7 ต.ค. เวลา 08:23 • หนังสือ

#15 9️⃣ การเปลี่ยนแปลงที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง — บทที่ 1️⃣1️⃣ สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ :

การยกระดับความจริงภายในของคุณเป็นเรื่องของการ “เปลี่ยนมุมมอง”
💟 ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
1️⃣1️⃣.#สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ
ผมจะสาธิตให้คุณเห็นว่าคุณ—หรือใครก็ตาม—สามารถก้าวไปสู่ความจริงภายในใหม่ๆได้อย่างไร วิธีที่คุณสามารถยกระดับจากความจริงที่จินตนาการ (Imagined Truth) ขึ้นไปสู่ความจริงที่ปรากฏ (Apparent Truth) ได้ในเวลาไม่กี่นาที
คุณสามารถใช้เทคนิคนี้ได้ทั้งก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น (เช่นในกรณีที่คุณกำลังจะก้าวเข้าไปสู่สิ่งที่คุณรู้ว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้น) หรือหลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว (ซึ่งผมคิดว่าจะเป็นกรณีที่พบบ่อยที่สุด)
#การยกระดับความจริงภายในของคุณเป็นเรื่องของการ_เปลี่ยนมุมมอง และมันง่ายกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด จริงๆแล้วมันสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมาก
ในการสาธิตครั้งนี้ ผมจะใช้ตัวอย่างจากงานสัมมนา (เวิร์คช็อป) “การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง” ที่ผมนำเสนอไปทั่วโลก ในเวิร์คช็อปนี้ ผมใช้กระบวนการกับผู้คนที่ผมเรียกว่า “#สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ”★ (ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการหลายๆอย่างที่ผมสร้างขึ้นเพื่อเชิญชวนจิตใจให้ก้าวไปสู่ระดับการรับรู้ใหม่)
[★ทุกคนครับ จริงๆมันก็คือ การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะที่พวกเราชาวพุทธคุ้ยเคยกันนี่แหละครับ แต่เคยฝึกกัน (อย่างจริงจัง) รึป่าวนั่นเป็นอีกเรื่องที่ต่างไป —ผู้แปล]
เครื่องมือ “สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ” นี้ปลุกจิตใจและ #ช่วยให้สามารถเริ่มกระบวนการคิดใหม่ได้ ด้วยการเชิญชวนให้จิตใจสังเกตว่า “อดีต” ไม่ใช่ “ปัจจุบัน” และ “ปัจจุบัน” ไม่ใช่ “อนาคต” แต่ “ปัจจุบัน” คือ “ตอนนี้” กล่าวอีกนัยหนึ่ง #จิตใจถูกเชิญชวนให้ใส่ใจกับสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน_แทนที่จะเป็นสิ่งที่จินตนาการขึ้น
#กระบวนการนี้แสดงให้จิตใจเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น #มันสอนให้จิตใจหยุดเพิ่มเติมสิ่งต่างๆเข้าไป #ข้อมูลที่นำมาพิจารณาจะถูกจำกัดเฉพาะข้อมูลที่สังเกตเห็นได้ #ที่ปรากฏชัดเจน นี่สร้างจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับความคิด (เกี่ยวกับ) : ความจริงที่ปรากฏ (อยู่ต่อหน้า) (the Apparent Truth)★
