9 ต.ค. เวลา 05:00 • การศึกษา
สิงคโปร์

สิงค์โปร์ไม่มีโชคช่วย? ตอนที่ 1: เกียซูเพราะกูเเพ้ไม่ได้

ถ้าถามว่าสถานที่ไหนที่คู่รักวัยรุ่นสิงคโปร์ใช้เวลาออกเดตร่วมกันมากที่สุด
หลายคนน่าจะคิดว่าคำตอบคือห้างหรูที่กระจายอยู่ทั่วสิงคโปร์ ไปช็อปปิ้งตาม Orchard หรือไม่ก็ดูพระอาทิตย์ตกกันที่ Marina Bay Sands หรือไม่ก็ไปปิกนิกหรือเดินริมชายหาดตามสวนสาธารณะที่กระจายอยู่ทั่วเมือง
แต่เมื่อผมลองถามเพื่อนสิงคโปร์หลายๆคนคำตอบที่ออกมาบ่อยที่สุดคือ ห้องสมุด ครับ
การออกเดตโดยการไปเรียนที่ห้องสมุดกับแฟน เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นชนชั้นกลางไทยที่ต้องประสบพบเจอกับการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในระบบการศึกษาบ้านเรา
แถมมองเผินๆ ก็เป็นฟีลน่ารักด้วยซ้ำเมื่อคู่รักจำนวนมากตัดสินใจใช้เวลาหวานๆ ด้วยกันผ่านการศึกษาหาความรู้หรือทบทวนบทเรียน
แต่การที่มันเป็นกิจกรรมที่แทบจะเป็นอันดับ 1 ของประเทศนี้จริงๆ ก็สะท้อนถึงแรงกดดันมหาศาลในชีวิตวัยเรียนสิงคโปร์ที่เหล่าวัยรุ่นพวกนี้ต้องแบกไว้ นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เห็นถึงวัฒนธรรม “เกียซู” ได้ชัดเจนในสิงคโปร์
แล้วเกียซูคืออะไร?
เกียซู (惊输) หรือ Kiasu เป็นภาษาฮกเกี้ยนที่แปลตรงๆ เลยว่า “ความกลัวแพ้” เป็นคำเรียกวัฒนธรรมการแข่งขันอย่างสุดขั้วของคนสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนและการทำงาน โดยวันนี้ผมจะเล่าให้ฟังถึงความสำคัญของวัฒนธรรมเกียซูซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของสิงคโปร์ ผ่านเลนส์ของนักเรียนไทยคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสมาศึกษาต่อที่นี่
1
ต้องบอกไว้ก่อนว่าสิงคโปร์ก็เหมือนประเทศทั่วไปนะครับ ไม่ใช่ทุกคนในประเทศนี้จะขยันและชอบแข่งขันแบบสุดขั้ว
แต่จากประสบการณ์ตรง นักเรียนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ที่มีโอกาสได้มาเรียนใน JC (Junior College) หลังจากเลิกเรียน พวกเขามักไม่ได้ออกไปสังสรรค์หรือใช้เวลาร่วมกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนเท่าไหร่นัก เพื่อนๆ ส่วนใหญ่พอเลิกเรียนก็กลับบ้านแล้วไปอ่านหนังสือทันที
จำนวนครั้งที่ผมเห็นเพื่อนไปเดินห้างใช้เวลาสนุกๆ ร่วมกัน แทบทั้งหมดจะเกิดขึ้นแค่ในช่วงหลังสอบครั้งใหญ่เสร็จเพื่อเฉลิมฉลอง หลังจากนั้นชีวิตก็จะกลับเข้าสู่โหมดเรียนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ข้อดีของความขยันนี้คือเด็กสิงคโปร์หลายคนเรียนเก่งเป็นอย่างมาก เยาวชนของสิงคโปร์สามารถชนะรางวัลวิชาการต่างๆระดับโลกได้ ผมพบเจอเรื่องนี้ผ่านประสบการณ์ตรงเช่นความเก่งกาจของทีมสิงคโปร์ในโอลิมปิกเศรษฐศาสตร์โลกที่ผมได้ไปแข่งซึ่งสิงคโปร์เพิ่งเป็นแชมป์มาแล้วสองสมัยติด
แต่ข้อเสียก็คือเมื่อเด็กจำนวนมากที่นี่ตั้งใจเรียนแบบแทบไม่ลืมหูลืมตา ความพยายามขั้นสูงที่ควรเป็นตัวแปรให้นักเรียนคนหนึ่งโดดเด่นกลับกลายเป็นมาตรฐานขั้นต่ำไปโดยปริยาย
