8 ต.ค. เวลา 17:00 • ข่าวรอบโลก

อนุสัญญาออตตาวากับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กรณีพิพาทไทยกัมพูชา

สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชายังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย และสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเพิ่มขึ้นเมื่อห้วงกลางกรกฎาคม 2568 เกิดกรณีที่ทหารไทย 3 นายถูกระเบิด ขณะลาดตระเวนบริเวณสามเหลี่ยมมรกต อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ 16 กรกฎาคม 2568
ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mine Action Center-TMAC) และกองทัพบกของไทย ยืนยันว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ผลิตในรัสเซีย และยืนยันว่าไม่ใช่ทุ่นระเบิดของกองทัพไทย และชี้ว่าเป็นการวางใหม่ โดยมีเจตนาเพื่อสังหารบุคคล
ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยและสนธิสัญญาออตตาวา ขณะที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันว่า บริเวณที่ทหารไทยลาดตระเวนอยู่ภายในอธิปไตยกัมพูชาและมีระเบิดตกค้างจากสมัยสงครามจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงของเหตุระเบิดยังต้องสืบสวนกันต่อไป แต่วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับสนธิสัญญาออตตาวาที่ทั้งสองประเทศกล่าวอ้างถึงกัน
สนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ. 1997 (Convention on the Prohibition of the Use, Stockpiling, Production and Transfer of Anti-Personnel Mines and on Their Destruction) เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่ง มีเป้าหมายหลักในการกำจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก โดยมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มีนาคม 2543 (ค.ศ. 1999) หลังจากมีประเทศให้สัตยาบันครบ 40 ประเทศ
ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นรัฐภาคีเช่นเดียวกัน โดยไทยให้สัตยาบันเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2541 และมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 พฤษภาคม 2542 ขณะที่กัมพูชา ได้เข้าร่วมสนธิสัญญาออตตาวาในปี 2543 สนธิสัญญาฉบับนี้ถือเป็นก้าวสำคัญด้านมนุษยธรรม เนื่องจากเป็นการห้ามอาวุธที่ยังมีการใช้อย่างแพร่หลายในขณะนั้น เพื่อยุติความทุกข์ทรมานและการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดจากทุ่นระเบิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและเด็ก
การเข้าร่วมอนุสัญญาไทย-กัมพูชา
สนธิสัญญาออตตาว่ากำหนดพันธพันธกรณีหลักสำหรับรัฐภาคี ดังนี้
1) ห้ามใช้ พัฒนา ผลิต สะสม ครอบครอง และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยเด็ดขาด รวมถึงการห้ามให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือชักจูงให้ผู้อื่นกระทำกิจกรรมที่ถูกห้าม
2) ทำลายทุ่นระเบิดที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมด รัฐภาคีจะต้องทำลายทุ่นระเบิดที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมดภายใน 4 ปี หลังจากเข้าร่วมโดยอาจเก็บไว้ในจำนวนจำกัดเพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม (เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การตรวจจับ
3) เก็บกวาดพื้นที่ที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด รัฐภาคีจะต้องดำเนินการเก็บกวาดพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดทั้งหมดภายในอาณาเขตหรือภายใต้การควบคุมของตนเองให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปีหลังจากเข้าร่วมอนุสัญญา โดยสามารถขอขยายเวลาได้ในกรณีที่มีความจำเป็นและได้รับอนุมัติ
4) ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด รวมถึงการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการส่งเสริมให้พวกเขากลับคืนสู่สังคมและเศรษฐกิจ และ
5) ดำเนินมาตรการภายในประเทศ รัฐภาคีต้องออกกฎหมาย กฎระเบียบ และมาตรการอื่น ๆ ที่เหมาะสม รวมถึงการกำหนดบทลงโทษทางอาญา เพื่อป้องกันและปราบปรามกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องห้ามภายใต้อนุสัญญา
นับตั้งแต่สนธิสัญญาออตตาวาถือปฏิบัติมาก็นับว่าประสบความสำเร็จด้วยดี ปัจจุบันมีรัฐภาคีมากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก แต่ก็ยังเผชิญหน้าความท้าทายและการละเมิด โดยเฉพาะการละเมิดจากประเทศที่ไม่ใช่รัฐภาคี (Non-State Parties)
อาทิ สหรัฐฯ ที่อ้างว่าต้องมีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อปกป้องกำลังพลจากความขัดแย้ง โดยเฉพาะในคาบสมุทรเกาหลี จีน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและครอบครองทุ่นระเบิดสังหารบุคคลรายใหญ่ของโลก รัสเซีย ที่ยังพบการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างแพร่หลายในความขัดแย้งต่าง ๆ
โดยเฉพาะในยูเครน และ อินเดีย โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ปากีสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเผชิญความท้าทายจากการละเมิดโดยรัฐภาคี รวมถึง ความท้าทายในการเก็บกู้ เนื่องจากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นงานที่ซับซ้อน อันตราย และต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือภูมิประเทศที่ยากลำบาก
ประเทศยุโรปที่ถอนตัวในสงครามยูเครน-รัสเซีย
ความท้าทายและการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาของไทยและกัมพูชา ?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นไทยและกัมพูชาแม้ทั้งสองประเทศจะเป็นภาคีของสนธิสัญญา แต่ก็มีประเด็น
ท้าทายและข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเหตุการณ์ล่าสุด เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด เมื่อ 16 กรกฎาคม 2568 ไทยประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยกระทรวงการต่างประเทศเตรียมยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชา รวมถึงจะดำเนินการตามกระบวนการของอนุสัญญาออตตาวา
ละเมิดต่อกฎหมายที่สำคัญหลังเข้าร่วมทำข้อตกลง
โดยแจ้งการละเมิดต่อประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบของกัมพูชา แต่สนธิสัญญาออตตาวา ไม่มีบทลงโทษที่เป็นกลไกการบังคับใช้โดยตรงในลักษณะของการปรับ หรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแบบอัตโนมัติเหมือนบางสนธิสัญญาอื่น ๆ แต่การละเมิดพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาออตตาวาจะส่งผลกระทบในรูปแบบอื่น
ทั้งความเสียหายต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ (Reputational Damage) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ แรงกดดันทางการทูต (Diplomatic Pressure) รวมถึงอาจสูญเสียความช่วยเหลือและความร่วมมือ (Loss of Aid and Cooperation)
อนาคตของสนธิสัญญาออตตาวา…….
สนธิสัญญาออตตาวาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับปัญหาอาวุธที่สร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง แม้จะยังคงมีอุปสรรคและความท้าทายอยู่ แต่ความมุ่งมั่นของประชาคมโลกในการทำให้โลกปราศจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลยังคงแข็งแกร่ง การกดดันให้ประเทศที่ยังไม่เข้าร่วมให้สัตยาบัน การเสริมสร้างการปฏิบัติตามข้อตกลง และการสนับสนุนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เป้าหมายของสนธิสัญญาออตตาวาบรรลุผลสำเร็จอย่างแท้จริง
โดยสรุปแล้ว การมีอยู่ของสนธิสัญญาออตตาวาเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือและการใช้แรงกดดันทางสังคมและการทูต เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตาม มากกว่าการลงโทษแบบบังคับโดยตรง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการละเมิดก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของผู้ที่กระทำผิด และเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดในครั้งนี้
เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ชายแดน และความสำคัญของการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของประชาชนและบุคลากรในพื้นที่ และความเชื่อมั่นในการมีสนธิสัญญาออตตาวา
สนธิสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดที่ไทย-กัมพูชาเข้าร่วม
'อนุสัญญาออตตาวา' หรือที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต ถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิด เป็นอนุสัญญาที่เกิดขึ้นมาเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Landmines: APLs) โดยมีการลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1997 ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปี 1999
ข้อมูลระบุว่า ณ เดือนพฤศจิกายน ปี 2024 มีรัฐร่วมเป็นภาคีในสนธิสัญญานี้กว่า 164 ประเทศ หรือคิดเป็นกว่า 80% ของประเทศทั่วโลก ซึ่งใน 164 ประเทศนี้มีประเทศไทยและกัมพูชารวมอยู่ด้วย โดยทั้ง 2 ประเทศลงนามเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1997 จากนั้นจึงมีการเข้าร่วมสัตยาบันและมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ยังมีอีก 34 ประเทศที่ไม่ได้ร่วมลงนาม ซึ่งมีประเทศมหาอำนาจอย่าง รัสเซีย จีน สหรัฐอเมริกา เป็นต้น แต่ทั้งนี้ อาจจะพูดได้ว่าสนธิสัญญานี้ได้เข้ามาสร้างบรรทัดฐานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ส่งผลให้แม้บางประเทศจะไม่ได้ร่วมลงนาม แต่ก็มีท่าทีที่จะปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้วยความสมัครใจ เช่น ทำลายคลังเก็บระเบิด หรือยุติการผลิต เป็นต้น
ประเทศที่เข้าร่วมเป็นภาคีของ 'อนุสัญญาออตตาวา' จะต้องปฏิบัติตามแนวทาง ดังต่อไปนี้
ผลของการละเมิดอนุสํญญา
🔴 ห้ามใช้ ผลิต พัฒนา ซื้อขาย ถ่ายโอน หรือเก็บรักษาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งคำจำกัดความของ 'ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล' ภายในสนธิสัญญาฉบับนี้ก็คือ ทุ่นระเบิดที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ระเบิดเมื่อมีคนเข้ามาอยู่ใกล้หรือสัมผัส ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคลได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตได้
🔴 ทำลายทุ่นระเบิดที่อยู่ในคลังภายในระยะเวลา 4 ปี
🔴 กวาดล้างพื้นที่ที่มีการฝั่งทุ่นระเบิดภายใน 10 ปี แต่หากไม่สามารถทำตามในระยะเวลาที่กำหนดสามารถขอขยายเวลาได้
🔴 ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย, การช่วยเหลือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการสนับสนุนทางเทคนิคหรือเทคโนโลยี เป็นต้น
🔴 นอกจากนี้ประเทศภาคีจะต้องทำรายงานฉบับสมบูรณ์ต่อสหประชาชาติ โดยจะต้องระบุ จำนวน ประเภท ตำแหน่งที่ตั้ง รวมถึงสถานะของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่อยู่ในการครอบครอง
อย่างไรก็ดี รัฐภาคีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาได้ร่วมกันทำลายทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 50 ล้านลูก
และมีหลายประเทศที่สามารถกวาดล้างพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดได้สำเร็จ และแม้ว่าอนุสัญญานี้ไม่ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานหรือบทลงโทษเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่การละเมิดข้อกำหนดอาจทำให้ประเทศนั้น ๆ เผชิญกับแรงกดดันจากประชาคมโลกได้
อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม เรียบเรียง
#อนุศัญญาออตตาวา #ออตตาวา #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #ไทย #กัมพูชา
โฆษณา