[★กระบวนการตรงนี้ ถ้าอธิบายแบบพุทธก็คือ "ไม่ขัดแย้ง" (ไม่ให้มันเกิด เช่นการข่มไว้ด้วยสมถะ, ด้วยการเพ่ง ฯลฯ) "ไม่ไหลตาม" (ไหลตามความคิดที่เกิดขึ้นมา ณ ขณะนั้น ซึ่งก็คือการคิดในเรื่องนั้นต่อไปเรื่อยๆ) เป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปตามสภาพความเป็นจริง ซึ่งก็คือ การสังเกตความจริงที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า แบบที่นีลอธิบายนี่แหละครับ
ฉะนั้นหากพวกคุณหาเวลาได้ (ควรหาให้ได้) ก็ไปเข้าคอร์สฝึกสติกันบ้างนะครับ (หากเป็นคอร์สที่ปิดวาจาและเก็บมือถือได้ยิ่งดี) แล้วก็ไปแค่ฝึกสตินะครับ แต่ไม่ต้องไปรับข้อมูลอื่นๆมา (เช่นความเชื่อทางศาสนา) แหะๆ 😅 มาถึงตรงนี้ คนที่ตามงานของนีลมาตลอด ก็คงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่า ความเชื่อทางศาสนา มันมีถูกๆผิดๆปนกันอิรุงตุงนังไปหมด ซึ่งสัดส่วนของผิดนั้นมีมากกว่าเยอะ 😅
หลักใหญ่ใจความคือ #การให้พวกคุณหันไปพึ่งพิงแต่สิ่งภายนอกทั้งหมด (และผิดในที่นี้ ก็ในแง่ที่ว่า มันทำให้คุณเสียเวลาที่ต้องมาเอาออกในภายหลัง หากคุณอยากไปต่อหรือเข้าถึงความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า —แต่หากคุณคิดว่าแค่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ในแง่นี้ ก็ถูกครับ ในแบบของคุณ)
คุณแค่ต้องแยกให้ออกสังเกตให้เห็นเท่านั้นเอง ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง และอะไรล่ะที่จะทำให้คุณสังเกตเห็นได้❓ ก็ "สติ" ที่ฝึกดีแล้วของคุณไงครับ นี่ชักจะออกไปในทางระบายความในใจของผู้แปลซะล่ะ แฮ่ 😅 –ผู้แปล]
#จากความคิดใหม่นี้ทำให้เกิดอารมณ์ใหม่ขึ้นมา #อารมณ์ใหม่นี้สร้างประสบการณ์ใหม่ “ความจริงที่สังเกตเห็น (Observed Reality)” มาแทนที่ “ความจริงที่บิดเบือน (Distorted Reality)” ที่ซึ่งกำลังก่อให้เกิดความปั่นป่วนภายในมากมาย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เหตุการณ์ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ผมใช้กระบวนการ “สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ” เมื่อผมพบว่ามีคนในเวิร์คช็อปของผมที่ใช้จุดเริ่มต้นที่ผิดในการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นอยู่เรื่อยๆ #มันจึงสร้างประสบการณ์ที่บิดเบือนของปัจจุบัน
ตัวอย่างคลาสสิก★คือผู้คนในการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือเวิร์คช็อปที่โกรธเพราะมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงในห้อง พวกเขาเข้ามาในเวิร์คช็อปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่ทรงพลัง แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้น บางสิ่งเปลี่ยนแปลง บางทีผมอาจพูดบางสิ่งที่บางคนไม่ชอบ หรือบางทีผมอาจแสดงลักษณะบางอย่างที่ทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจ บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป คุณสามารถรู้สึกได้ในอากาศ คุณสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ มันสัมผัสได้และเป็นจริง (รู้สึกได้จริงๆ)
