2 พ.ย. เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
สิงคโปร์

สิงคโปร์ไม่มีโชคช่วย? ตอนที่ 2.1: สิงคโปร์เครซี่ริชเพราะสิงลิช?

‘Can lah’, ‘ok lah’, and ‘Can do that meh?’
การใช้คำพูดอย่าง ลา (lah) มักเป็นเอกลักษณ์การพูดที่ทําให้คนทั่วโลกจําได้การพูดสําเนียงสิงลิชของคนสิงคโปร์
เเถมสิงลิชเป็นเวอร์ชันเป็นภาษาอังกฤษที่มีความรวบรัดสูง ประโยคไม่ต้องสละสลวยมากเเค่พูดให้เข้าใจความหมายก็เพียงพอเเล้วซึ่งก็เป็นภาพสะท้อนชีวิตที่เร่งรีบในเกาะเล็กๆได้ดีเหมือนกัน
ไม่เเปลกเลยที่จะทําให้คนไทยอย่างที่ได้มาเที่ยวหรือลองใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะจดจําสิงลิชได้เป็นอย่างดี
มันช่างต่างกับการพูดจาของคนไทยที่เน้นความสละสลวย เเละประณีตตามความสบายๆของบ้านเราเเม้ว่าจะห่างจากกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สําหรับใครที่ไม่รู้ว่าสิงลิชคืออะไร
สิงลิชคือสําเนียงหรือการพูดภาษาอังกฤษฉบับสิงคโปร์ มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เสมือนเป็นบ่อรวมภาษาจากฝั่งยุโรปอย่างอังกฤษเข้ากับภาษาจีน มาเลย์เเละทมิฬได้อย่างลงตัว
โดยสิงลิชจะยังมีเเสลงท้องถิ่นที่มาจากภาษาบรรพบุรุษของคนในประเทศนี้ที่ไม่พ้นภาษาจีน ฮกเกี้ยน เเต้จิ๋ว กวางตุ้ง มาเลย์ ไปจนถึงทมิฬ
ใครมาฟังช่วงเเรกๆเเล้วอาจจะสับสนนะครับ นอกจากจะต้องพยายามเข้าใจสําเนียงเขายังต้องพยายามเรียนรู้ความหมายของเเสลงเหล่านี้ด้วย 555
พอเราเริ่มรู้จักสิงลิชกันเเล้ว จะสงสัยกันไหมถ้าผมบอกว่ามันมีส่วนที่ทําให้สิงคโปร์รอดเเละรุ่งเรืองได้มาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าจะพูดให้ถูกสิงลิชนี้อาจไม่ได้เป็นปัจจัยหลักนะครับ เเต่นโยบายส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษของรัฐบาลสิงคโปร์ที่เป็นตัวสร้างสิงลิชนี้เองที่จะมีบทบาทในการสร้างความเป็นปึกเเผ่นในชาติสิงคโปร์
ซีรี่ส์นี้ก็จะมาพูดถึงปัจจัยที่ทําให้สิงคโปร์นั้นสามารถประสบความสําเร็จในทางด้านเศรษฐกิจเเละสังคมได้ โดยการที่ประเทศจะเริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่ขาดไปไม่ได้คือความมั่นคงทางการเมืองเเละเชื้อชาติ
ลองย้อนกลับไปช่วงสมัยที่หลายประเทศในอาเซียนเพิ่งได้รับเอกราชกันก่อนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ตอนนั้นสิงคโปร์ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เจอความท้าทายเรื่องความมั่นคงเป็นอย่างสูงโดยเฉพาะหลังการได้รับเอกราชมาจากมาเลเซีย
สิงคโปร์ก็เหมือนประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคที่มีหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างสูง เเม้กระทั่งปัจจุบันที่ประชากรกว่า 74.04% ของประเทศเป็นคนเชื้อสายจีนตามมาด้วยมาเลย์ที่ 13.57% เเละอินเดียที่ 9.05%