ผลที่ตามมาคือ ความเครียดระดับสูง ที่ลุกลามไปตามทุกชนชั้นของคนสิงคโปร์ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนซึ่งผมก็เจอมากับตัว
เกียซูทำให้สิงคโปร์เป็นสังคมที่มีการเปรียบเทียบและแข่งขันสูงมาก ดังนั้นนักเรียนสิงคโปร์หลายคนมักรู้สึกว่าตัวเองยัง “ไม่ดีพอ” และเผชิญแรงกดดันอย่างสูงที่จะต้องทำเป้าหมายต่างๆในชีวิตนักเรียนให้ได้ทุกข้อถึงจะรู้สึกว่าตัวเอง “ประสบความสำเร็จ” ในฐานะนักเรียน การเรียนต้องเลิศ กิจกรรมต้องเด่น
ความต้องการเหล่านี้สะท้อน “ความกลัวแพ้” ที่ทำให้นักเรียนหลายคนรู้สึกว่าชีวิตถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย และพวกเขาอาจหลุดจากเส้นทางแห่งความสำเร็จได้หากพลาดเพียงครั้งเดียว เกียซูทำให้ความเชื่อที่ว่า “ความหวังและความฝันขึ้นอยู่กับผลการศึกษา” ฝังรากลึกในสังคมสิงคโปร์
แล้วมันมาจากไหน และเกี่ยวอะไรกับเศรษฐกิจสิงคโปร์?
เกียซูเกิดจากความจริงที่ว่า สิงคโปร์ตอนเริ่มต้นไม่มีทรัพยากร อะไรเลย ต่างจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงโดยสิ้นเชิง
สิงคโปร์ไม่ได้มีน้ำมันใต้ผืนดินไว้ส่งออก ประชากรหลายล้านทำให้ประเทศแออัดจนไม่มีพื้นที่พอทำเกษตร ไม่มีแม้แต่แหล่งน้ำจืด ไว้อุปโภคและบริโภค จนต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจากมาเลเซีย
ความขาดแคลนทรัพยากรหลังได้รับเอกราชทำให้พวกเขาอยู่ในสถานะ จำเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจให้โตเร็วที่สุด ชนชั้นนำสิงคโปร์มองว่า การพัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ เครื่องมือให้พวกตนมั่งคั่งและอยู่ในอำนาจนานขึ้น แต่เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศแข็งแกร่งพอ อยู่รอด เมื่อถูกล้อมรอบด้วยเพื่อนบ้านที่ (ในเวลานั้น) ไม่เป็นมิตร
Desperate times call for desperate measures.
Greek physician Hippocrates
เมื่อรัฐบาลตระหนักถึงความจำเป็นต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด สิ่งที่ต้องทำคือ เดิมพันแบบหมดหน้าตักด้วยทรัพยากรที่มีผ่านนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา
นโยบายระยะยาวช่วงเริ่มต้นประเทศใช้งบประมาณมหาศาลถึงขั้นที่ประเทศอาจ “ถังแตก” ได้หากนโยบายเหล่านี้ไม่สำเร็จ
ผู้นำสิงคโปร์พึ่งดวงไม่ได้เมื่อความเป็นความตายของประเทศและลูกหลานถูกใช้เป็นเดิมพัน ผู้ออกแบบนโยบายต้องทำให้แน่ใจว่าเงินที่ทุ่มไปจะผลักดันให้สิงคโปร์ยังเป็น “ผู้โดยสารแถวหน้า” ของรถไฟเศรษฐกิจโลกในยุคสงครามเย็นและโลกาภิวัฒน์
สิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรพอจะให้โอกาสแก้ตัวกับรัฐบาลได้ ดังนั้นความคิดว่า “พลาดไม่ได้” จึงยิ่งฝังแน่น
ความเชื่อเหล่านี้ถูกส่งต่อมายังเยาวชนอนาคตของประเทศที่ซึมซับวัฒนธรรมเกียซูเต็มๆ เป้าหมายของการศึกษาสิงคโปร์คือการสร้างบุคลากรที่สมบูรณ์แบบและตัดสินใจได้อย่างยอดเยี่ยม การศึกษาจึงถูกออกแบบให้มีการแข่งขันสูงเพื่อคัดคนเก่ง ออกมาโดยทิ้งผู้ที่ทนไม่ได้ไว้ข้างหลัง
