31 ต.ค. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
เวียดนาม

เวียดนาม ตอนที่ 3 พูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง

ญี่ปุ่นได้ครอบครองเวียดนามอยู่ประมาณ 5 ปีก่อนที่จะพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนต้องล่าถอยออกไป ในขณะที่ฝรั่งเศสก็แทบเอาตัวไม่รอด บาดเจ็บบอบช้ำจากสงครามไม่น้อย แถมยังต้องสูญเสียดินแดนแถบอินโดจีนอีกด้วย
เพราะในที่สุดมติประชาคมโลก คือชาติมหาอำนาจที่ชนะสงคราม ภายใต้การตัดสินใจของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กำหนดให้เส้นขนานที่ 16° เป็นเส้นแบ่งเขตแดนอำนาจการปกครอง และยอมรับเอกราชของ "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม" ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ เฉพาะในส่วนพื้นที่ตอนบนของประเทศเวียดนามเท่านั้น
ดังนั้นเวียดนามจึงยังไม่มีสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเองอย่างสมบูรณ์ เพราะดินแดนตอนใต้ยังคงอยู่ในกำมือของผู้อื่น และสิ่งนี้เองได้นำไปสู่การต่อสู้ของขบวนการกู้เอกราช "เวียดมินห์" ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ โดยมีฟามวันดงเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ ถึงแม้จะมีภาพลวงตาแห่งเอกราชที่ชาติมหาอำนาจเป็นผู้จัดสรรให้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าคือ เวียดนามต้องเป็นหนึ่งเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้..
3
ภาพการเคลื่อนกำลังที่สมรภูมิหน่าสาน
เวียดนามเป็นประเทศเกิดใหม่ที่มีขนาดไม่ใหญ่ แต่มีชัยภูมิที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ดังนั้นสถานภาพของประเทศจึงขึ้นอยู่กับการเดินเกมของชาติมหาอำนาจรอบข้าง ทีนี้เรามาดูที่ฝรั่งเศสกันก่อนว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดอะไรขึ้นบ้าง
อังกฤษหลังสงครามมีการเลือกตั้งที่พลิกล็อก เพราะวินสตัน เชอร์ชิล วีรบุรุษสงคราม พ่ายแพ้ต่อพรรคเลเบอร์ ภายใต้การนำของแอตลี ซึ่งเลือกที่จะไม่รักษาสถานภาพของจักรวรรดิอังกฤษ เพราะการรักษาอาณานิคมต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล อังกฤษจึงเลือกที่จะปล่อยคืนเอกราชให้ประเทศในจักรวรรดิ และนำงบประมาณกลับมาใช้เป็นสวัสดิการภายในประเทศ เช่น
อินเดียซึ่งเป็นเพชรยอดมงกุฎของอังกฤษก็ได้รับเอกราช รวมถึงประเทศอื่นๆ ทีละน้อย แต่ฝรั่งเศสกลับแตกต่าง ภายใต้ยุคสาธารณรัฐที่ 4 พวกเขายังคงต้องการควบคุมอาณานิคมเดิม เช่น แอลจีเรีย เวียดนาม และอินโดจีน โดยเฉพาะในเวียดนามตอนใต้ที่ฝรั่งเศสยังคงมีสิทธิ์จากการแบ่งประเทศตามเส้นขนานที่ 16 และวางแผนใช้พื้นที่ตอนใต้นี้เอง เป็นฐานทัพในการรุกคืบเข้ายึดเอาเวียดนามทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่ง
วินสตัน เชอร์ชิล กับ เคลเมนต์ แอตต์ลี
ก่อนเดินหน้ากันต่อ จะขออธิบาย 2 ประเด็นสำคัญ
1. การแบ่งแยกเวียดนามออกเป็น 2ส่วนเหนือกับใต้ เกิดขึ้น 2ครั้งคือ
• ปี 1945(พ.ศ.2488) ใช้เส้นขนานที่ 16 ถูกกำหนดโดย ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน เกิดขึ้นหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2
• ปี 1954(พ.ศ.2497) เส้นขนานที่ 17ใช้แม่น้ำเบนไห เป็นแนวแบ่งเขตแดน เกิดขึ้นหลังจบสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 (เวียดนาม~ฝรั่งเศส)
2. เวียดมินห์ กับ เวียดกง
• เวียดมินห์ (Viet Minh) เป็นขบวนการเรียกร้องเอกราชของเวียดนามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อตั้งในปี 1941(พ.ศ.2484)โดยโฮจิมินห์
• เวียดกง (Viet Cong) เป็นกองกำลังของเวียดนามเหนือที่เกิดขึ้นหลังปี 1954(พ.ศ.2497) เพื่อต่อสู้กับเวียดนามใต้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา ในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2
เครื่องแบบของ เวียดมินห์ จะเป็นแบบกองโจรชนบท เพราะเริ่มต้นจากกลุ่มชาวนาและกองกำลังปลดปล่อย ในขณะที่ เวียดกง จะเป็นกองกำลังติดอาวุธยุคใหม่
เรากลับมากันที่ฮานอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เมื่อโฮจิมินห์รู้ว่า ฝรั่งเศสได้กลับมาในตอนใต้แล้ว เป้าหมายหลักของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือ ทำให้เวียดนามมีเอกราชเต็มใบ โดยรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวให้จงได้
แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนั้น โฮจิมินห์ที่ควบคุมพื้นที่ตอนเหนือ คือ ตังเกี๋ยและบางส่วนของอันนัม ต้องจำใจเจรจากับฝรั่งเศส และลงท้ายด้วยการทำสนธิสัญญา "โฮ-แซงเจนี่" (Ho-Sainteny Agreement) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี 1946(พ.ศ.2489) โดยมีใจความสำคัญคือฝรั่งเศสต้องยอมรับสถานภาพรัฐเอกราชของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ภายใต้โฮจิมินห์ (เวียดนามเหนือ) เพื่อเปิดทางสู่การรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวในอนาคต
แต่ในทางปฏิบัติ ฝรั่งเศสกลับส่งข้าหลวงและกองทัพเรือเข้ามาสถาปนารัฐโคชินชินทางตอนใต้ โดยไม่สนใจข้อตกลงเดิมในสนธิสัญญา พร้อมกับทูลเชิญ “จักรพรรดิเบ๋าว์ดั่ย"(บ๋าวดั่ย,เม่าดอย)ให้กลับมาครองราชย์เพื่อสร้างความชอบธรรมในการกลับมาของฝรั่งเศสอีกครั้ง
การลงนามข้อตกลงเบื้องต้นในกรุงฮานอย 6 มีนาคม ค.ศ. 1946 กับ ภาพ ฝูงชนจำนวนมากรวมตัวกันที่ จัตุรัส โรงละครเทศบาลฮานอยเพื่อฟังรัฐบาลอธิบายข้อตกลงเบื้องต้นที่เพิ่งลงนามเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1946 และภาพ สนธิสัญญา "โฮ-แซงเจนี่" ตามลำดับ
แต่ ”จักรพรรดิเบ๋าว์ได๋“ ทรงปฏิเสธ เพราะตระหนักดีว่าการกลับมาจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับประชาชนเวียดนาม พร้อมทั้งประกาศว่า จะยอมรับตำแหน่งก็ต่อเมื่อเวียดนามได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วเท่านั้น
ฝรั่งเศสใช้โมเดลแบบอังกฤษ จัดตั้งพื้นที่อู-นียง ฟร็องแซส คือการรวมตัวกันอย่างหลวมของอดีตอาณานิคมฝรั่งเศส ให้เอกราชกับรัฐอาณานิคมเดิมในระดับที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแรงต้านทานของแต่ละพื้นที่ พร้อมเชิญเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินห์เข้าร่วมด้วย เพื่อหวังให้เวียดนามตอนบน รวมถึงตังเกี๋ยและอันนัม ถูกกลืนเข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมโดยปริยาย พูดง่ายๆ ก็คือ เข้ายึดครองและบอกว่าจะจัดตั้งเป็น “สหพันธรัฐอู-นียง ฟร็องแซส” ของสหภาพฝรั่งเศส (Union Française)
1
ในปี 1946(พ.ศ.2489)โฮจิมินห์เดินทางไปพบกับรัฐมนตรีกระทรวงอาณานิคมของฝรั่งเศส ในยุคสาธารณรัฐที่ 4 ชื่อว่า “มาริอุส มูเตต์ (Marius Moutet)" ซึ่งโฮจิมินห์ยืนกรานไม่ยอมและยืนยันที่จะต้องมีเอกราชบนแผ่นดินตัวเองเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับกับสถานการณ์ครึ่งๆ กลางๆ นี้ไปก่อน
คำว่า “สถานการณ์ครึ่งกลาง” นี้ในทางกฎหมายละตินเรียกว่า ”modus vivendi “คือแผนการชั่วคราวที่ทำให้คู่ขัดแย้งสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่บานปลายไปสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า
1
มาริอุส มูเตต์ (Marius Moutet)
ที่ฮานอยรัฐบาลเกิดใหม่ของเวียดนามได้ร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีข้อความใดกล่าวถึงบทบาทของฝรั่งเศส ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ตอบโต้ด้วยการเตรียมกำลังพลพร้อมรุกรานเวียดนามตอนบน ในช่วงปลายปี 1946(พ.ศ.2489) เรือตรวจการณ์ของฝรั่งเศสเข้ามาตรวจและจัดระเบียบบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งเป็นเขตของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เหตุการณ์ดูเหมือนปกติ แต่ฝรั่งเศสกลับกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ชายฝั่งเวียดนามที่ไฮฟอง ได้เปิดฉากยิงใส่เรือฝรั่งเศสก่อน ทำให้ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต 23 นาย
เหตุการณ์นี้กลายเป็นข้ออ้างให้ฝรั่งเศสภายใต้การตัดสินใจของ ”จอมพล ฌอง เดอ ลัตร์ เดอ ตาสซี่” ส่งเรือรบชื่อ Suffren เข้าประชิดอ่าวตังเกี๋ย จากการยิงประปราย กลับกลายเป็นการระดมยิงจรวดเข้าใส่เมืองไฮฟอง มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนเวียดนามกว่า 6,000 คน เห็นชัดเจนแล้วว่า ฝรั่งเศสต้องการประกาศสงครามและผนวกเวียดนามทั้งแผ่นดินเป็นของตนเช่นในอดีต ฝ่ายโฮจิมินห์ซึ่งมียุทโธปกรณ์ไม่เพียงพอจึงต้องล่าถอย และหลบหนีออกจากเมืองไปกบดานในชนบท พร้อมทั้งตัดสินใจระดมพลังจับอาวุธขึ้นสู้กับฝรั่งเศส
คำถามที่น่าสนใจคือ: แล้วนานาชาติปล่อยให้เวียดนามกับฝรั่งเศสสู้กันเองโดยไม่แทรกแซงเลยหรือ? ต้องขอย้อนกลับไปในช่วงก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณเดือนเมษายน ปี 1945(พ.ศ.2488) สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ได้เคยบอกกับฝรั่งเศสว่า.. “หลังจบสงครามโลกครั้งที่2แล้ว อย่าแตะต้องอาณานิคมเดิมอย่างเวียดนามอีก” และยังเสนอให้จีน ภายใต้เจียงไคเช็คเป็นผู้ดูแลเวียดนามแทน
ภาพของฌ็อง เดอ ลัทร์ เดอ ลาสซี่ กับภาพเรือ Suffren
แต่เจียงไคเช็คตอบชัดเจนว่า.. “ไม่ขอยุ่งเกี่ยว“ เพราะกำลังรบกับคอมมิวนิสต์ในจีน แต่จะส่งกองกำลังจากมณฑลยูนนานภายใต้การนำของนายพลลู่ฮั่น ลงไปช่วยดูแลพื้นที่ตอนบนของเวียดนามเหนือเส้นขนานที่ 16 ส่วนทางตอนใต้อยู่ภายใต้การดูแลของลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน
ดังนั้นโฮจิมินห์ จึงพยายามเดินเกมการทูตไปยังกรุงวอชิงตันกับประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน แต่ในช่วงเวลานั้น สหรัฐอเมริกาเริ่มเข้าสู่สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียตแล้ว ในขณะที่อังกฤษภายใต้รัฐบาลเลเบอร์ของแอตลี ก็กำลังโฟกัสอยู่กับการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามสงบ
อีกทั้งเจียงไคเช็คก็ได้ถอนกำลังทหารจากยูนนานกลับจีน เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์รบระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิสต์ นั่นจึงทำให้โฮจิมินห์ไม่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากนานาชาติ จำเป็นต้องต่อสู้กับฝรั่งเศสเพียงลำพัง
นายพลลู่ฮั่น
ในช่วงระหว่างปี 1947–1948(พ.ศ.2490~2491) ฝรั่งเศสสามารถเข้าควบคุมพื้นที่เวียดนามตอนบนได้มากขึ้นและสถาปนาพื้นที่นั้นเป็น “รัฐเวียดนาม”โดยแต่งตั้ง “จักรพรรดิเบ๋าว์ดั่ย“ ขึ้นเป็นพระประมุขอีกครั้ง พร้อมทั้งตั้ง “เหงียน วัน ซวน (Nguyễn Văn Thiệu)”เป็นนายกรัฐมนตรี
1
พูดง่ายๆ ก็คือ ฝรั่งเศสกลับมาครอบครองเวียดนามทั้งประเทศอีกครั้ง และนี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ซึ่งยืดเยื้อยาวนานมากกว่า 7 ปี และการที่ ”จักรพรรดิเบ๋าว์ดั๋ย” ทรงกลับมาครองราชย์อีกครั้งโดยฝรั่งเศส หลังจากที่เคยสละราชบัลลังก์ไปเมื่อครั้งญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ดังนั้นโฮจิมินห์จึงประณาม “จักรพรรดิเบ๋าว์ดั่ย” ว่า.. ทรงเป็นผู้ทรยศต่อชาติ
เหงียน วัน ซวน (Nguyễn Văn Thiệu)
ประวัติย่อของจักรพรรดิเบ๋าว์ดั๋ย
เบ๋าว์ดั๋ย หรือ เหงียน ฟุก หวิญ ถวิ เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 13 และองค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียนที่ปกครองเวียดนามมายาวนานถึง 143 ปี พระองค์เกิดในปี 1913(พ.ศ.2456) ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1932(พ.ศ.2475) ขณะมีอายุเพียง 19 ปี ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งอันนัม และโคชินชินภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
พระองค์ทรงใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในต่างประเทศเพื่อศึกษาที่ฝรั่งเศส จึงมีแนวคิดแบบตะวันตก และไม่รู้สึกเดือดร้อนที่เวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่น พระองค์ได้รับฉายาว่า “ฮ่องเต้ไนคลับ” เพราะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ถึงแม้ว่าจะมีผู้ภักดีต่อราชวงศ์และพระองค์อยู่ไม่น้อย แต่โฮจิมินห์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า “เบ๋าว์ดั๋ย..คือผู้ทรยศต่อชาติ”
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 3 พูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง
โฆษณา