14 พ.ย. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
เวียดนาม

เวียดนาม ตอนที่ 4 สงครามชี้ชะตา "เดียนเบียนฟู"

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยสถานภาพของจักรพรรดิเบ๋าว์ดั๋ย พระองค์ทรงเป็นที่ต้องการของหลายฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ของโฮจิมินห์ ฝ่ายฝรั่งเศส และฝ่ายชาตินิยม แต่สุดท้าย.. พระองค์ทรงเลือกรับคำเชิญขึ้นเป็นประมุขของ “รัฐเวียดนาม” ที่ฝ่ายฝรั่งเศสเป็นผู้จัดตั้งขึ้น ดังนั้นโฮจิมินห์จึงประณามพระองค์ว่า ”ทรงเป็นผู้ทรยศต่อชาติ“
ในขณะนั้นเวียดมินห์ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ และหวอ เหวียน ซับ มีกำลังพลมากกว่าเพราะเป็นกองกำลังของประชาชนเวียดนามผู้รักชาติ ส่วนฝรั่งเศสถึงแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าก็จริง แต่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่ามาก จึงทำให้เวียดมินห์ต้องใช้ยุทธวิธีการรบแบบกองโจร มุ่งเน้นการตั้งรับในพื้นที่ชนบทของเวียดนามตอนบน และใช้พื้นที่บางส่วนของประเทศลาว(เพื่อนบ้านทางตะวันตก)เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลเพื่อโอบตีฝรั่งเศส
ภูมิประเทศเวียดนาม
ซึ่งเวียดมินห์รู้ข้อจำกัดด้านยุทโธปกรณ์ของตัวเองดี ประกอบกับไม่มีมหาอำนาจใดๆ เข้ามาช่วยเหลือ ดังนั้นช่วงปี ค.ศ.1947~1948(พ.ศ.2490~2491) พวกเขายังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสยิ่งกลับมาแสดงความเหนือกว่า รวมถึงใช้วิธีการเดิม ๆ เช่น การทรมาน ข่มขืน และกดขี่ข่มเหงประชาชนอย่างหนัก เพื่อสร้างความหวาดกลัวไม่ให้ประชาชนหันไปร่วมมือกับกลุ่มเวียดมินห์ แต่ฝรั่งเศสคิดผิด เพราะสิ่งเหล่านี้เอง.. กลับจุดติดไฟแค้นให้กับประชาชนเวียดนามที่ต้องการขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากแผ่นดินให้เร็วที่สุด
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อเวียดนามโดยตรงนั่นคือ การเมืองภายในของจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จีนต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็ค กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมา เจ๋อตง ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ และการสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1949(พ.ศ.2492)
การพลิกขั้วอำนาจภายในของจีนมีความสำคัญต่อเวียดนามภายใต้โฮจิมินห์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยมีอุดมการณ์เดียวกันกับผู้นำของจีน จึงทำให้เวียดมินห์ได้รับการสนับสนุนจาก “ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน “ ทั้งในด้านยุทโธปกรณ์และแผนยุทธศาสตร์ที่สำคัญเป็นอย่างมาก นี่คือจุดพลิกเกมที่ทำให้เวียดมินห์สามารถต่อสู้กับฝรั่งเศสได้อย่างสูสีมากขึ้น
ภาพถ่ายที่กรุงปักกิ่ง วันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1955
รัฐเวียดนามที่ฝรั่งเศสจัดตั้งขึ้นอยู่ภายใต้ “สหภาพฝรั่งเศส” โดยมีจักรพรรดิเบ๋าว์ดั่ย ทรงเป็นประมุข และมีเหงียน วัน ซวน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิดของฝรั่งเศสเท่านั้น
โดยในช่วงนี้ ทางตอนใต้ของเวียดนาม ได้มีผู้นำลัทธิชาตินิยมเกิดขึ้นอีกคนหนึ่งคือ “โง ดิ่น เสี่ยม” (Ngô Đình Diệm) เป็นบุตรชายของ “โง ดิ่น ข่า” นักปราชญ์และผู้ก่อตั้งโรงเรียนหลีเสว่ ซึ่งโฮจิมินห์ได้เคยศึกษาที่นี่ จึงนับเป็นศิษย์เก่า
ต่อมาโง ดิ่น เสี่ยมได้กลายเป็นประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ ส่วนพี่ชายของเขา “โง ดิ่น ถุก” ก็กลายเป็นพระราชาคณะของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในเวียดนามอีกด้วย
โง ดิ่น เสี่ยม เป็นชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ตอนเด็กเกือบจะบวชตามพี่ชาย แต่เปลี่ยนใจมาเข้ารับราชการในราชสำนัก และไม่พอใจที่ราชสำนักยอมเป็นหุ่นเชิดของฝรั่งเศส
โง ดิ่น เสี่ยม และ โง ดิ่น ถุก
โดยเขาปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเวียดมินห์ เพราะไม่เลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ยังคงมีอุดมการณ์อันแรงกล้าในการขับไล่ญี่ปุ่น รวมทั้งฝรั่งเศสให้ออกไปจากแผ่นดิน และเขาก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติตะวันตกโดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเขาอาจเป็นผู้นำที่ปลดแอกเวียดนามได้ในอนาคต
สมรภูมิสำคัญของสงครามอินโดจีน ครั้งที่ 1 เป็นการต่อสู้ระหว่างเวียดมินห์กับฝรั่งเศสดำเนินต่อเนื่องจนถึงปี ค.ศ.1952(พ.ศ.2495)โดยเวียดมินห์ใช้วิธีสู้รบแบบจรยุทธ์ที่เรียนรู้จากกองกำลังคอมมิวนิสต์จีน เน้นการควบคุมพื้นที่ชนบทโอบล้อมเมือง หรือที่เรียกกันว่า ป่าล้อมเมือง
และในช่วงปลายปีนั้นเองที่จังหวัดสลา กองกำลังฝรั่งเศส 2,000 นาย นำโดยพลจัตวา “เรเน ค็อก" (René Cogny) ใช้ยุทธวิธีโจมตีแบบเปิดเผยโดยใช้อาวุธหนัก หวังเก็บกวาดให้สิ้นซาก ทำให้เวียดมินห์สูญเสียอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิต 1,400 คน ถูกจับเป็นเชลยกว่า 2,000 คน และบาดเจ็บรวมกว่า 6,000 คน
1
พลจัตวา “เรเน ค็อก" (René Cogny)
นี่ถือเป็นสมรภูมิที่หวอ เหวียน ซับ ผู้นำทางทหารของเวียดมินห์เจ็บปวดที่สุด แต่ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาเข้าใจยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศสมากยิ่งขึ้น
หวอ เหวียน ซับ (Võ Nguyên Giáp) เป็นผู้บัญชาการทหารของเวียดมินห์ที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ตัวเขาไม่เคยเรียนโรงเรียนทหาร และไม่มีประสบการณ์ด้านการรบอย่างเป็นทางการมาก่อน หากแต่ชัยชนะเหนือฝรั่งเศสของเขาได้รับการยกย่องว่า.. เป็นการเผชิญหน้าครั้งสำคัญสุดยอดในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 คือ “ ยุทธการเดียนเบียนฟู ” อันลือลั่นในปี ค.ศ.1954(พ.ศ.2497) ทำให้ชื่อของเขาถูกจารึกไว้ตลอดกาล
ต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สงครามยิ่งใหญ่โดยฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1992(พ.ศ.2535) เขียนบทและกำกับโดยทหารผ่านศึกชาวฝรั่งเศส ปิแอร์ ชอนเดอร์ฟเฟอร์ ด้วยงบประมาณมหาศาล มีนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ และฉากสงครามที่สมจริงซึ่งสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของกองทัพฝรั่งเศสและเวียดนาม “เดียนเบียนฟู”
1
Dien Bien Phu - ยุทธการเดียนเบียนฟู (1992)
ได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สงครามที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ของฝรั่งเศส โดยถ่ายทอดภาพ การปิดล้อมเดียนเบียนฟู (1954/2497) เป็นเวลา 55 วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธการสุดท้ายของกองทัพอาณานิคมแห่งสหภาพฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ อันเป็นการนำไปสู่สงครามอินโด จีนครั้งที่ 2 ซึ่งในสหรัฐอเมริการู้จักกันในชื่อ “สงครามเวียดนาม”
แม้หวอ เหวียน ซับจะไม่เคยเรียนโรงเรียนทหาร และไม่มีประสบการณ์ด้านการรบ แต่เขาพัฒนาอัจฉริยภาพทางการทหารด้วยวิธี “ครูพักลักจำ” และการลงสนามจริง
ท่านเกิดในปี ค.ศ.1911(พ.ศ.2454) ที่จังหวัดกว๋างบิ่งห์ อยู่ตอนกลางของเวียดนาม อายุอ่อนกว่าลุงโฮ (โฮจิมินห์) และเคยเรียนที่โรงเรียนมัธยมเดียวกันคือ “ลิเซ” ซึ่งเป็นโรงเรียนแบบตะวันตกที่มีหลักสูตรสอนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวรรณคดี
หวอ เหวียน ซับ ตอนหนุ่มกับตอนปัจจุบัน
เพื่อนร่วมรุ่นของเขาที่ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของเวียดนามคือ “ฟาม วัน ดง” หวอ เหวียน ซับ เคยกล่าวว่าเขาได้รับอิทธิพลทางการทหารจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และจากบุคคลร่วมยุคอย่าง “ลอเรนซ์แห่งอาระเบีย” (T.E. Lawrence) ผ่านหนังสือ Seven Pillars of Wisdom
หลังชัยชนะแบบหืดขึ้นคอของฝรั่งเศสที่สมรภูมิหน่าสาน หรือยุทธการหน่าสาน จังหวัดเซินลา ทำให้ฝรั่งเศสรู้ทันทีว่า.. เวียดมินห์ไม่ใช่กองกำลังชนบทธรรมดาๆ ที่ไร้ความสามารถ และรู้ด้วยว่า..เส้นเลือดใหญ่ของเวียดมินห์คือเส้นทางลำเลียงกำลังพลและยุทธภัณฑ์ผ่านประเทศลาว หากสามารถตัดเส้นทางนี้ได้ ก็จะลดความแข็งแกร่งของเวียดมินห์ลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเวียดมินห์นั้น ทำให้ผู้นำทางทหารของฝรั่งเศสหลายคนไม่สามารถจัดการเผด็จศึกลงได้ ซึ่งฝรั่งเศสก็เหนื่อยเช่นกัน จนกระทั่งนายกรัฐมนตรี “ปิแอร์ เมนเดส ฟร็องซ์” แต่งตั้งจอมพล “อองรี นาวาร์” เข้ามาเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาด
พลเอก อองรี นาวาร์ (Henri Navarre)
นาวาร์เลือกพื้นที่ยุทธศาสตร์ใกล้ชายแดนลาว-เวียดนามที่ชื่อว่า “เดียนเบียนฟู” ซึ่งเป็นพื้นที่ราบ โอบล้อมด้วยหุบเขา และเคยเป็นที่ตั้งสนามบินของญี่ปุ่นมาก่อน ฝรั่งเศสจึงใช้เครื่องบินลำเลียงกำลังทหาร และยุทโธปกรณ์โดดร่มลงมาตั้งฐานทัพอย่างรวดเร็ว
ปฏิบัติการครั้งนี้มีชื่อว่า “กัสโต้” โดยมีการตั้งฐานรอบ ๆ ได้แก่:
กาเบรียล ทางตอนเหนือ
แอนน์ มารี ทางตะวันออก
อิซาเบล ทางตอนใต้
เบอทรีส ทางตะวันตก
ใจกลางคือฐาน โดมินิก และ เอลิอาน ซึ่งมีสนามบินตั้งอยู่ตรงกลาง
แต่ หวอ เหวียน ซับ มองว่า เดียนเบียนฟูเปรียบเสมือน “ชามข้าว” ที่สามารถล้อมได้ หากลำเลียงปืนใหญ่และปืนต่อสู้อากาศยานที่ได้จากโซเวียตขึ้นไปตั้งบนสันเขา ก็จะสามารถโจมตีจากบนที่สูงข่มขวัญ และยังยิงทำลายเครื่องบินที่เข้ามาในระยะใกล้ได้อีกด้วย
เวียดมินห์ได้จัดวางกำลังทหาร 5 กองพล (ที่ 304 ที่ 308 ที่ 312 ที่ 316 และที่ 351) โดยถ้าดูจากแผนที่จะอยู่ในที่สูงซึ่งเห็นการจัดวางกำลังของฝรั่งเศสทั้งหมด
ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ไม่เชื่อว่า.. เวียดมินห์จะลำเลียงยุทโธปกรณ์จำนวนมากขึ้นไปบนภูเขาได้จริง แถมยังปรามาสไว้ว่า.. ความสามารถไม่ถึงย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน
และแล้วในที่สุด สมรภูมิเดียนเบียนฟูที่กินเวลาเพียง 54 วัน = 1 เดือน 3 สัปดาห์ 3 วัน ผลคือมหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างฝรั่งเศสที่มียุทโธปกรณ์เหนือกว่ามาก ก็ได้ถูกปิดล้อมไว้ตามแผนการของหวอ เหวียน ซับ
เวลา 18:20 น. วันที่ 7 พฤษภาคม ปี ค.ศ.1954(พ.ศ.2497) พันตรี “นิโกลาส์” ผูกถุงขาวไว้ที่ปลายปืนและชูขึ้นเหนือศีรษะเป็นสัญญาณว่า.. “ฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อเวียดมินห์แล้ว”
พันเอก “คริสเตียน เดอ คาสเตรส์” ผู้บัญชาการทหารฝรั่งเศส ถูกจับกุมในบังเกอร์ หมดสภาพมหาอำนาจโดยสิ้นเชิง ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝรั่งเศสประกาศยุติบทบาททั้งหมดในเวียดนาม
รูปภาพของปืนใหญ่กับรถถังเบา เอ็ม 24 ชัฟฟี จำนวนหนึ่งไว้ทำการรบ
เวียดมินห์ที่ไม่มีอากาศยานเลย สามารถทำลายเครื่องบินฝรั่งเศสได้ 62 ลำ และรถถัง 10 คัน ฝรั่งเศสมีกำลังพล 14,000 นาย เสียชีวิตประมาณ 2,000 นาย เวียดมินห์มีกำลังพลกว่า 50,000 นาย เสียชีวิตประมาณ 8,000 นาย ทหารฝรั่งเศสกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหนกัน ยิ่งเรายิง พวกเขาก็โผล่มาอีก เหมือนมดที่ไม่มีวันหมด” สำหรับเวียดมินห์ พวกเขาเลือกแล้วว่า “ถ้าอยู่อย่างไม่มีเอกราช ก็สู้จนตายไปเสียจะดีกว่า”
บทสรุป
ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดี “เรอเน โกตี” และนายกรัฐมนตรี “ปิแอร์ เมนเดส ฟร็องซ์” ฝรั่งเศสได้ตัดสินใจถอนทหารทั้งหมดออกจากดินแดนอินโดจีนตลอดกาล
แต่เอกราช เอกภาพ และสันติภาพของเวียดนามยังไม่เริ่มต้นจริง เพราะจุดนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของไฟสงครามใหญ่ครั้งใหม่อีกระลอกนึง นั่นคือ.. สงครามเวียดนาม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ”สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2“ ที่ยืดเยื้อยาวนานร่วม 2 ทศวรรษ
สงครามครั้งใหม่นี้ ไม่ใช่ความขัดแย้งของเวียดนามกับต่างชาติแล้วเท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งของคนในชาติเวียดนามด้วยกันเอง ที่ยึดถือคนละอุดมการณ์ คนละศาสนา..
ภาพส่วนหนึ่งในการรบของเดียนเบียนฟู
ฟังแล้วให้นึกถึงเพลง “Refugee” ของคาราบาว ที่ร้องว่า:
กินมีเหลือเผื่อแผ่กันวันนั้น
วันนี้คงไม่ต้องล่องเรือ
เกลือจิ้มเกลือเหลือเพียงเรือลงมา
มาเข้ามาเข้ามา Refugee…
คาราบาว
สงครามที่ชักนำต่างชาติเข้ามาย่ำยีเวียดนามอีกระลอกยาวนานร่วม 20 ปี อันเป็นที่มาของคำว่า “ สงครามเงา ”
คำถามสำคัญคือ: ทำไม???.. สหรัฐอเมริกาที่ไม่เคยแสดงท่าทีฝักใฝ่ฝ่ายใด จึงเข้ามาเกี่ยวข้อง และยอมทุ่มเทสรรพกำลังอย่างมหาศาลกับสงครามในครั้งนี้??? ติดตามต่อในตอนหน้าครับ…
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 4 สงครามชี้ชะตา "เดียนเบียนฟู"
โฆษณา