[★หมายถึงตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่แสดงลักษณะเด่นของสิ่งนั้นๆได้อย่างสมบูรณ์ —ผู้แปล]
แค่ผู้เข้าร่วมคนเดียวมีความรู้สึกในแง่ลบ พลังงานในห้องก็เปลี่ยนไปได้ ในไม่ช้าผู้เข้าร่วมคนนั้นจะพูดว่า “ฉันไม่ชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่” จากนั้นผมจะถามว่า “คุณคิดว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น❓”
คำถามของผมมักจะฟังดูแปลกสำหรับพวกเขา ผมอธิบายว่าคนจำนวนมากมีความยากลำบากในการสังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ—ดังนั้นเมื่อผมถามพวกเขาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ พวกเขาไม่รู้จะตอบ(ว่า)อย่างไร
ดังนั้นผมจึงพูดกับคนๆนั้นว่า “คุณบอกว่ามีบางสิ่งที่คุณไม่ชอบ คุณคิดว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นตอนนี้❓”
พวกเขาอาจจะพูดว่า “ก็ คุณเริ่มใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวและควบคุมมากเกินไป” หรืออะไรประมาณนั้น
ผมจึงพูดว่า “นั่นเป็นวิธีที่คุณรับรู้สิ่งที่ผมทำหรือ❓ และถึงแม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ผมกำลังทำจริงๆ แล้วยังไง❓”
“ก็ฉันไม่มีความสุข” พวกเขาจะพูดซ้ำอีกครั้ง
พอถึงตรงนี้ผมจะเชิญพวกเขามาที่หน้าห้องโดยถามว่า “คุณอยากจะรักษามันไหม❓” บ่อยครั้งพวกเขาจะตอบอะไรประมาณว่า “รักษาอะไร❓ ฉันสบายดี คุณต่างหากที่กำลังทำตัวน่ารำคาญ”
ทั้งห้องหัวเราะและผมก็หัวเราะ (เพราะมันเกิดขึ้นในทุกๆ การประชุมที่มีคนในห้องหันมาต่อต้านวิทยากร) แล้วผมก็พูดว่า “งั้น บางทีคุณอาจจะรักษาผมได้ คุณจะยอมทำไหม❓ คุณจะยอมช่วยผมให้น่ารำคาญน้อยลงไหม❓”
ตอนนี้แม้แต่พวกเขาก็ยิ้มแล้ว “ก็ได้” พวกเขาอาจจะยอม
ผมจึงพูดว่า “วิเศษ❗ ขอบคุณ❗ เอาล่ะ มาลองอะไรบางอย่างกัน มา ขึ้นมาที่นี่กับผม”
และพวกเขาก็ทำ อย่างระมัดระวัง ผมขอเพิ่มเติม แต่พวกเขาก็ทำ เพราะสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ที่ผมได้พบคือพวกเขาเต็มใจที่จะ “เล่น” คนส่วนใหญ่กล้าหาญพอสมควร คนส่วนใหญ่กล้าหาญมาก จริงๆแล้ว คุณเองก็เป็นแบบนั้น คุณรู้ไหมว่าผมรู้ได้ยังไงว่าคุณเป็นแบบนั้น❓ เพราะคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ตอนนี้ มีแต่คนกล้าเท่านั้นที่จะทำแบบนั้น ผมกำลังพูดถึงคนที่กล้าหาญทางอารมณ์ นั่นคือคุณ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มาดูเรื่องที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ขอบคุณที่อยู่ที่นี่กับผม
นั่นคือสิ่งที่ผมพูดกับคนที่มาที่หน้าห้องด้วยเช่นกัน ผมพูดว่า “ขอบคุณที่มาอยู่ที่นี่กับผม” จากนั้นผมพูดว่า “#ตอนนี้ผมจะขอให้คุณสังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ”
พวกเขามักจะตอบว่า “ฉันไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอะไร คุณหมายความว่ายังไง❓”
“ผมหมายความว่า สังเกตให้ดีๆ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ที่นี่ในห้อง ในขณะที่คุณกำลังยืนอยู่ที่นี่กับผม นี่เป็นกระบวนการที่ปลอดภัยมาก ผมทำสิ่งนี้กับคุณได้ไหม❓ คุณอนุญาตให้ผมทำกระบวนการนี้กับคุณไหม❓”
ผมบอกพวกเขาว่ามันอาจจะเปิดเผยบางอย่างหรืออาจจะน่าตกใจนิดหน่อย แต่มันจะไม่ทำร้ายในทางใดเลย ถ้าพวกเขาตอบว่าได้ โอเค คุณสามารถดำเนินกระบวนการได้ นี่คือวิธีที่มันมักจะเป็นไป... นี่คือการถอดความจากเวิร์คช็อปจริงของการมีปฏิสัมพันธ์ของผมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้สึกไม่พอใจ—หรือพูดให้ดีกว่าคือรำคาญ—พลังงานของผม:
ผม : คุณแน่ใจนะว่าคุณเต็มใจที่จะดำเนินกระบวนการต่อ❓
ผู้เข้าร่วม : ค่ะ ฉันแน่ใจ
ผม : แน่ใจจริงๆ นะ❓
ผู้เข้าร่วม : ค่ะ ฉันแน่ใจจริงๆ
ผม : และคุณจะไม่โกรธผม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ผมไม่ทำร้ายคุณ—❓
ผู้เข้าร่วม : ไม่ค่ะ ฉันจะไม่โกรธคุณ ไม่โกรธมากไปกว่าที่โกรธอยู่ตอนนี้ (ทั้งห้องหัวเราะ)
ผม : ดี งั้นขณะที่ผมคุยกับคุณเกี่ยวกับกระบวนการนี้ ผมอยากให้คุณเข้าใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่... อ้าาาาาา❗ ราาาาาาห์❗
ผมตะโกนใส่หน้าเธอ
ผมตะโกนดังมาก ห่างจากเธอแค่ฟุตครึ่ง จริงๆแล้วน้อยกว่านั้น ผมเข้าไปใกล้หน้าเธอและตะโกนบางอย่าง . . . แค่เสียงดังกะทันหัน เสียงอุทาน
แน่นอน เธอสะดุ้งถอยหลัง เธอตกใจมาก และน้ำตาเริ่มไหล
ผมพูดเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้❓”
เธอมองผมราวกับว่าผมมาจากดาวอังคาร เธอยังคงร้องไห้เบาๆ และตัวสั่นเล็กน้อย ผมพูดอีกครั้งเบาๆ “สังเกตช่วงเวลาปัจจุบันขณะ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นที่นี่❓”
“คุณทำให้ฉันกลัว”
“ไม่ ไม่ ไม่ #คุณทำให้ตัวคุณกลัวเอง ผมทำอะไร❓ คุณทำให้ตัวคุณเองกลัว ผมทำอะไร❓”
“คุณตะโกนใส่ฉัน คุณขยับเข้ามาใกล้ฉันและตะโกนใส่หน้าฉัน”
“โอเค นั่นดูเป็นยังไงสำหรับคุณ❓ เกิดอะไรขึ้นจริงๆ❓ อะไรที่คุณสังเกตเห็นว่าเกิดขึ้น แทนที่จะเป็นสิ่งที่จิตใจคุณกำลังบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น❓ อะไรที่ปรากฏชัดตรงนี้ แทนที่จะเป็นสิ่งที่คุณจินตนาการ❓”
“ฉันไม่ได้จินตนาการอะไรเลย❗ คุณก้าวตรงมาที่ฉันและตะโกนใส่หน้าฉัน❗ คุณทำให้ฉันกลัวแทบตาย”
“ไม่ ผมไม่ได้ทำให้คุณกลัว คุณทำให้ตัวคุณกลัวเอง #อันตรายคือความจริงที่บิดเบือน แต่อะไรคือความจริงที่สังเกตเห็น❓”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณกำลังจะสื่ออะไร ฉันไม่รู้ว่าคุณอยากให้ฉันพูดอะไร”
“คุณเห็นอะไร❓ คุณสังเกตเห็นอะไร❓”
“เสียงดัง เสียงดังกระทบหูฉัน”
“ดีครับ อะไรอีก❓”
“ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของคุณ คุณอยู่ใกล้มาก ฉันรู้สึกถึงลมหายใจของคุณบนใบหน้าฉัน”
“ดีครับ ตอนนี้เราใกล้เข้ามาแล้ว ผมแตะตัวคุณไหม❓”
“ไม่”
“ผมทำร้ายคุณทางกายภาพด้วยวิธีใดๆไหม❓”
“ไม่”
“งั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมีเสียงดังมาถึงหูคุณและคุณรู้สึกถึงลมหายใจบนใบหน้าคุณ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นใช่ไหม❓”
“ใช่”
“แล้วยังไง❓ ทำไมมันถึงน่ากลัว❓ ถ้ามันทำให้คุณตกใจชั่วขณะ นั่นก็เข้าใจได้ คุณได้ยินเสียงฟ้าร้องและมันทำให้คุณตกใจ แต่หลังจากความตกใจเริ่มแรก มีอะไรเกี่ยวกับมันที่จะทำให้คุณบาดเจ็บทางจิตใจในระดับใดก็ตามไหม❓”
“คุณไม่เข้าใจ คุณทำให้ฉันกลัวแทบตาย”
“แต่คุณเริ่มร้องไห้ คุณน้ำตาไหลพรากออกมา”
“ใช่❗ เพราะคุณทำให้ฉันกลัวแทบตาย❗”
“ไม่ คุณทำให้ตัวคุณกลัวเอง แต่เราไม่ต้องเถียงกันในประเด็นนี้ ผมขอถามคุณแบบนี้ คุณเคยตกใจเพราะฟ้าร้อง—เช่นฟ้าร้องในตอนกลางคืนไหม❓”
“ค่ะ แน่นอน ฉันคิดว่าพวกเราทุกคนเคย”
“ดีครับ และเมื่อมันเกิดขึ้น คุณระเบิดร้องไห้ออกมาไหม❓”
...ความเงียบ...
จากนั้นก็ . . .
“ไม่”
“โอเค ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าการตกใจชั่วขณะ เพราะมีบางอย่างตก หรือคุณได้ยินเสียงฟ้าร้อง หรือมีบางอย่างเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติถ้าคุณไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น แต่มีแค่เด็กทารกเท่านั้นที่จะร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้อง—เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น คุณไม่ร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้อง แม้ว่ามันจะทำให้คุณตกใจชั่วขณะ ทำไมล่ะ❓
เพราะคุณรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น จิตใจของคุณมองไปที่ความชัดแจ้งของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ไปที่ความจริงที่จินตนาการ (Imagined Truth) แต่ไปที่ความจริงที่ปรากฏ (Apparent Truth) หลังจากช่วงเวลาที่ไม่ได้คาดคิดผ่านไป อะไรที่ทำให้คุณบาดเจ็บทางจิตใจอย่างต่อเนื่องได้❓”
มาถึงตรงนี้ผมเริ่มเห็นแสงสว่างแห่งการตระหนักรู้จางๆ ปรากฏบนใบหน้าของผู้เข้าร่วม ผมพูดต่อไป . . .
“ความบาดเจ็บทางจิตใจอย่างต่อเนื่องที่คุณประสบในช่วงเวลาปัจจุบันใดๆ คือ #สิ่งที่คุณเริ่มเทเข้ามาในช่วงเวลานั้นทันทีจากที่อื่น #ไม่ใช่จากที่นี่และเดี๋ยวนี้ คุณเอื้อมไปหาบางสิ่งที่ไม่จริง เช่น ‘เมื่อวาน’ จิตใจของคุณรู้ : พ่อของฉันทำแบบนั้นกับฉันตอนฉันอายุหกขวบ #คุณเริ่มเทเมื่อวานเข้ามาในช่วงเวลานี้ ดึงปลั๊กออกจากถังข้อมูลนั้นและปล่อยให้มันไหลออกไปทั้งหมด #ระบายช่วงเวลาของเมื่อวานออกจากขณะปัจจุบัน คุณทำได้ไหม❓”
หยุดชั่วครู่ จากนั้นก็ . . .
“ใช่ ฉันคิดว่าฉันทำได้—คุณรู้เรื่องพ่อของฉันได้ยังไง❓”
“มันเป็นแค่การเดา มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ ประเด็นคือ #จิตใจของคุณดึงบางสิ่งจากอดีตมาสู่ปัจจุบันขณะนี้ และ #ความคิดนั้นเองที่สร้างอารมณ์ซึ่งทำให้คุณรู้สึกกลัวมาก ตอนนี้ ลองมองย้อนกลับไปที่ช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านไปในห้องนี้ เกิดอะไรขึ้น❓ คุณสังเกตเห็นอะไร❓”
“ฉันได้ยินเสียงดัง เสียงตะโกน ดังมากจนฉันสะดุ้ง ฉันรู้สึกถึงลมหายใจบนใบหน้า ฉันรู้สึกถูกคุกคาม”
“ดีครับ นั่นเป็นการสังเกตที่ดี คุณทำได้ดีมาก ตอนนี้บอกผมสิ คุณกลัวผมไหม❓คุณคิดว่าผมในฐานะผู้นำการปฏิบัติ(ธรรม) ครั้งนี้ จะทำร้ายคุณในทางใดทางหนึ่งหรือเปล่า❓”
“ไม่ น่าจะไม่”
“น่าจะไม่❓”
“ไม่แน่นอน คุณจะไม่ทำร้ายชั้น”
“คุณแน่ใจเรื่องนั้นไหม❓”
“ใช่”
“แล้วทำไมคุณถึงรู้สึกถูกคุกคามล่ะ❓”
“เพราะคุณทำให้ชั้นนึกถึงพ่อ ที่เคยทำร้ายชั้นตอนที่เขาตะโกนแบบนั้น”
ตรงนี้มีช่วงเงียบที่ยาวนาน เธอเคยสังเกตเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้เธอเข้าใจจริงๆแล้ว ทุกคนในห้องก็เข้าใจ
ในที่สุดผมก็พูดเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ . . .
“ผมเข้าใจแล้ว #คุณคิดว่าปัจจุบันคือเรื่องในอดีต”
“ขอโทษค่ะ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันเป็นเรื่องปกติมาก แต่ผมขอถามคุณหน่อย : คุณคิดว่าคุณสามารถ ‘ยกเลิกความเป็นอัตโนมัติ’ นั้นได้ไหม❓”
“ได้ น่าจะได้”
“หมายความว่าผมสามารถตะโกนใส่หน้าคุณอีกครั้ง และคุณจะไม่รู้สึกถูกคุกคามงั้นเหรอ❓”
“คิดว่าใช่ ใช่ ถูกต้อง(ใช่แล้ว)”
“คนอื่นล่ะ❓”
“อะไรนะ❓”
“คนอื่น ในเวลาอื่น ถ้าเขาตะโกนใส่คุณกะทันหัน คุณจะไม่รู้สึกถูกคุกคามใช่ไหม❓”
“คิดว่าใช่”
“ทำไมครับ❓ ทำไมคุณคิดว่าคุณจะสามารถทำได้ในอนาคต ในเมื่อเมื่อกี้นี้คุณยังทำไม่ได้❓”
“เพราะชั้นเพิ่งได้เห็นผ่านกระบวนการนี้ ว่าชั้นกำลังทำอะไรอยู่ เพราะตอนนี้ชั้นเห็นแล้วว่า #สิ่งที่ชั้นคิดว่ากำลังเกิดขึ้น_ไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง”
“เยี่ยม ดังนั้นคุณกำลังเรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน คุณกำลังปลดปล่อยตัวเองจากวันวาน คุณไม่จำเป็นต้องให้มันมาทำลายวันนี้ของคุณอีก #คุณให้ช่วงเวลาปัจจุบันของคุณกับมันมามากพอแล้ว ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ได้อิสรภาพนี้ก็คือ . . . #สังเกตช่วงเวลาปัจจุบัน มองให้ลึกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตรงนี้ ตอนนี้ (ที่นี่ เดี๋ยวนี้) อย่าหลงเชื่อความจริงที่จินตนาการขึ้น (Imagined Truth) แต่ให้ก้าวเข้าสู่ความจริงที่ปรากฏ (Apparent Truth) เข้าใจไหมครับ❓”
“ค่ะ ชั้นคิดว่าชั้นเข้าใจ”
“คุณคิดว่าคุณเข้าใจ❓”
“ไม่ ชั้นเข้าใจ ชั้นเข้าใจแล้ว”
“เยี่ยม ขอบคุณมากครับ และในช่วงต่อไปของการปฏิบัติ(ธรรม) นี้ ถ้าผมเริ่มตื่นเต้นและพูดเสียงดังหรือใช้น้ำเสียงแข็ง คุณจะเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นและอะไรไม่ได้เกิดขึ้น ใช่ไหม❓”
(เสียงหัวเราะ) “ใช่”
“ดีมาก เชิญนั่งได้”
(เสียงปรบมือ)
*
Believe me, you don’t have to know.
