21 ต.ค. เวลา 13:27 • การศึกษา
สิงคโปร์

สิงค์โปร์ไม่มีโชคช่วย? ตอนที่ 1.2: ความพยายามในการสร้างทางสายกลางในระบบการศึกษาสิงคโปร์

นี่เป็นตอนสั้นๆเพื่อเสริมข้อมูลเกี่ยวกับตอนเเรกเรื่องเกี่ยวกับเกียซู
ต้องบอกไว้ก่อนว่าเรื่องที่กล่าวไปในตอนที่เเล้วเกี่ยวกับวัฒนธรรมเกียซูอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่นักเรียนสิงคโปร์ทุกคนต้องเจอเนื่องจากเเต่ละบุคคลก็มีเป้าหมายการใช้ชีวิตเเละคณะที่อยากเข้าศึกษาที่เเตกต่างกันออกไป
เเต่สิ่งที่นักเรียนทุกคนจะประสบพบเจอเหมือนกันก็คือนโยบายการศึกษาที่ทางกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์หรือที่รู้จักกันในนาม Ministry of Education เรียกสั้นๆว่า MOE (ต่อไปนี้จะขอใช้ MOE คําย่อเเทนกระทรวงการศึกษานะครับ)
เมื่อประเทศไม่จําเป็นต้องดิ้นรนสุดขีดเเละกดดันนักศึกษาอย่างหนักเหมือนเมื่อก่อนเเต่สภาพสังคมเเละความคาดหวังของนักเรียนในสังคมสิงคโปร์ที่ต้องเจอความกดดันจากการเเข่งขันที่สูงลิ่วยังคงเหมือนเดิม
เเล้วรัฐบาลสิงคโปร์จะมีเเนวทางจัดการเเก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
เพื่อตอบคําถามข้างต้น วันนี้ผมจะขอมาเล่า 3 นโยบายหลักที่ของกระทรวงศึกษาที่ถูกออกเเบบมา
มาเริ่มต้นที่นโยบายเเรกกันเลยซึ่งคือการยกเลิกสอบกลางภาค
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบเเต่สิงคโปร์เป็นประเทศที่คะเเนนเก็บหรือเกรด 100% จะมาจากการสอบทั้งหมด ไม่ได้มาจากการส่งงานหรือคะเเนนจิตพิสัยในห้องเเม้เเต่คะเเนนเดียว ดังนั้นนักเรียนจึงให้ความกับการสอบเก็บคะเเนนเป็นพิเศษเเถมที่นี่ไม่มีให้สอบซ่อมหรือทํางานมาส่งเพื่อปรับปรุงคะเเนนเก็บ พลาดเเล้วคือพลาดเลยไม่มีเเก้ตัว
โดยใน 1 ปีของภาคเรียนสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ก็มีสอบเก็บคะเเนนใหญ่ๆที่มีผลต่อเกรดอยู่สองช่วงคือ สอบกลางภาคเเละปลายภาคในช่วงปลายเทอม 2 เเละ 4(โรงเรียนมัธยมสิงคโปร์เเละ Junior College ใช้ระบบสี่เทอมนะครับ)
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ปี รัฐบาลสิงคโปร์ได้ทําการประกาศยกเลิกการสอบกลางภาค โดยคะแนนที่จะนํามาใช้ประเมินจะมาจากการสอบย่อยที่รู้จักกันในนามว่า Weighted Assessment(WA) เเทน
เเล้วสอบย่อยกับสอบกลางภาคเเตกต่างกันอย่างไร?