นอกเหนือจากนี้ยังมีประชากรที่มีเชื้อสายยูเรเชี่ยนเเละเปอรานากันอยู่จํานวนไม่น้อย ถ้าว่างๆเมื่อไหร่ผมจะพาเพื่อนๆมาทําความกับสองกลุ่มเชื้อชาตินี้นะครับ
สังเกตเห็นได้ว่าประชากรสิงคโปร์นั้นส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายจีน เเตกต่างประเทศอื่นในภูมิภาคนี้อย่างสิ้นเชิง
ถ้าจะพูดว่าประเทศนี้ได้รับอิทธิพลจีนมาเต็มๆโดยเฉพาะในช่วงเพิ่งรับเอกราชก็คงไม่ผิด จากข้อมูลของ Singapore University Press ในปี 1957 (8 ปีก่อนสิงคโปร์ได้รับเอกราช) จากประชากรบนเกาะทั้งหมดมีเพียงเเค่ 1.8% ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในบ้าน ต่างจากปัจจุบันที่ตัวเลขนี้พุ่งสูงจนเกือบถึงครึ่งหนึ่งของครัวเรือนทั้งหมด
กลับกันประชากรส่วนใหญ่กลับใช้ภาษาจีนเช่น ฮกเกี้ยน เเต้จิ๋ว กวางตุ้ง เเละภาษาจีนกลาง
นี่จึงทําให้หลังจากกลายเป็นประเทศที่มีเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี 1965 นักธุรกิจเชื้อสายจีนหลายคนจาก Chinese Chamber of Commerce Singapore หรือสมาคมหอการค้าจีนเเห่งสิงคโปร์ได้ไปเข้าพบ ลีกวนยู เพื่อพยายามโน้มน้าวให้ผู้นําของประเทศให้ใช้ภาษาจีนเป็นประจําชาติ
เฮ้ยเเต่เดี๋ยวก่อน อย่างงี้ก็ได้เหรอ?
อย่าลืมนะว่าสิงคโปร์ก็ไม่ได้มีเเค่คนจีนนะ มีทั้งคนมาเลย์เเละอินเดียอีก ทําไมไม่เห็นใจเชื้อชาติอื่นบ้าง
คําตอบก็มาจากนโยบาย Divide and Conquer ของเจ้าอาณานิคมอังกฤษที่พยายามกีดกันการสร้างวัฒนธรรมร่วมระหว่างกลุ่มเชื้อชาติที่เเตกต่างกันเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาสามารถร่วมมือกันเพื่อต่อต้านเจ้าอาณานิคม
เเถมนี่ยังทําให้คนเเต่ละเชื้อชาติจะสามารถคงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมตัวเองได้อย่างเข้มข้นเเละมองคนจากต่างเชื้อชาติด้วยความหวาดระเเวงมากขึ้นเนื่องจากไม่มีวัฒนธรรมร่วม
โมเดลนี้ก็สามารถพบเห็นได้บ่อยในประเทศอื่นๆในอาเซียนทั้ง มาเลเซีย เเละ อินโดนีเซีย
นี่ทําให้สิงคโปร์ถึงจะเป็นเกาะเล็กๆเเต่ก็ถูกเเบ่งเป็นหลายส่วน โดยคนจากเชื้อชาติเดียวกันก็จะกระจุกอยู่ตามพื้นที่ต่าง คนจีนมักจะถูกจัดเเละอยู่ในใจกลางเมือง คนมาเลย์มักจะอยู่ในหมู่บ้านมาเลย์ที่เรียกว่า Kampong ในโซน Kampong Glam and Geylang Serai เเละคนอินเดียเเถว Serangoon
กลับมาที่การเจรจา หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพัก ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับที่นักธุรกิจเหล่านี้ได้คาดหวังไว้
ลีกวนยูเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างหลักในช่วงที่สิงคโปร์เป็นการสร้างพื้นฐานสำคัญของสิงคโปร์ เเถมยังเรียกสมาคมหอการค้าอื่นๆมาคุยกับตัวเองอีกเพื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกันให้หมด
ข้อสรุปที่ได้คือสิงคโปร์จะมี 4 ภาษาประจําชาติได้เเก่ อังกฤษ จีน มาเลย์เเละทมิฬ