เชื่อฉันเถิด เธอไม่จำเป็นต้องรู้
Not so much that you render yourself helpless.
Helpless in the face of what Life brings next.
ไม่ต้องรู้มากจนทำให้ตัวเองไร้หนทาง
ไร้หนทางเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ชีวิตจะนำมาถัดไป
So make peace with knowing very little.
จงสงบอยู่กับการรู้เพียงน้อยนิด
About Love.
เกี่ยวกับความรัก
About Others.
เกี่ยวกับผู้อื่น
About how life should be.
เกี่ยวกับชีวิตที่ควรจะเป็น
Make amends with how things are.
จงคืนดีกับสิ่งที่เป็นอยู่
Not knowing a thing,
walk with gentle knees,
ready to drop to them, at any moment
that Life dictates it.
ไม่ต้องรู้สิ่งใด
จงเดินไปด้วยเข่าที่อ่อนนุ่ม
พร้อมที่จะคุกลง(ได้)ทุกเมื่อ
เมื่อชีวิตบัญชา
Keep an empty hand
so that it can be brought to your heart
when a grief arrives.
จงรักษามือให้ว่างเปล่าไว้
เพื่อที่จะนำมันมาแนบหัวใจ
เมื่อความโศกมาเยือน
Make up a bed that you can fall into
as your own, comforting arms.
จงจัดเตียงที่เธอสามารถทิ้งตัวลงไป
ดั่งอ้อมแขนปลอบประโลมของตัวเอง
_______
We come to find that Life is mostly quiet.
It asks us to live by our Knowing, while
surrendering that very same thing.
เรามาพบว่าชีวิตส่วนใหญ่เงียบงัน (หากรู้ทันความคิด)
ชีวิตขอให้เราดำรงอยู่ด้วยการรู้ของเรา ในขณะที่
ให้ปล่อยวางสิ่งเดียวกันนั้น
It vibrates easily around us,
candid and benevolent.
ชีวิตสั่นไหวอย่างแผ่วเบารอบตัวเรา
อย่างจริงใจและเมตตา
You see, it’s only
when we root ourselves solid in some knowing again,
that Life seems to have to shout—
เธอเห็นไหม ชีวิตเป็นเพียง (สิ่งที่เธอคิด)
ขณะที่เรายึดมั่นตัวเองแน่นในความรู้บางอย่างอีกครั้ง
ที่ชีวิตดูเหมือนต้องตะโกน—
rises,
ให้ลุกขึ้น
lovingly,
from Its whisper.
ด้วยความรัก
จากเสียงกระซิบของมัน
*
—‘Life Is Mostly Quiet’ © 2007 Em Claire
—‘ชีวิตส่วนใหญ่เงียบงัน’ © 2007 เอ็ม แคลร์
โฆษณา