อย่างเเรก WA จะมีอยู่ในทุกเทอมตั้งเเต่เทอม 1-3 สําหรับนักเรียนปี 1-3 ในระดับมัธยมเเละเทอม 2-3 สําหรับนักเรียน JC ปี 1
WA หรือสอบย่อยก็จะมีการสอบค่อนข้างบ่อยตามชื่อนะครับ โดยจะมีการสอบทั้งหมด 2-3 รอบเเทนสอบกลางภาคที่สอบเเค่ครั้งเดียวตอนปลายเทอม 2
ข้อดีคือมันช่วยลดความเครียดเเละเเรงกดดันที่นักเรียนต้องเผชิญเพราะ WA หนึ่งครั้งส่วนใหญ่จะถูกคิดเป็น 15% ของเกรดทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้นนักเรียนไม่จําเป็นต้องกดดันตัวเองอย่างหนักเมื่อสอบพลาดเเค่ครั้งเดียว
อีกอย่างหนึ่งคือการสอบ WA เเต่ละครั้งเนื้อหาที่จําเป็นต้องอ่านไม่เยอะมาก ตัวอย่างที่ทําให้เห็นภาพชัดขึ้นคือวิชาที่ต้องท่องจําเยอะอย่างชีวะ เมื่อนักเรียนสอบ WA พวกเขาอาจจะต้องอ่านเเค่ 2-3 บทต่างจากสอบกลางภาคที่ต้องอ่าน 5-6 บท
ความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์จริง:
ส่วนตัวรู้สึกว่านโยบายนี้มีประโยชน์มากๆ ผมโชคดีมากๆที่มาสิงคโปร์ตอนเขาบังคับใช้นโยบายนี้ พอช่วงเเรกมาไม่ได้มีสอบที่เก็บคะเเนนหนักๆอย่างสอบกลางภาคมันก็เปิดโอกาสให้ผมมีเวลาทํากิจกรรมเเละตะลุยเที่ยวสิงคโปร์ทําให้สามารถปรับตัวเข้ากับประเทศนี้ได้ดีขึ้น
คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าตอนผมเพิ่งมาเเล้วสอบกลางภาคยังอยู่ ผมจะมีเพื่อนเตะบอลที่นี้เยอะเเละมีประสบการณ์เที่ยวในสิงคโปร์เยอะเท่าตอนนี้ไหม 555
มาต่อที่นโยบายที่สองกันเลยซึ่งก็คือนโยบายปรับการนับคะเเนน A-level
ก่อนอื่นเลยการสอบของ A-level ของสิงคโปร์คืออะไร?
A-level คือการสอบวัดระดับเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของสิงคโปร์นะครับโดยข้อสอบจะออกโดย Cambridge ที่อังกฤษทําให้นักเรียนสิงคโปร์ยังสามารถใช้คะเเนนการสอบนี้ยื่นเข้ามหาลัยในเครือสหราชอาณาจักรได้โดยตรงเลย
A-level ในสิงคโปร์ก็เหมือนของไทยที่นักเรียน Junior College ปี 2 ซึ่งเทียบเท่า ม.6 บ้านเราเป็นคนสอบ
วันนี้อาจจะยังไม่เล่าโครงสร้างเเละระบบการศึกษาของชั้นอุดมศึกษาในสิงคโปร์อย่างละเอียดนะครับเเต่จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
ก่อนหน้านี้ใช้ระบบ RP90 โดยนักเรียนต้องใช้คะเเนน 1 วิชาบังคับอย่าง General Paper ที่เป็นการผสมผสานภาษาอังกฤษเเละสังคมศึกษาเข้าด้วยกันบวกกับวิชาทางเลือกอีก 4 วิชา
เกรดของ A-level จะถูกเรียกว่า Rank Point หรือเรียกสั้นๆว่า RP โดยก่อนหน้านี้ถูกวางระบบให้มีคะเเนนเต็มทั้งหมด 90 โดย 10 คะเเนนจากวิชาบังคับ General Paper(GP) เเละอีก 80 คะเเนนจะมากจากเกรดของวิชาทางเลือกที่มีคะเเนนเต็มวิชาละ 20 คะเเนนรวมกัน
ระบบเกรดนี้ทําให้นักเรียนต้องพยายามทําคะเเนนให้ได้ดีเยี่ยมในทุกวิชาที่สอบ สิ่งนี้ทําให้เกิดความเครียดสูงเเถมนักเรียนไม่สามารถเลือกโฟกัสวิชาที่ถนัดได้อย่างเต็มที่เพราะก็ไม่สามารถเลือกทิ้งวิชาอ่อนของตัวเองได้
ดังนั้นกระทรวงศึกษาเลยเปลี่ยนกฏจากคะเเนน 90RP เป็น 70RP ซึ่งจะเป็นการบังคับให้มหาลัยจะดูเพียงเเค่ 3 วิชาที่ดีที่สุดจาก 4 วิชา
