ เหมือนกับชีวิตผู้คนตอนนี้ในโลกมีคนสองประเภท กับคนที่ยังเชื่อว่าตัวเองมีความดีความถูกต้องใช้การได้ คนพวกนี้ก็ไม่เห็นความสำคัญจำเป็นของการได้รับพระคุณความเมตตาจากพระเจ้าคือพระเยซูครับ
พระคำพระเจ้าจึงไม่สำคัญจำเป็นอะไรสำหรับพวกเขาครับ ไม่อ่านไม่ฟังไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า ชีวิตความอยู่รอดของพวกเขาขึ้นกับกำลังความสามารถของตัวเอง
สำหรับคริสเตียนที่มีชีวิตขึ้นกับพระคุณพระเจ้า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้าถูกผู้คนตำหนิกล่าวหาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปแก้ตัวอะไรถ้าเขาไม่เชื่อ เพราะมันใช่ทั้งหมด มนุษย์ผิดบาปชั่วร้ายเสมอไป ชีวิตอยู่รอดได้ขึ้นกับพระเจ้าพระเยซู100%ไม่ได้ขึ้นกับคุณงามความดีความสามารถอะไรของตัวเองเลยแบบที่มารซาตานกำลังหลอกลวงผู้คนตลอดเวลาครับ แต่ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาติจะทำผิดพลาดร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยครับ เพราะมีพระองค์ที่รับผิดชอบให้ทั้งหมดทุกเรื่อง ตั้งแต่เกิดจนตายแบบนี้ครับ
ลูกที่มีชีวิตในพระคำตอนนี้จึงเปรียบเหมือนพระเยซูตราประทับของความรอดที่พระเจ้าให้กับผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ แต่กับคนที่ยังเลือกเชื่อวางใจกับตัวเอง เชื่อในกำลังความสามารถหรือความดีของตัวเองก็เหมือนกับแม่ตัวปลอม ลูกตายก็ได้ขอเป็นฝ่ายถูก? พยายามจะรักษาชีวิตด้วยวิถีทางของตัวเอง สุดท้ายกลับต้องเสียชีวิต กับแม่ตัวจริงยอมเสียชีวิตตัวเองเพื่อลูก กลับได้ลูกกลับคืน
เช่นกันครับ กับคนที่ยังพยายามจะมีชีวิตอยู่รอดด้วยตัวเองก็จะต้องเสียชีวิตเท่านั้นครับ ส่วนคนที่ยอมเสียชีวิตตัวเองให้พระเจ้าก็จะได้พระเยซูผู้เป็นชีวิตและเป็นทางรอดแท้แบบนี้ครับ
พัฒนาตัวเอง
ข่าวรอบโลก
ไลฟ์สไตล์
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย