11 ต.ค. เวลา 04:21 • ธุรกิจ

🧠 คนที่ทำได้ ไม่จำเป็นต้องสอนเก่งเสมอ?

ศิลปะการเรียนรู้จากปรมาจารย์ที่อธิบายไม่เก่ง และบทเรียนสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าใจ “วิชาในเงา”
“คนเก่งไม่ได้วัดกันที่พูดได้ดีเสมอ เพราะมีคนที่ถ่ายทอดได้โดยไม่ต้องพูดสักคำ”
====
💥 ความจริงที่สวนทางกับความเชื่อ (แต่เปลี่ยนชีวิตของคนที่เข้าใจมัน)
ในโลกของการทำงาน เรามักเชื่อกันว่า “คนที่ทำได้ ก็ควรจะสอนได้”  แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามกัน เพราะบ่อยครั้งคนที่เก่งที่สุดในองค์กรหรือในวงการ มักเป็นคนที่ “อธิบายไม่เก่งที่สุด” เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้เหตุผลแบบเดียวกับคนทั่วไปในการคิดและลงมือทำ
ลองนึกภาพเชฟระดับ Michelin ที่สามารถจัดจานอาหารให้เหมือนงานศิลปะโดยไม่ต้องคิด หรือศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดได้แม่นยำโดยไม่ต้องพูดคำใด เมื่อถามว่า “คุณทำได้อย่างไร?” พวกเขาอาจตอบเพียงว่า “รู้สึกว่ามันใช่” หรือ “แค่รู้ว่าต้องทำตอนนี้” ฟังดูคล้ายกับความบังเอิญ แต่แท้จริงแล้วนี่คือผลลัพธ์ของสิ่งที่เรียกว่า Unconscious Competence ความสามารถโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือระดับสูงสุดของการเชี่ยวชาญ ที่สมองและร่างกายทำงานประสานกันจนกลายเป็นสัญชาตญาณ เหมือนนักดนตรีที่ไม่ต้องมองโน้ต หรือมืออาชีพที่ตอบสนองโดยไม่ต้องวิเคราะห์อีกต่อไป
====
🔬 ขั้นแห่งความสามารถ (The Stages of Competence)
โมเดลที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ดีที่สุดมาจาก Martin Broadwell (1969) ซึ่งเสนอว่าการเรียนรู้ของมนุษย์มี 4 ขั้น  และแต่ละขั้นสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของ “การรับรู้ตนเอง” อย่างลึกซึ้ง
1. Unconscious Incompetence – ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้
ช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีสิ่งที่เราไม่รู้ เหมือนคนที่ไม่เคยขับรถ จึงไม่เข้าใจว่าการประสานตา มือ และเท้าเป็นเรื่องยากแค่ไหน
2. Conscious Incompetence – รู้ว่าตัวเองไม่รู้
เมื่อเริ่มฝึก เราเริ่มเห็นข้อบกพร่องของตัวเองและตระหนักว่ามันยากกว่าที่คิด เช่น มือใหม่ที่รู้ว่าตัวเองตีโน้ตผิด แต่ยังแก้ไม่ได้ทั้งหมด
3. Conscious Competence – รู้ว่าตัวเองทำได้ (แต่ยังต้องตั้งใจ)
นี่คือจุดที่คนส่วนใหญ่ “สอนได้ดี” เพราะพวกเขายังตระหนักถึงทุกขั้นตอน เช่น ครูสอนขับรถที่อธิบายได้ว่าต้องเหยียบเบรกเมื่อไร หรือผู้นำทีมที่บอกได้ว่าคิดแผนกลยุทธ์อย่างไร
4. Unconscious Competence – ทำได้โดยไม่ต้องคิด
จุดสูงสุดของทักษะที่การกระทำกลายเป็นสัญชาตญาณ เช่น ศัลยแพทย์ที่ลงมีดโดยไม่ลังเล หรือช่างไวโอลินที่จูนเสียงโดยใช้ “หูในใจ” แทนเครื่องมือ
และนี่เองคือเหตุผลที่ปรมาจารย์มักอธิบายไม่เก่ง เพราะพวกเขา “รู้ในแบบที่พูดไม่ออก” เหมือนนักเต้นที่รู้จังหวะในกระดูก แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไรให้คนอื่นรู้สึกตามได้
====
🍣 บทเรียนจาก “เชฟซูชิ”: การเรียนรู้ด้วยการซึมซับ ไม่ใช่การฟัง
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่เข้าใจ “ศิลปะแห่งการสังเกต” มากที่สุด แนวคิด Shokunin ช่างฝีมือผู้ทำงานด้วยจิตวิญญาณ คือแก่นของการเรียนรู้แบบที่ไม่มีตำราใดแทนได้
ศิษย์ฝึกงานในร้านซูชิระดับตำนานของโตเกียว อาจใช้เวลาถึง 5 ปีแค่ “หุงข้าว” โดยยังไม่ได้แตะมีดหรือแล่ปลาเลย ไม่ใช่เพราะอาจารย์ใจร้าย แต่เพราะ “ความเข้าใจที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากคำพูด แต่มาจากการเห็นซ้ำๆ และรู้สึกซ้ำๆ จนกลายเป็นสัญชาตญาณ”
ในสารคดี Jiro Dreams of Sushi (2011) ลูกศิษย์ของเชฟ Jiro Ono กล่าวอย่างน่าจดจำว่า “เชฟไม่เคยบอกผมว่าข้าวต้องอุณหภูมิเท่าไร... แต่ผมรู้จากการเห็นมือของเขาทุกวัน ว่าความละเอียดอยู่ตรงไหน”
นั่นคือแก่นของ “Tacit Knowledge” ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ไม่ใช่ในตำรา  มันต้องถูก “ดู, อยู่, และซึมซับ” จึงจะเข้าใจได้
====
🧩 Tacit Knowledge vs Explicit Knowledge หรือสองโลกของการเรียนรู้
ในปี 1966 นักปรัชญา Michael Polanyi ได้กล่าวประโยคคลาสสิกว่า
“We know more than we can tell.”  เรารู้มากกว่าสิ่งที่เราพูดได้
และนี่คือหัวใจของความแตกต่างระหว่างสองประเภทของความรู้
* Explicit Knowledge (ความรู้ชัดแจ้ง): เขียนได้ สอนซ้ำได้ วัดผลได้ เช่น ขั้นตอนการทำงาน คู่มือการใช้งาน หรือ SOP ในองค์กร
* Tacit Knowledge (ความรู้ฝังลึก): ต้องสัมผัส ต้องเห็น ต้องอยู่ร่วม เช่น “จังหวะในใจ” ของนักขาย หรือ “สัญชาตญาณ” ของผู้นำที่รู้ว่าควรพูดเมื่อไรและเงียบเมื่อไร
องค์กรระดับโลกอย่าง Toyota, IDEO, และ Pixar ต่างสร้างวัฒนธรรมที่เน้นการเรียนรู้แบบ Tacit ผ่านระบบ “Apprenticeship Learning” หรือการเรียนรู้ด้วยการทำงานเคียงข้างปรมาจารย์จริง เพราะพวกเขารู้ว่าความรู้บางอย่าง โดยเฉพาะความเป็นเลิศ ไม่มีวันถ่ายทอดผ่านสไลด์ PowerPoint ได้เลย
====
🧭 วิธีเรียนรู้จากปรมาจารย์ในโลกยุคใหม่ (ที่พูดน้อยแต่ทำให้ดูมาก)
1. เข้าใกล้คนเก่ง (Seek Proximity):  อย่ารอให้มีคลาสหรือคอร์ส แต่จงสร้าง “โอกาสอยู่ใกล้” คนที่คุณอยากเรียนรู้ด้วย เช่น อาสาทำโปรเจกต์ ช่วยเตรียมงาน หรือขอเข้าไป shadow พวกเขาในที่ประชุม เพราะคุณค่าที่แท้จริงอยู่ในการ “เห็นเขาคิด” มากกว่าการ “ฟังเขาอธิบาย”
2. สังเกตเชิงลึก (Observe Beyond the Obvious):  อย่ามองเพียงว่าเขาทำอะไร แต่ให้สังเกตว่า “ทำไมเขาถึงไม่ทำบางอย่าง” การไม่พูด ไม่รีบ หรือการหยุดนิ่งบางจังหวะ มักซ่อน “ปรัชญา” ของคนเก่งไว้มากกว่าคำสอนใดๆ
3. เลียนแบบก่อนสร้างสรรค์ (Imitate Before You Innovate):  ตามหลัก Shu-Ha-Ri ของญี่ปุ่น:  เริ่มจากการเลียนแบบอย่างซื่อสัตย์ (Shu) → ทำความเข้าใจแก่นและปรับให้เข้าตัว (Ha) → แล้วจึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (Ri)  เพราะทุกนวัตกรรมที่แท้จริงล้วนเริ่มจากการลอกที่ถูกวิธี
4. ถามคำถามที่ใช่ (Ask Better Questions):  แทนที่จะถามว่า “ทำได้อย่างไร?” ลองถามว่า “ตอนนั้นคิดอะไรอยู่?” หรือ “อะไรที่คุณเลือกจะไม่ทำ?”  คำถามแบบนี้เปิดประตูให้คุณเห็น “กระบวนการคิดที่ซ่อนอยู่” ซึ่งมักมีค่ามากกว่าคำตอบตรงๆ
5. ฝึกการเรียนรู้แบบสังเกตซ้ำ (Learn by Shadowing):  ในองค์กรอย่าง IDEO และ Apple มีแนวทางที่เรียกว่า Watch, Reflect, Repeat  ดูสิ่งที่ปรมาจารย์ทำ, เขียนบันทึกสิ่งที่สังเกตได้, แล้วลองทำซ้ำจนเข้าใจเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
====
🧠 จาก “นักเรียน” สู่ “ศิษย์” = ความแตกต่างที่เปลี่ยนทุกอย่าง
นักเรียนเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน แต่ศิษย์เรียนเพื่อเข้าใจให้ลึก  ในโลกยุคใหม่ที่ทุกคนมีคอร์สออนไลน์เต็ม feed  สิ่งที่หายากที่สุดไม่ใช่ “ความรู้” แต่คือ “ความใกล้ชิดกับครูที่แท้จริง”
นักเรียนรอให้ครูสอน  ศิษย์เรียนรู้แม้ในความเงียบ ดังนั้น การเป็นศิษย์คือการฟังเสียงที่ไม่ได้พูด  การดูสิ่งที่ไม่ได้สอน  และการเรียนรู้จากพฤติกรรมมากกว่าคำบอก  เมื่อเข้าใจสิ่งนี้ การเติบโตของคุณจะเร็วกว่าใครหลายปี เพราะคุณกำลังเรียนรู้ในระดับ “จิตใต้สำนึกของคนเก่ง”
====
💡 ตัวอย่าง
* IDEO & Apple — การสังเกตสร้างนวัตกรรม:  IDEO ฝึกนักออกแบบด้วยระบบ Shadowing Program ให้เข้าไปอยู่ในทีมของ Senior Designer เพื่อดูวิธีคิด วิธีตั้งคำถาม และกระบวนการตัดสินใจแบบจริงจัง จนกลายเป็นรากฐานของแนวคิด Design Thinking ที่ Apple นำไปต่อยอดในยุค Steve Jobs
* Toyota — ระบบ Gemba:  “Gemba” (現場) แปลว่า “หน้างานจริง”  คือปรัชญาการเรียนรู้จากของจริงในสถานที่จริง  วิศวกรและผู้บริหาร Toyota ต้องลงพื้นที่โรงงานจริงทุกสัปดาห์เพื่อสังเกตการทำงานของพนักงาน และสกัดบทเรียนด้วยตนเอง  นี่คือการเรียนรู้ Tacit Knowledge ที่ทำให้ Toyota รักษาความเป็นเลิศมายาวนาน
* แพทย์ฝึกหัด — See One, Do One, Teach One:  ในวงการแพทย์ การสอนผ่าตัดใช้หลักนี้: ดูครั้งหนึ่ง, ทำครั้งหนึ่ง, สอนครั้งหนึ่ง  เป็นวงจรที่ฝังทักษะในระดับจิตใต้สำนึก  จนกลายเป็นมาตรฐานการฝึกแพทย์ทั่วโลก
ตัวอย่างเหล่านี้ตอกย้ำว่า “การสังเกตและการอยู่ใกล้ของจริง” คือทางลัดของการเรียนรู้ที่ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่ได้
====
🔁 วงจรแห่งการถ่ายทอดจากศิษย์สู่ครู?
เมื่อคุณเรียนรู้ถึงระดับที่ “ทำได้โดยไม่คิด”  คุณกำลังยืนอยู่ตรงทางแยกระหว่างสองบทบาท จะหยุดไว้แค่ความสามารถ หรือจะก้าวสู่การเป็น “ผู้ถ่ายทอด”
วิธีแปลง Tacit Knowledge ให้กลายเป็นสิ่งที่สอนได้
* สังเกตตัวเอง: บันทึกขั้นตอนขณะทำสิ่งที่ถนัดที่สุด แล้วลองแยกว่าทำไมคุณเลือกวิธีนั้น
* อธิบายให้มือใหม่ฟัง:  จงฟังจุดที่เขาไม่เข้าใจ เพราะนั่นคือ “รอยต่อของคำอธิบาย” ที่คุณต้องสร้างสะพานให้ข้าม
* ใช้เรื่องเล่า (Storytelling):  เปลี่ยนประสบการณ์เป็นเรื่องราวที่สื่อสารได้ง่าย  เพราะเรื่องเล่าช่วยถอดรหัสความรู้ฝังลึกให้จับต้องได้
“ครูที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่พูดรู้เรื่อง แต่คือคนที่ทำให้คนอื่นเห็นสิ่งที่เขารู้โดยไม่ต้องพูด”
====
✨ ดังนั้น ปัญญาที่ไม่อยู่ในตำรา
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยคอร์สออนไลน์ หนังสือ How-to และวิดีโอสอนฟรีมากมาย  แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราได้จริง มักไม่ใช่สิ่งที่เราอ่านเจอ  มันคือสิ่งที่เรา “เห็น” จากคนที่เก่งกว่าเรา และ “รู้สึก” จากการอยู่ใกล้พวกเขา
“คนที่ทำได้ ไม่จำเป็นต้องสอนเป็น แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้ ถ้าเรารู้จักฟังความเงียบให้เป็น”
และในยุคที่ความรู้หาได้ทุกที่  แต่ “ปัญญา” หาได้ยาก  บางที การกลับไปเรียนรู้จากปรมาจารย์ในชีวิตจริง ด้วยความเงียบ ความตั้งใจ และความเคารพ อาจเป็นสิ่งที่โลกยุคนี้ต้องการมากที่สุด
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#UnconsciousCompetence
#TacitKnowledge
#Mentorship
#Leadership
#LifelongLearning
#LearningByDoing
#ศิลปะแห่งการเรียนรู้
โฆษณา