โดยระบบใหม่จะไม่นำคะแนนของ H1 หรือ H2 วิชาที่อ่อนที่สุดมาคิดรวมอีกต่อไป เว้นแต่ถ้าคะแนนของวิชานั้นช่วยเพิ่มคะแนนรวมได้ (เช่น เพิ่มได้สูงสุดประมาณ +1 คะแนนจากเดิม) กลับกันถ้าวิชานั้นทำให้คะแนนรวมลดลงก็จะไม่ถูกนำมาคิดเลย
การบังคับใช้นโยบายนี้นอกจากเป็นการลดกดดันให้นักเรียนเเล้ว มันยังเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถลองผิดลองถูกเเละสามารถเลือกวิชาหนึ่งที่พวกเขาจะเลือกเรียนในระดับ H1 (ระดับที่ตํ่ากว่าได้) เป็นการลดเเรงกดดันเเละส่งเสริมให้นักเรียนสามารถมุ่งศึกษาวิชาที่ตัวเองถนัดได้อย่างดีเยี่ยมมากขึ้น
เเล้วก็มาถึงนโยบายที่ 3 กันเเล้วนะครับซึ่งก็จะเป็นการปรับการนับคะเเนน O-level
จะขอไม่ลงลึกกับนโยบายนี้มากเพราะว่ามันยังไม่ถูกบังคับใช้เเละเนื้อหานโยบายยังสามารถถูกปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต
การปรับเปลี่ยนนโยบายนี้จะคล้ายๆกับการเปลี่ยนวิธีนับคะเเนนของ A-level โดยจะเปลี่ยนระบบการนับคะเเนนจาก L1R5 เป็น L1R4 ภายในปี 2028
มาทําความรู้จักกับระบบ L1R5 สั้นๆกันก่อน โดยเกรด O-level จะดูวิชาภาษา 1 วิชาบวกกับคะเเนนจาก 5 วิชาอื่นๆ
ในระบบของ O-level จะมีวิชาบังคับอยู่ 3 วิชา อย่างเเรกคือวิชา L1 ซึ่งคือภาษาที่นักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้คะเเนนภาษาอังกฤษ หรืออีก 3 วิชาภาษาเเม่ขั้นสูงอย่างจีน มาเลย์ เเละ ทมิฬ
อีกสองวิชาบังคับจะอยู่ในหมวดวิชาอื่นๆซึ่งก็คือเลขพื้นฐาน Elementary Math (E. Math) กับวิชา Humanities ที่รวมคะเเนนครึ่งหนึ่งมาจากวิชาสังคมศึกษากับอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจากวิชามนุษยศาสตร์ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกได้ว่าจะเรียน ประวัติศาสตร์ สังคม เเละวรรณกรรมอังกฤษ
เมื่อมีการเปลี่ยนเเปลงนี้ Junior College จะยังคงดูคะเเนนวิชาภาษาเหมือนเดิม เเต่สําหรับวิชาอื่นๆพวกเขาจะดูเพียงเเค่ 4 วิชาที่คะเเนนดีที่สุดเเทนที่จะเป็น 5 วิชาที่ดีที่สุดเหมือนเมื่อก่อน
เป้าหมายก็คือเพื่อลดความเครียดเด็กเหมือนเดิมเเหละครับ เเต่ด้วยความที่วิชาของ O-level มีความเข้มข้นน้อยกว่า JC ก็มีความกังวลอยู่เล็กน้อยว่าการที่เปลี่ยนระบบอาจจะทําให้คะเเนนเฟ้อเเละการเข้า JC ระดับสูงอาจเป็นเรื่องยากขึ้น
ถึงเเม้นโยบาบเหล่านี้จะมีจุดบกพร่องอยู่บ้างเเต่นี่ก็เเสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวของการศึกษาสิงคโปร์ที่เริ่มให้ความสําคัญกับสุขภาพจิตของเยาวชนมากยิ่งขึ้น เเม้ความเกียซูจะยังอยู่เเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดให้นักเรียนได้ไม่มากก็น้อย
เอาละครับนี่ก็คือตอนจบของตอนสั้นๆที่มาอธิบายสามนโยบายคร่าวๆที่มีเป้าหมายเพื่อลดเเรงกดดัน ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลาเล่นของสิงคโปร์เเล้วนะครับ มีความคิดเห็นว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร สามารถเเสดงความคิดเห็นข้างล่างได้เลยนะครับ
โณ่สนโณ่แคร์
วันที่ 21 ตุลาคม 2568

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา