เมื่อวาน เวลา 00:46 • ครอบครัว & เด็ก

ตายเพราะปกป้องตัวเอง

ปฐมกาล 38:1-10 TH1971
[1] ครั้งนั้นยูดาห์ลงไปจากพวกพี่น้อง ไปอาศัยอยู่กับคนอดุลลาม คนหนึ่งชื่อฮีราห์ [2] ยูดาห์เห็นบุตรีคนคานาอันคนหนึ่งที่นั่น บิดาหญิงนั้นชื่อชูวา จึงแต่งงานกับหญิงนั้นและเข้าไปหานาง [3] หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์มีบุตรชาย บิดาจึงตั้งชื่อว่าเอร์
[4] หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์อีกมีบุตรชาย ชื่อโอนัน [5] นางมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง ชื่อเช-ลาห์ นางอยู่ที่เคซิบเมื่อนางมีเขา [6] ยูดาห์ก็ได้หาหญิงคนหนึ่งชื่อทามาร์ให้เป็นภรรยา เอร์บุตรหัวปีของตน
[7] เอร์บุตรหัวปีของยูดาห์เป็นคนชั่วใน สายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงประหารเขาเสีย [8] ยูดาห์จึงบอกโอนันว่า <<เข้าไปหาภรรยาพี่ชายของเจ้าเถิด และทำหน้าที่ของน้องผัว เพื่อจะได้สืบพันธุ์พี่ชายไว้>>
[9] โอนันรู้ว่าพันธุ์จะไม่ได้นับเป็นของตน เมื่อเขาเข้าไปหาภรรยาของพี่ชาย จึงทำให้น้ำกามตกดินเสีย ด้วยเกรงว่าจะสืบพันธุ์ให้แก่พี่ชาย [10] ในพระเนตรพระเจ้า สิ่งที่โอนันได้กระทำนั้นผิด พระองค์จึงทรงประหารชีวิตเขาเสีย
เพราะความจริงมนุษย์เรามีพระเจ้าที่กำลังคอยดูแลรับผิดชอบให้กับชีวิตอยู่ด้วยเสมอ แต่พอไม่รู้หลายคนจึงต้องตายก่อนเวลาอันควร ผลจากการพยายามจะเอาชีวิตรอดนี้แหล่ะครับ
มีป้าคนนึงก็มาเล่าให้ฟังบอกโดนขโมยเงินหกพัน ในบ้านก็มีอยู่กันสามคนคือสามีกับภรรยาน้อย แต่ก็ไม่ยอมรับก็จุดธูปแช่งคนขโมย ความจริงก็กำลังสาปแช่งกับตัวเองด้วย เพราะตัวเองก็เอาของๆพระเจ้ามาตู่เป็นของตัวเองเหมือนกัน ถ้าเป็นของตัวเองจริงๆแล้วคนอื่นจะมาเอาไปได้ยังไงล่ะครับ แต่ที่หายไปได้แสดงว่าไม่ใช่ของตัวเองนะครับ
ก็เอาเรื่องนี้มาเรียนรู้จิตใจพระเจ้าในโบสถ์ผ่านเรื่องของโซโลมอนตัดสินคดีหญิงแพศยาสองคนแย่งลูกกัน(1พงกษัตริย์3) เพื่อให้สนใจว่าตัวเองผิดหรือชั่วร้ายยังไงตอนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เพราะล้วนมาจากพระเจ้าซึ่งอยากให้เราฝากชีวิตไว้เพียงกับพระองค์ แต่พอไม่ยอมจึงเกลียดโกรธสาปแช่งคนที่เอาไปแบบนั้นครับ ถ้าเป็นของเราจริงมันจะถูกแย่งไปได้ยังไง แต่เพราะทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า จะให้อยู่หรือไปจากเราก็ขึ้นกับพระเจ้าไม่ได้ขึ้นกับความพยายามของเราครับ
ชีวิตถ้าสนใจแต่ตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอมันจะรับพระคุณจากพระเจ้าไม่ได้เลยครับ เราอยู่ในโลกแห่งบาปพร้อมจะทำผิดพลาดล้มเหลวตลอดเวลาครับ ตอนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันจะทำให้เราคิดระมัดระวังมากกว่าก่อนจะตัดสินใจอะไร พระเจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้ เมื่อจบลงที่ตรงนี้ได้ชีวิตก็จะจบลงที่เป็นพรได้ครับ แต่ถ้ามั่นใจว่าตัวเองเก่งดีอยู่แล้ว คนแบบนี้คือน่ากลัวครับ คิดลวกๆ ผลกระทบตามมายังไงก็จะคิดตื้นๆครับ
หลายคนก็เลยเป็นทุกข์กับการหลงลืมพระเจ้าแล้วพยายามจะเอาสิ่งต่างๆมาเป็นของตัวเองนี้แหล่ะครับ ตอนพระเจ้าให้มาใช้เพื่อเผยแพร่ข่าวประเสริฐก็ไม่ใช้พระเจ้าก็เลยเอาคืนเหมือนคนที่เอาเงินทองไปฝังดิน ปล่อยไว้ก็เป็นรูปเคารพขัดขวางใจไม่ให้มาถึงพระเจ้า มีแล้วก็มาหวาดวิตกจะรักษาไม่ให้สูญหายยังไงอีก?ไม่มีอะไรเลยก็ดีกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นครับ
แต่ถ้ามีใจอยากจะเผยแพร่กับคนอื่นด้วย พระเจ้าก็จะให้ปัจจัยต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนทั้งสติปัญญา,เงิน,หรือคนที่จะต้องใช้ครับ
แก่ชราแต่ถ้ายังมีใจพระเจ้าก็ยังให้กำลังและสติปัญญาแบบอาจารย์อ้อคซูพารค แปดสิบกว่าแล้วแต่ก็ยังเดินทางเผยแพร่ไปทั่วโลกได้ ยืนเทศนาสั่งสอนเป็นชั่วโมงๆได้อยู่ นอนวันละสามสี่ชั่วโมง คนหนุ่มแน่นหลายคนยังทำไม่ได้เลยครับ
แต่พอไม่มีใจที่จะเผยแพร่กับคนอื่น คิดแค่เรื่องตัวเองอยู่รอดยังไง ปัญญาจึงไม่เกิดไม่ได้ออกไปเผยแพร่ ร่างกายไม่ค่อยถูกใช้มันก็เสื่อมสภาพเร็วทั้งสมองทั้งร่างกายครับ
วิถีทางของข่าวประเสริฐนำไปสู่การเชื่อวางใจเพียงพระเยซูได้ เพื่อปล่อยวางกับทุกสิ่งอื่นได้ครับ
ป้าคนนึงฟังผมเล่าเรื่องคนพิการขาเป๋ยากจนที่มีหญิงงามยอมแต่งงานเพราะสงสารครอบครัวกับพ่อแม่ฝ่ายชายด้วย แต่ก็เก็บไม่ได้ ภรรยาก็หนีไปในที่สุดเพราะเชื่อวางใจภรรยาไม่ได้ หึงหวงมาก ระแวงว่ามีชายอื่นตลอด
ผมยกตัวอย่างเพื่อจะให้เห็นใจของตัวเอง เพราะคนส่วนมากก็เชื่อวางใจกับพระเจ้าไม่ได้แบบชายพิการคนนี้ ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าที่กำลังคอยดูแลรับผิดชอบให้กับชีวิตจริงๆ ชีวิตจึงเหนื่อยยากลำบากกับการพยายามจะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
แต่ผมเล่าเสร็จมีป้าคนนึงบอกว่าถ้าเป็นเขาก็ยอมได้นะที่จะแต่งงานกับคนพิการ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเจ้าชู้ จริงๆใจเขากำลังอยากจะบอกกับผมว่าตัวเองก็มีจิตใจงามเหมือนหญิงงามที่ยอมแต่งงานกับชายพิการคนนั้น?
สรุปก็ฟังพระคำไม่รู้เรื่องครับ ไม่เห็นว่าตัวเองใช้ชีวิตตลอดมากับพระเจ้าเหมือนกับชายพิการคนนั้น คือไม่เคยเชื่อวางใจเพียงพระเจ้าได้เลย ยังเชื่อว่าตัวเองเป็นคนปกติคนดีอยู่ด้วยตัวเองได้ จึงพูดออกมาแบบนี้ ยังไม่เคยมีสามีคนพิการจริงๆ ใครก็พูดได้ง่ายๆแบบนี้ครับ ลองเอาเข้าจริงมันยากลำบากมากๆ ไหนจะต้องดูแลพ่อแม่ฝ่ายชายพิการที่แก่ชราด้วย เอาเข้าจริงจะทนอยู่ได้สักกี่วันกับความอดทนของมนุษย์ครับ
ได้ดูข่าวภรรยาวางยาฆ่าสามีที่อยู่ด้วยกันมาจนแก่ชรา ฝ่ายชายอายุ92 ฝ่ายหญิง 86 ปี เพราะทนไม่ไหวกับสามีที่ป่วยติดเตียงให้ดูแลมาตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว สุดท้ายบั้นปลายชีวิตตัวเองจบลงที่ติดคุก ไม่มีลูกหลาน ตอนแต่งงานกันก็คิดว่ารักกันมีกันสองคนก็พอไม่เอาลูก เพราะกลัวเลี้ยงไม่ไหว ถ้าเชื่อพระเจ้าก็สามารถปล่อยให้มีลูกหลานได้ เพราะพระเจ้าคือผู้เลี้ยงดูตัวจริง เป็นพ่อแม่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนครับ
ก็ทำให้ได้คิดถึงกับพระคำตอนนี้ด้วยครับ เอร์กับโอนันเขาต้องตายก็เพราะคิดเชื่อแบบนี้ครับ กับการพยายามใช้หัวคิดแก้ไขกับปัญหาชีวิตเอง ไม่ฝากไว้กับพระเจ้า แค่ตามกฏหมายที่วางไว้ให้ทำหน้าที่สามีให้ลูกกับภรรยา และโอนันก็ทำหน้าที่แทนพี่ชายที่ตายให้ลูกกับทามาร์ก็จบแล้ว ไม่ต้องตายก่อนวัยอันควรเพราะใช้หัวคิดไม่เอาพระเจ้านี้แหล่ะครับ
ส่วนทามาร์ทำทุกอย่างเลยเพื่อจะมีลูก แม้กระทั้งปลอมตัวเป็นโสเภณีเพื่อจะหลอกนอนกับพ่อสามีตัวเอง แต่พระเจ้าพอใจและให้ลูกกับเธอ พระเจ้ากำลังบอกกับมนุษย์เราครับว่าสิ่งที่สำคัญสุดสำหรับมนุษย์คือพระเยซูครับ ทำยังไงเราจะมีพระเยซูในชีวิต? แม้ต้องแลกกับทุกสิ่งที่เรามีก็ต้องยอมครับ เพราะการมีพระเยซูก็คือการมีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งของโลกและจักรวาลนี้ครับ
แต่มันเป็นความบ้าความโง่เขลาครับกับการพยายามจะเอาสิ่งอื่นมาแทนพระเจ้า พยายามจะเอาของพระเจ้ามาเป็นของตน มันจะเป็นไปได้ยังไง? เหมือนเด็กเล็กพ่อแม่ให้ของเล่นเพื่อมีความสุข แต่ถ้าไปหลงไปติดอยู่แต่กับมันมากกว่าพ่อแม่ขึ้นมา พ่อแม่ก็ต้องเอาคืนสิครับ
ตอนนี้มนุษย์เราความจริงไม่ได้ขาดแคลนอะไรแล้วนะครับ ผมก็เลยเห็นว่านี้คือเหตุผลที่พระเยซูกำชับก่อนจะกลับ ให้ไปบอกคนอื่นที่ยังไม่รู้ กับช่วงวันเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้ครับ และพระองค์จะคอยสนับสนุนทุกสิ่งที่จะต้องใช้เพื่อการนี้ให้ครับ
มัทธิว 28:18-20 TH1971
[18] พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า <<ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว [19] เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ [20] สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค>>
โฆษณา