การที่ภาษาอังกฤษถูกบังคับให้ใช้เป็นภาษากลางก็เปิดโอกาสให้คนจากหลากหลายเชื้อชาติสามารถมีโอกาสมาเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นเเละพูดคุยกัน
เเต่กรุงโรมไม่ได้ถูกสร้างภายในวันเดียว การจะทําให้ภาษาอังกฤษถูกนํามาใช้ได้อย่างเเพร่หลายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คนสิงคโปร์ช่วงต้นๆก็มองว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องยากเหมือนกับคนไทยครับ
เมื่อไม้เเก่ดีดยากไม้อ่อนดัดง่าย รัฐบาล PAP ซึ่งมีความต้องการที่จะโปรโมทการใช้ภาษาอังกฤษตั้งเเต่ก่อนประกาศเอกราชจึงวางรากฐานจากการศึกษา
นโยบาย Bilingualism (การเรียนเเบบสองภาษา) โดยนักเรียนทั้งระดับชั้นประถมเเละมัธยมศึกษาจะถูกบังคับให้เรียนทั้งภาษาอังกฤษเเละภาษาเเม่หรือที่คนที่นี่เรียกกันว่า Mother tongue ของตัวเองในโรงเรียนควบคู่กันไป
เมื่อภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่จําเป็นในการทํางานในทุกภาคส่วนของสังคมในช่วง 1970 เป็นต้นมา พ่อเเม่ผู้ปกครองสิงคโปร์ส่วนใหญ่ภายในไม่กี่ปีหลังจากประกาศก็เริ่มส่งลูกหลานตัวเองไปโรงเรียนรัฐบาลที่มีสื่อสานการสอนหลักเป็นภาษาอังกฤษ
ทําให้ Vernacular School ซึ่งก็คือพวกโรงเรียนจีน มลายูเเละอินเดียที่ไม่ได้ใช้อังกฤษเป็นสื่อการสอนหลักมีนักเรียนน้อยลงเรื่อยๆ
ดังนั้นประโยคที่ว่า เรียบร้อยโรงเรียนจีน ในบริบทของสิงคโปร์จะต่างจากเมืองไทยบ้านเราหน่อยตรงที่ว่าเมื่อความสําคัญของภาษาจีนเริ่มหายไปตามกาลเวลาโดยเฉพาะเมื่อภาษาอังกฤษกลายมาเป็นภาษาหลักของการค้าโลกเมื่อสหรัฐเรืองอํานาจในภูมิภาคนี้ช่วงสงครามเย็น
ซึ่งจะต่างจากของไทยที่โดนสั่งปิดในช่วงยุคเผด็จการทหารที่พยายามเริ่มสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เเละสงครามเย็น
เเล้วก็เป็นช่วงนี้เองที่สิงลิชก็ถูกถือกําเนิดมาจากการที่รัฐบาลเริ่มบังคับใช้ภาษาอังกฤษกับเด็กในชาติผ่านระบบการศึกษา ถึงกระนั้นพวกเขาส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้นก็คงยังพูดภาษาเเม่คล่องเเคล่วกว่า
เหมือนกับเด็กไทยตามต่างจังวัดสมัยก่อนที่พูดไทยกลางได้นะเเต่เว้าภาษาถิ่นได้ดีกว่าเยอะเพราะยังคงพูดภาษาถิ่นในบ้านกันอยู่
กลับมาที่สิงคโปร์ นโยบายที่ออกเเบบมาทําให้นักเรียนส่วนใหญ่พูดภาษาเเม่คําอังกฤษคํา (คล้ายๆไทยคําอังกฤษคําของบ้านเรา) เเถมยังนําไปสู่การเกิดเเสลงต่างๆที่ผมพูดไปเบื้องต้นซึ่งก็ยังถูกใช้อย่างเเพร่หลายควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษที่กลายเป็นทั้งภาษาการค้าเเละราชการ
สิงลิชก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์สร้างขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเเละที่สําคัญมันยังใหม่ๆมากเเต่ก็เปลี่ยนโฉมสิงคโปร์ไปตลอดกาล
ปัจจุบันสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่ประชากรทั้งประเทศพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องเเคล่วเเละประชากรส่วนใหญ่ยังคงสามารถพูดภาษาเเม่ของตัวเองอย่างจีนกลาง มาเลย์เเละทมิฬได้อยู่
เเต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ความสามารถในการพูดภาษาถิ่นจีนอย่างเช่น ฮกเกี้ยนหรือเเต้จิ๋วก็ได้จางหายไปมากเเล้ว มีเพียงเเค่รุ่นอากง อาม่าเป็นส่วนใหญ่ที่ยังสามารถสื่อสารเป็นภาษาเหล่านี้ได้อยู่
สําหรับวันนี้ก็มีเรื่องเล่าประมาณเท่านี้ครับ
โพสต์นี้เป็นเเค่ตอนเปิดสั้นๆที่จะมาโชว์เเละเล่าความจริงให้เห็นกันก่อนว่าคนสิงคโปร์ตอนเเรกก็พูดอังกฤษกันไม่ค่อยได้นะเเม้ว่าจะถูกปกครองโดยอังกฤษ
ดังนั้นใครที่บอกว่าถ้าเมืองไทยโดนปกครองโดยอังกฤษก็ดีเพราะว่าจะทําให้เราพูดอังกฤษได้นี่ไม่จริงนะคร้าบบ 555
สรุป:
ในสิงคโปร์ ที่ภาษาอังกฤษถูกนํามาใช้อย่างเเพร่หลายจะมีเหตุผลหลักในช่วงเเรกเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นปึกเเผ่นเเละลดความขัดเเย้งระหว่างคนในชาติมากกว่าที่จะถูกนํามาใช้เครื่องมือส่งเสริมทักษะของคนสิงคโปร์ที่มีส่วนสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ
เเต่เดี๋ยวก่อน นี่คือเหตุผลทั้งหมดเองเหรอที่ทําให้รัฐบาล PAP พยายามอย่างหนักเพื่อผลักดันภาษาอังกฤษ
คําตอบคือไม่ครับ เบื้องหลังนโยบายการศึกษา Bilingual ที่สนับสนุนการใช้ภาษาอังกฤษจริงๆเเล้วยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
ยังมีปัจจัยอะไรหลายๆอย่างที่กดดันให้รัฐบาลสิงคโปร์เลือกภาษาอังกฤษที่เชื่อมโยงกับการเมืองเเละเศรษฐกิจของโลกในยุคนั้น
เตรียมมาค้นหาคําตอบว่าปัจจัยเหล่านี้คืออะไรได้เลยนะครับในตอนต่อไปของซีรีส์สิงคโปร์ไม่มีโชคช่วย
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงจุดนี้นะครับ
ก่อนจะจากกันไป อยากจะฝากเพื่อนๆพี่ๆทุกคนให้ลองคิดถึงบทบาทความสําคัญของภาษาไทยในการสร้างชาติของเรากันบ้าง คนไทยเกิดมาได้อย่างไรเเล้วการส่งเสริมการใช้ภาษาไทยนั้นมีข้อดีเเละข้อเสียอย่างไรต่อประเทศ
เพราะคนไทยอย่างเราก็มาจากร้อยพ่อพันเเม่ หลายคนบรรพบุรุษถือเสื่อผืนหมอนใบหนีความเเร้นเเค้นจากเมืองจีนมาจากเรือกลไฟ หลายคนก็มีเชื้อสายมาจากประเทศเพื่อนบ้าน หลายคนหนีสงครามเเละการกดขี่มาจากชมพูทวีป ทําให้ไทยก็เป็นประเทศที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมเเละความหลากหลายเป็นอย่างสูงซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราก็ควรภาคภูมิใจ การส่งเสริมการใช้ภาษาไทยกลางมีผลอย่างไรในการหลอมรวมคนจากหลายเชื้อชาติให้เป็นเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยได้อย่างปัจจุบัน
โณ่สนโณ่เเคร์ รายงาน
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2568

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา