17 ต.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
เวียดนาม

เวียดนาม ตอนที่ 2 เหงียนผู้รักชาติ

อย่างที่เราทราบกันจากตอนที่แล้วว่า.. ประเทศเวียดนามมีลักษณะสัณฐานเป็นแนวยาวทอดตัวตามชายฝั่งทะเลจีนจากเหนือจรดใต้ มีระยะทางกว่า 3,400 กิโลเมตร ยังมีภูเขาสูงที่เป็นป่าหนาทึบกั้นอยู่ระหว่างที่ราบลุ่มของแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ที่ไหลผ่านทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ
1
ซึ่งบริเวณนี้ก็ยังเป็นฐานที่มั่นหลักของบรรดาผู้ที่ต้องการปลดแอกเวียดนามออกจากฝรั่งเศสด้วย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในช่วงแรกๆ ของสงครามอินโดจีน สมรภูมิการสู้รบส่วนใหญ่จะอยู่ทางตอนบนนี้ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในแง่การปกครองฝรั่งเศสยังคงให้ “ราชวงศ์เหงียน” อยู่เป็นประมุขต่อไป เพียงแต่ให้ปกครองเฉพาะดินแดนตอนกลางค่อนไปทางใต้ของประเทศซึ่งก็คือ ”เมืองอันนัม“ เป็นอาณานิคมในอาณัติของจักรวรรดิฝรั่งเศส
องค์ชายเหงียน ฟุก หวิญ ถวิ (Nguyễn Phúc Vĩnh Thụy)
ในปี ค.ศ.1932(พ.ศ.2475) องค์ชายเหงียน ฟุก หวิญ ถวิ (Nguyễn Phúc Vĩnh Thụy) พระชนมายุ 19 ปี ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาคือจักรพรรดิ ไคดิงห์ (Khải Định) โดยมีพระนามว่า จักรพรรดิเป๋าว์ดั่ย (Bảo Đại) เป็นพระจักรพรรดิองค์ที่ 13 พระองค์ถือเป็นบุคคลสำคัญต่อวิวัฒนาการทางการเมืองของเวียดนามในอีก 10 กว่าปีต่อมา
ตลอดระยะเวลาของการปกครองโดยจักรวรรดิฝรั่งเศส เวียดนามเต็มไปด้วยขบวนการชาตินิยมระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่ว่าจะเป็นนักชาตินิยมชาวเวียดนาม เช่น ฟานโบ่ยเจิ่ว (Phan Bội Châu), ฟานชูตรินห์ (Phan Châu Trinh) หรือแม้แต่ขบวนการของ เจ้าชายก๊งเด่ย (Cường Để) แห่งราชวงศ์เหงียน ผู้เดินทางไปศึกษาที่ญี่ปุ่นและมีความสัมพันธ์กับขบวนการของฟานโบ่ยเจิ่ว ซึ่งถูกมองว่าเป็นความหวังของชาวเวียดนาม
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ขบวนการชาตินิยมได้แพร่กระจายไปทั่วหลายภูมิภาค โดยทางตอนใต้มี โงดินห์เซี่ยม (Ngô Đình Diệm) บุตรของ โงดินห์คา (Ngô Đình Khả) เป็นหนึ่งในผู้นำทางความคิด ส่วนทางเหนือ ก็คือบริเวณ ตังเกี๋ย (Tonkin) ผู้มีบารมีคนสำคัญที่สุดคือ เหงียนซินกุง (Nguyễn Sinh Cung) นักปฏิวัติผู้เลื่อมใสลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ก่อนจะเป็นที่รู้จักกันในนาม โฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh)
1
โงดินห์เซี่ยม (Ngô Đình Diệm) , โงดินห์คา (Ngô Đình Khả) ตามลำดับ
โฮจิมินห์ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1890(พ.ศ.2433) มีบิดาเป็นนักปราชญ์และขุนนางในราชสำนักเว้ เด็กชายเหงียนซินกุง ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนลิซี (Lycée) ตั้งแต่เยาว์วัย และเขาก็เห็นถึงความอ่อนแอของราชสำนักเว้ อีกทั้งความอยุติธรรมต่างๆ ที่ชาวเวียดนามต้องผจญภายใต้การปกครองด้วยระบอบอาณานิคมของฝรั่งเศส
เมื่ออายุ 20 ปี เขาเดินทางออกจากเวียดนามได้ขึ้นเรือขนส่งสินค้าของฝรั่งเศส โดยเป็นพ่อครัวกุ๊กอยู่ในเรือ และเริ่มต้นออกท่องโลก ตั้งแต่เมืองมาร์กเซย์ ฝรั่งเศส ไปจนถึงอังกฤษ สหรัฐ สหภาพโซเวียต และจีน ซึ่งในช่วงนี้เขาได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสต์ และได้เข้าร่วมการประชุมคอมมินเทิร์นที่ปารีส ฝรั่งเศส จนกลายเป็นชาวเอเชียผู้มีบทบาทสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ยุโรปเลยทีเดียว
1
แม้จะกลายเป็นบุคคลระดับนานาชาติ แต่โฮจิมินห์ไม่เคยละทิ้งความห่วงใยต่อบ้านเกิด เขาได้ติดต่อกับกลุ่มคนเวียดนามที่ต้องการขับไล่ ล้มล้างระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง และต้องเปลี่ยนชื่อโดยใช้นามแฝงมากมาย ซึ่งครั้งหนึ่งเขาใช้ชื่อ เหงียนอ๊วกกว๊อก (Nguyễn Ái Quốc) แปลว่า “เหงียนผู้รักชาติ”
โฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) ตอนที่ยังเป็นกุ๊กอยู่ในเรือ Amiral de Latouche-Tréville
ครั้งหนึ่งเขาเคยพำนักที่ประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดนครพนม ก่อนจะย้ายไปอยู่จีน แต่ถูกรัฐบาลจีนคณะชาติของเจียงไคเช็ก ซึ่งต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าจับกุม และโดนจำคุกอยู่หนึ่งปี จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวโดย เหอจื้อหมิง (Hồ Tử Minh) นายทหารจีนผู้เห็นใจ โฮจิมินห์จึงนำชื่อของเขามาดัดแปลงเป็นชื่อใหม่ในภาษาเวียดนามว่า โฮจิมินห์ หมายถึง “ผู้มีอุดมการณ์ ผู้มีแสงสว่าง”
1
ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นในวันที่ 1 กันยายน ปี ค.ศ.1939(พ.ศ.2482) โฮจิมินห์มองว่า ฝรั่งเศสจะอ่อนแอลง เพราะโดดเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ และต้องรบกับนาซีเยอรมันในยุโรป ไม่น่าจะมีกำลังอารักขาเหล่าอาณานิคมรวมทั้งเวียดนามได้ จึงเป็นโอกาสที่ชาวเวียดนามจะเริ่มกู้ชาติกันได้แล้ว เขาและสหาย เช่น หวอเหวียนเจี๊บ (Võ Nguyên Giáp) และ ฟามวันด่ง (Phạm Văn Đồng) ได้จัดตั้งขบวนการปลดแอกเวียดนามที่ชื่อว่า Việt Nam Độc Lập Đồng Minh Hội หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า “ เวียดมินห์ ”
หวอเหวียนเจี๊บ (Võ Nguyên Giáp) และ ฟามวันด่ง (Phạm Văn Đồng)
สถานการณ์เป็นไปตามที่โฮจิมินห์คาดไว้ ฝรั่งเศสแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อการรุกรานของนาซีเยอรมันในปี ค.ศ.1940(พ.ศ.2483) และนั่นจึงทำให้ฝรั่งเศสที่ถูกควบคุมโดย “รัฐบาลหุ่นเชิดวิชี”(Vichy France) อันหมายถึงรัฐบาลที่นาซีเยอรมันจัดตั้งขึ้นที่เมืองวิชี ฝรั่งเศส เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองตนเอง แต่จะต้องถูกชี้นำและเห็นชอบจากนาซีเยอรมนีเสียก่อน จึงจะดำเนินการต่อไปได้
ในเมื่อฝรั่งเศสอ่อนแอเช่นนี้ ก็เป็นจังหวะดีโอกาสเหมาะที่ขบวนการเวียดมินห์จะลุกฮือก่อการล้มล้างจักรวรรดิฝรั่งเศสได้สำเร็จ แต่ดันเกิดเหตุการณ์พลิกผันเมื่อพันธมิตรสำคัญของนาซีเยอรมันคือ “ญี่ปุ่น” ได้ฉวยโอกาสนี้เข้ายึดครองเวียดนาม แม้ในทางการจะอ้างว่าเป็น “การรัฐประหาร” จักรวรรดิฝรั่งเศส โดยจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ตาม แต่แท้จริงแล้วคือ “การรุกราน” นั่นเอง
ในขณะที่ญี่ปุ่นเข้ารุกรานยึดครองเวียดนามนั้น องค์จักรพรรดิเป๋าว์ดั่ย (Bảo Đại) ซึ่งบัดนี้ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ต้องกลายเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดอยู่ภายใต้อำนาจญี่ปุ่น ส่วนเจ้าชายก๊งเด่ย เชื้อพระวงศ์ ผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญี่ปุ่น ก็ได้รับตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนักเว้ด้วย
ภาพของ พลทหารฝรั่งเศสถูกจับโดยทหารญี่ปุ่นที่กรุงฮานอย , เชลยศึกชาวฝรั่งเศสที่เมืองลางเซิน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1945 , จักรพรรดิเป๋าว์ดั่ย (Bảo Đại) ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิแห่งเวียดนามโดยกองทัพญี่ปุ่น , การประชุมทางการเมืองที่สนับสนุนญี่ปุ่นในกรุงฮานอยหลังการรัฐประหาร
ทางด้านขบวนการเวียดมินห์นั้น ถือเป็นกองกำลังสำคัญที่มุ่งมั่น ต้องการขับไล่ทั้งฝรั่งเศสและญี่ปุ่นออกไปจากแผ่นดินเวียดนาม เพราะสำหรับพวกเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิชาติใดๆก็ตาม ต่างล้วนแสวงหาประโยชน์ พร้อมทั้งกดขี่ ข่มเหงชาวเวียดนามทั้งสิ้น ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาต้องการปลดแอก และประกาศเอกราชให้กับประเทศของพวกเขา
1
แต่การต่อสู้ในช่วงเวลานั้นก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะขนาดจีนเองที่มีกำลังพอจะต่อต้านญี่ปุ่นได้นั้น ก็ยังอ่อนแรงเนื่องจากอยู่ในภาวะสงคราม ไม่สามารถช่วยเหลือเวียดนามได้อย่างเต็มที่
เมื่อญี่ปุ่นเข้ายึดข้าวเวียดนามไปใช้เลี้ยงทหารในกองทัพ ทำให้เกิดทุพภิกขภัยเดือดร้อนไปทั่ว ชาวเวียดนามต้องอดอยาก และเสียชีวิตลงไปเป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1945(พ.ศ.2488) เมื่อญี่ปุ่นเริ่มยอมรับการพ่ายแพ้ต่อสงคราม จากการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐ ขบวนการเวียดมินห์จึงฉวยโอกาสนี้ลุกฮือขึ้น ขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกไป ชาวเวียดนามเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การปฏิวัติสิงหาคม”(August Revolution)
ภาพเหตุการณ์ “การปฏิวัติสิงหาคม”(August Revolution)
ต่อมาในวันที่ 2 กันยายนปีเดียวกันนั้น โฮจิมินห์ ได้ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสและญี่ปุ่น จัดตั้ง “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” ณ กรุงฮานอย ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของราชวงศ์เหงียน และถือเป็นการกำเนิด “เวียดนามสมัยใหม่” ที่ปราศจากการครอบงำของต่างชาติ
และจักรพรรดิเป๋าว์ดั่ย ได้ทรงสละราชสมบัติเพื่อเปิดทางให้เกิดระบอบใหม่ แต่โฮจิมินห์ก็ยังอัญเชิญพระองค์ให้มาเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เพื่อดึงดูดผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ให้เข้ามาร่วมทำงานกับสาธารณรัฐ ช่วยทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมของประเทศเล็กๆ อย่างพวกเขากลับไม่ได้อยู่ในมือของตนเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับเหล่าชาติมหาอำนาจผู้ชนะสงครามโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิม ผู้ไม่ยอมรับการประกาศเอกราชของโฮจิมินห์ โดยมี ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบทเทน (Lord Louis Mountbatten) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผู้กำหนดและจัดการบริหารพื้นที่
ถึงแม้ว่า.. สงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สำหรับเวียดนามนั้น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามอินโดจีน ที่มีมากกว่าหนึ่งครั้ง และยิ่งใหญ่ทุกครั้ง โดยมีคู่ต่อสู้เป็นชาติมหาอำนาจผลัดเปลี่ยนกันขึ้นสังเวียน เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 20 ปีต่อมา…
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 2 เหงียนผู้รักชาติ
โฆษณา