16 ต.ค. เวลา 04:32 • การเมือง

หลังปูตินยอมรับเองกับปากว่า “รัสเซียเป็นคนยิงเครื่องบินพลเรือนอาเซอร์ไบจานตก”

ทำไม “รัสเซีย” กับ “อาเซอร์ไบจาน” ถึงคืนดีกันได้ง่ายดายและรวดเร็ว
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ “ปูติน” ยอมรับต่อสาธารณชนแล้วว่า เป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุเครื่องบินพลเรือนของอาเซอร์ไบจานแอร์ไลน์ตกเมื่อช่วงสิ้นปี 2024 และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก 30+ ราย ส่งผลให้ความหมางเมินระหว่าง “รัสเซีย” และ “อาเซอร์ไบจาน” ที่ดำเนินมาเกือบปีได้จบลงอย่างไม่คาดคิด แต่เหตุใดการเผชิญหน้าจึงจบลงอย่างง่ายดายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ย้อนกลับไปอ่านเรื่องราวเหตุการณ์เครื่องบินตกในตอนนั้นได้จากบทความที่ทางเพจเคยลงไว้ตามด้านล่างนี้
ในการพบปะกับอาลีเยฟ (ปธน. อาเซอร์ไบจาน) ปูตินได้กล่าวขอโทษด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ ปูตินยอมรับว่าเครื่องบิน AZAL ตกเนื่องจากขีปนาวุธของระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย และขอโทษสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบนน่านฟ้าเหนือดินแดนรัสเซีย” แต่ท้ายที่สุดก็โทษยูเครนและโดรนที่บินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
นอกจากนี้เพื่อเน้นย้ำว่ารัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมนี้เพียงทางอ้อม ผู้นำรัสเซียยังได้อ้างถึง “ความล้มเหลวทางเทคนิค” ในระบบป้องกันภัยทางอากาศและข้อเท็จจริงที่ว่าขีปนาวุธไม่ได้โจมตีเครื่องบินโดยตรง แต่ระเบิดออกก่อนในระยะห่างหลายเมตรจากตัวเครื่องบินบนอากาศ
1
ข้ออ้างเช่นนี้ฟังดูแปลกประหลาดไม่น้อย “ระบบแพนท์เซอร์-เอส1” (Pantsir-S1) ที่เคยใช้ป้องกันภัยทางอากาศก็ทำงานแบบนั้นเป๊ะๆ คือ ขีปนาวุธที่ถูกยิงออกไปจะระเบิดใกล้เป้าหมายก่อนแล้วมันจึงสาดสะเก็ดระเบิดใส่เป้าหมาย
แต่ปูตินกลับสนใจที่จะยอมรับความรับผิดชอบด้วยการโยนความผิดให้ระบบดังกล่าวมากกว่า ขณะที่อาลีเยฟกลับรู้สึกเฉยๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะมาอีหรอบนี้
ระบบป้องกันภัยทางอากาศ “แพนท์เซอร์-เอส1” ของรัสเซีย เครดิตภาพ: Sputnik News
ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจานกล่าวขอบคุณปูตินสำหรับการดูแลการสอบสวนด้วยตนเอง (แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าเพิ่งทราบความคืบหน้าของคดีเมื่อวานนี้เอง) พร้อมทั้งยืนยันว่า “ตั้งแต่เริ่มต้น” เขาไม่มีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับความเป็นกลางของการสอบสวนของรัสเซีย และแสดงความหวังว่าคำชี้แจงทางการจากฝ่ายรัสเซียจะ “ได้รับการตอบรับที่ดีจากสังคมอาเซอร์ไบจาน”
ประธานาธิบดีทั้งสองได้แก้ไขและยุติข้อขัดแย้งจนเป็นที่พอใจร่วมกันแล้ว
  • ชะตากรรมของตัวประกันทั้งสองฝั่ง
นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและอาเซอร์ไบจานเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเครื่องบินตกเมื่อสิ้นปีก่อนลากยาวจนเลยกลางปีนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะพยายามหลีกเลี่ยงการแตะประเด็นสำคัญและละเอียดอ่อนอย่างแท้จริงในความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่กลับมุ่งเป้าไปที่พลเมืองของกันและกัน
ความตึงเครียดถึงขีดสุดช่วงมิถุนายน-กรกฎาคม 2025 เมื่อหน่วยรบพิเศษของรัสเซียควบคุมตัวชาวอาเซอร์ไบจานมากกว่า 10 คนในเยคาเตรินเบิร์ก ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีอาญาเก่า ผู้ถูกควบคุมตัว 2 คนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากการทรมาน
อาเซอร์ไบจานตอบโต้ด้วยการจับกุมนักข่าวจากสำนักข่าวสปุตนิกที่ได้รับการสนับสนุนจากเครมลิน รวมถึงพลเมืองรัสเซียหลายคนที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงทางไซเบอร์และลักลอบขนยาเสพติด รัสเซียตอบโต้ด้วยการกักตัวอดีตผู้บริหารชาวอาเซอร์ไบจานพลัดถิ่นในรัสเซีย
อ่านเรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง “รัสเซีย” กับ “อาเซอร์ไบจาน” เมื่อช่วงกลางปีนี้ได้จากบทความที่ทางเพจได้เคยลงไว้ตามด้านล่างนี้
ยากที่จะกล่าวว่ามาตรการของกองกำลังความมั่นคงรัสเซียที่มีต่อชาวอาเซอร์ไบจานนั้นอ่อนลงนับตั้งแต่นั้นมา เพราะเพียงวันก่อนการประชุมของผู้นำทั้งสองที่เมืองดูชานเบ มีวิดีโอเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นพลเมืองอาเซอร์ไบจานสามคนถูกกักตัวเป็นเวลาสามวันที่สนามบินซูคอฟสกี ใกล้กรุงมอสโก โดยไม่ได้แม้แต่อาหาร
อย่างไรก็ตาม “ปูติน” และ “อาลีเยฟ” เลือกที่จะไม่พูดถึงเหตุการณ์นี้หรือเหตุการณ์ที่คล้ายกันในระหว่างการประชุมเพื่อหวังที่ต้องการปรองดองกัน โดยจนถึงขณะนี้ตัวประกันคนสำคัญที่สุดของทั้งสองประเทศได้รับการปล่อยตัวจากคุกแล้ว คือ บรรณาธิการบริหารของสปุตนิกสาขาในอาเซอร์ไบจาน และอดีตผู้อำนวยการชาวอาเซอร์ไบจานที่ถูกจับข้อหาฉ้อโกงในมอสโก
วิกฤตความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย” กับ “อาเซอร์ไบจาน” ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งสองรัฐบาลพร้อมที่จะจับพลเมืองของกันและกันเป็นตัวประกัน แต่พวกเขาต้องการใช้เป็นข้ออ้างในการยกระดับความขัดแย้งเท่านั้น
  • เหตุใด “อาลีเยฟ” ผู้นำอาเซอร์ไบจานจึงชนะ
ในภาพรวมแล้ว ข้อพิพาทกับรัสเซียจบลงอย่างที่อาลีเยฟคาดหวังไว้ทุกประการ สื่อของรัฐอาเซอร์ไบจานยกย่องเหตุการณ์นี้ว่าเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีของตน โดยนำเสนอการประชุมราวกับว่าประมุขของ “ประเทศมหาอำนาจ” (รัสเซีย) ได้โค้งคำนับและขอโทษประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริง แต่อาลีเยฟสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ ตลอดหลายเดือนแห่งความขัดแย้ง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่เป็นอิสระ สลัดภาพลักษณ์ในฐานะบริวารของรัสเซีย ยกระดับภาพลักษณ์ในโลกตะวันตกอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างอำนาจภายในประเทศ
สำหรับ “สหภาพยุโรป” ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในอาเซอร์ไบจานกลายเป็นเรื่องรองไปเลย ขณะเกิดความขัดแย้งกับรัสเซีย อาลีเยฟสามารถแสดงตนเป็นพันธมิตรของยูเครน ริเริ่มสนธิสัญญาสันติภาพกับอาร์เมเนียในกรุงวอชิงตัน และจัดการประชุมกับผู้นำยุโรปได้หลายครั้ง จนดูเหมือนว่าเขาไปซบกับฝ่ายตะวันตกเป็นที่เรียบร้อย
ระหว่างการประชุมสุดยอดไตรภาคีกับทรัมป์ (สหรัฐ-อาเซอร์ไบจาน-อาร์เมเนีย) คู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสร้างเส้นทางขนส่งผ่านอาร์เมเนียจากบากูไปยังนาคีเชวาน “โดยไม่มีรัสเซียเป็นตัวกลาง” ซึ่งตอกย้ำการลดลงของอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคคอเคซัสใต้ อาเซอร์ไบจานยังได้ลงนามสัญญาก๊าซกับหลายประเทศในสหภาพยุโรป และวางแผนที่จะซื้อโรงกลั่นน้ำมันในอิตาลี
อ่านเรื่องราวการเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคคอเคซัสใต้ของฝ่ายตะวันตกที่กระทบต่ออิทธิพลเดิมของรัสเซีย ได้จากบทความที่ทางเพจได้เคยลงไว้ตามด้านล่างนี้
“มาร์ตา คอส” กรรมาธิการด้านการขยายกิจการของสหภาพยุโรป เดินทางเยือนกรุงบากูและตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซอร์ไบจาน อย่างไรก็ตามประเด็นการปล่อยตัวนักโทษการเมืองซึ่งขณะนี้มีจำนวนเกือบ 400 คนแล้ว ไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารือกัน
ความสำเร็จมากมายในความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกได้รับการเสริมด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ สำหรับสังคมอาเซอร์ไบจานการเผชิญหน้ากับรัสเซียมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงเกียรติภูมิระหว่างประเทศที่กำลังเติบโตของประเทศและเสริมสร้างความภาคภูมิใจในชาติ
  • รัสเซียคำนวณไว้แล้ว
ในขณะที่อาลีเยฟกำลังทำคะแนนได้ทั้งในและต่างประเทศ รัสเซียกลับเลือกที่จะไม่แทรกแซง พยายามหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญที่แท้จริง อาเซอร์ไบจานได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อรัสเซียเป็นเวลาหลายเดือน แสดงการสนับสนุนยูเครนอย่างชัดเจน แต่รัสเซียกลับรอคอยอย่างเงียบๆ ให้อาลีเยฟได้รับผลประโยชน์ด้านชื่อเสียงอย่างเต็มที่และกลับไปร่วมมือกับอาเซอร์ไบจานเหมือนเดิม เพราะอะไร?
สำหรับ “รัสเซีย” การรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอาเซอร์ไบจาน ซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการคว่ำบาตรมอสโกของชาติตะวันตกหลายครั้งนั้นสำคัญกว่า การเผชิญหน้าครั้งนี้แม้จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระหว่างกันแต่อย่างใด
ระเบียงเส้นทางการค้าเหนือ-ใต้ (North-South Corridor) ที่เชื่อม รัสเซีย-อิหร่าน-อินเดีย โดยผ่านอาเซอร์ไบจานยังคงดำเนินต่อไป โดยปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้น 13% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 และการค้าทวิภาคีก็เติบโตในอัตราสองหลักในช่วงหลายเดือนที่เกิดความตึงเครียดมากที่สุด
อาเซอร์ไบจานไม่ได้ขู่ว่าจะเข้าร่วมมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกด้วยซ้ำ เมื่อ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการจัดการประชุมไตรภาคีของคณะผู้แทนจาก อาเซอร์ไบจาน-รัสเซีย-อิหร่าน เพื่อหารือเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าตามระเบียงเส้นทางเหนือ-ใต้
North-South Corridor (เส้นสีแดง) ช่วยลดเวลาการขนส่งและต้นทุนได้กว่า 30% เมื่อเทียบกับต้องใช้เส้นทางผ่านทางทะเลในทวีปยุโรป เครดิตภาพ: IRNA
ตลอดช่วงระหว่างความขัดแย้ง ทางการอาเซอร์ไบจานระมัดระวังในการหลีกเลี่ยงการข้าม “เส้นแดง” ของรัสเซีย และก่อให้เกิดการดูหมิ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งบีบให้ปูตินต้องตอบโต้ อาเซอร์ไบจานตระหนักดีว่าพวกเขายังต้องพึ่งพารัสเซียทางเศรษฐกิจมากกว่าที่รัสเซียต้องพึ่งพาพวกเขา
ท้ายที่สุดแล้ว “ไม่มีใครพ่ายแพ้” อาลีเยฟได้รับผลประโยชน์ด้านชื่อเสียงและยุติความขัดแย้งกับรัสเซียได้ เมื่อเขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ในขณะเดียวกันปูตินก็สามารถปิดฉากเหตุการณ์เครื่องบินตกได้อย่างรวดเร็วและไม่เจ็บปวดนัก
ตอนนี้ทั้งสองประเทศน่าจะใช้ชีวิตราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของผู้นำ CIS ที่เมืองดูชานเบ อาลีเยฟโอบกอดปูติน ขณะที่สงวนตัวเองไว้เพียงการจับมือกับประธานาธิบดีคนอื่นๆ ปูตินถึงกับประกาศว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างบากูและมอสโกไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่เป็นเพียง “วิกฤตทางอารมณ์” เท่านั้น
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 เครดิตภาพ: Grigory Sysoev / EPA / Sputnik
เรียบเรียงโดย Right Style
16th Oct 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Reuters, 1lurer.am>
โฆษณา