นักเรียนที่จะยืนบนจุดสูงสุดของระบบการศึกษาสิงคโปร์ต้อง ทนแรงกดดันขั้นสุด เพื่อรับไม้ต่อเป็นผู้นำในอนาคตของประเทศที่แพ้ไม่ได้
แม้ตอนนี้สิงคโปร์จะพัฒนา ฐานทางเศรษฐกิจ ของตนมาไกลแล้ว (เช่นมี Temasek ฯลฯ) พูดเป็นนัยๆได้ว่าวันนี้สิงคโปร์ “พลาดได้บ้าง” แล้ว
พวกเขามีทรัพยากรทางการเงินและมนุษย์เพียงพอให้ประเทศพัฒนาและอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่ต้องเดิมพันหมดหน้าตักเหมือนก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องกดดันเด็กรุ่นใหม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ถึงแม้กระนั้น DNA ความเกียซู ไม่ได้จางหาย คนสิงคโปร์จำนวนมากแม้แต่เด็กรุ่นใหม่ยังเชื่อในการทำงานหนักและลึกๆยังยึดมั่นว่าพวกเขา แพ้ไม่ได้ ในเส้นทางการศึกษา
ดังนั้นเด็กรุ่นใหม่หลายคนจึงต้องพยายามอย่างหนักเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดจากการที่คู่รักวัยว้าวุ่นจำนวนมากเลือกไปห้องสมุดเพื่อ Study Date ซึ่งกลายเป็น ทางสายกลางที่พอจะประคองทั้งความสัมพันธ์และความฝันในสังคมการแข่งขันสูงลิ่วแทนการเดตแบบที่เราคุ้นเคย
ทั้งหมดนี้ที่เพื่อนๆ ได้อ่านมาเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเกียซูในสิงคโปร์ผ่านมุมมองด้านการศึกษา เพราะนอกเหนือจากเรื่องเรียน เกียซูยังมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตและสังคมการทำงาน แต่เนื่องจากผมยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอในเรื่องเหล่านั้นเลยขอยังไม่เล่า
บทสรุป
เกียซูในมุมผมคือ ดาบสองคม ด้านดีเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันให้คนสิงคโปร์พัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถไปอยู่บนเวทีโลก แต่อีกด้านหนึ่งมันทำให้คนในประเทศไม่สามารถลิ้มรสความสุขของความสำเร็จได้อย่างเต็มที่ เพราะแรงกดดันมหาศาลที่คอยย้ำเตือนให้ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด
เกียซูคืออาวุธทรงพลัง แต่ความเครียดและแรงกดดันที่ตามมาคือราคาที่คนสิงคโปร์จำนวนมากต้องจ่าย
ขอบคุณทุกคนมากที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ และ นี่คือตอนแรก ของซีรีส์ “สิงคโปร์ไม่มีโชคช่วย” โดย โณ่สนโณ่แคร์ ผมรู้สึกว่าถ้าจะเข้าใจสิงคโปร์ก็ต้องเข้าใจความเกียซูก่อน จึงยกประเด็นนี้มาอยู่ในบทความแรก
ถ้าชอบใจก็อย่าลืมกดไลก์และติดตามเพจด้วยนะครับ
ปล. ผมจะพยายามโพสต์ให้มากขึ้นนะครับ ช่วงก่อนก็เกียซูเพราะกลัวเกรดตกเลยไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดใกล้หอ ด้วยเหตุนี้เองทำให้ผมได้เจอคู่รักจำนวนเยอะมากที่รุ่นราวคราวเดียวกันที่ห้องสมุด จะต่างกับพวกเขานิดหนึ่งก็ตรงที่ผมไม่มีใครข้างๆนี่แหละ 5555
สุดท้ายนี้ก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ :)
โณ่สนโณ่แคร์
วันที่ 9 ตุลาคม 2568

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา