26 ต.ค. เวลา 14:51 • ธุรกิจ

⏳ "The Death of 9-to-5”

เมื่อคนเก่งไม่หางาน...แต่เลือกโปรเจกต์
💥 จุดจบของงานประจำแบบที่คน Gen Y/Gen X คุ้นเคย?
Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn เคยกล่าวไว้อย่างเฉียบคมว่า
“งาน 9-to-5 จะกลายเป็นซากฟอสซิลของโลกเก่าในอีกไม่ถึงสิบปี” — ประโยคนี้ไม่ใช่คำทำนายที่เกินจริง แต่สะท้อน “แรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่” ที่กำลังเปลี่ยนโลกการทำงานไปตลอดกาล
ในยุคหลังโควิดและการเติบโตของเทคโนโลยี AI รูปแบบการทำงานแบบเดิมกำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก องค์กรที่เคยภูมิใจกับตึกสำนักงานใหญ่ใจกลางเมือง กลับต้องยอมรับว่าพนักงานไม่อยากกลับมาเข้าออฟฟิศอีกต่อไป เพราะพวกเขาค้นพบว่า Productivity ไม่ได้เกิดจากสถานที่  แต่มาจาก “อิสระในการจัดการเวลาและพลังของตัวเอง”
อดีตที่ “งานประจำ” เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง กำลังถูกแทนที่ด้วย “โปรเจกต์” ที่ให้ทั้งรายได้ ประสบการณ์ และความหมายในเวลาเดียวกัน โลกใบใหม่จึงไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่ที่ความสามารถในการสร้างคุณค่าซ้ำๆ จากสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด
โลกของคนทำงานกำลังเปลี่ยนจาก “หางานทำ” เป็น “เลือกโปรเจกต์ที่อยากสร้าง”
====
🧭 ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่อยากกลับเข้าสำนักงาน?
รายงาน Upwork Freelance Forward 2024 เปิดเผยว่า กว่า 52% ของคน Gen Z ในสหรัฐฯ ทำงานอิสระ (Freelance) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา และแนวโน้มนี้กำลังเติบโตทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย หรือแม้แต่ประเทศไทยที่เริ่มเห็นการเติบโตของ “ฟรีแลนซ์สายเทค” อย่างชัดเจน
1️⃣ ความยืดหยุ่นคือสิทธิ ไม่ใช่สวัสดิการ
* ในโลกที่อินเทอร์เน็ตเชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน การทำงานจากที่ใดก็ได้ไม่ใช่สิทธิพิเศษอีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่” ของคนทำงานยุคนี้
* พวกเขาไม่ได้ต้องการ Work-Life Balance ที่แยกชีวิตกับงานออกจากกัน แต่ต้องการ Work-Life Integration ที่ทำให้ทั้งสองสิ่งอยู่ร่วมกันอย่างมีความหมาย
2️⃣ กระแสเงินสดสำคัญกว่าเงินเดือน
* แนวคิด “เงินเดือนประจำ” เริ่มล้าสมัยในสายตาคนรุ่นใหม่ พวกเขาต้องการเห็นรายได้ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องรอสิ้นเดือน
* เช่น รับเงินจากการสอนคอร์สออนไลน์ เขียนบทความ หรือทำโปรเจกต์ระยะสั้นบนแพลตฟอร์มอย่าง Fiverr, Fastwork หรือ Toptal เพราะสำหรับพวกเขา กระแสเงินสด (Cash Flow) คือเส้นเลือดของอิสรภาพทางการเงิน
3️⃣ การเรียนรู้สำคัญกว่าตำแหน่ง
* ในยุคที่โลกเปลี่ยนทุก 3 เดือน การยึดติดกับ “ตำแหน่ง” ไม่ได้ช่วยให้มั่นคงอีกต่อไป คนรุ่นใหม่จึงเลือกสร้างพอร์ตทักษะ (Skill Portfolio) มากกว่าการสะสมปีประสบการณ์
* พวกเขาอยากเรียนรู้แบบลงมือจริง (Learning by Doing) และสะสมผลงานจากหลายอุตสาหกรรมเพื่อให้พร้อมสำหรับอนาคตที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม
4️⃣ ความหลากหลายคือความมั่นคงใหม่
* การมีรายได้ทางเดียวเท่ากับการถือหุ้นบริษัทเดียวในตลาดผันผวน คนยุคใหม่เข้าใจหลัก “Diversify” ในชีวิตจริง พวกเขาเลือกทำหลายอย่างพร้อมกัน
* เช่น รับงานดีไซน์ เขียนคอนเทนต์ ลงทุนในคริปโต หรือเปิดคอร์สออนไลน์ เพราะรู้ดีว่าความมั่นคงไม่ได้มาจากที่ทำงาน แต่อยู่ที่ “การไม่หยุดสร้างรายได้ใหม่”
====
🏢 เมื่อองค์กรใหญ่เริ่มเสียคนเก่งให้กับอิสรภาพ?
* องค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกกำลังเผชิญสิ่งที่เรียกว่า “Talent Drain” หรือ การสูญเสียคนเก่งแบบเงียบๆ จากระบบที่ล้าสมัยและไม่ยืดหยุ่นพอ “A-Player” ในองค์กรเริ่มตั้งคำถามว่า เหตุใดพวกเขาต้องถูกจำกัดอยู่ในระบบเวลา ทั้งที่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่านั้นจากทุกที่บนโลก
* ในขณะเดียวกัน บริษัทเทคอย่าง Google, Deloitte, และ Microsoft กำลังปรับระบบการบริหารคนแบบใหม่ จาก Department-based สู่ Project-based เปิดให้พนักงานเลือกโปรเจกต์ที่ตรงกับ Passion และความเชี่ยวชาญ ทำให้เกิดแรงจูงใจจากภายในแทนการบังคับจากภายนอก
* องค์กรที่ยังคงวัดผลด้วย “ชั่วโมงทำงาน” แทน “คุณค่าที่สร้างได้” จะค่อยๆ เสียความสามารถในการแข่งขัน และเหลือเพียงวัฒนธรรมที่กลวงเปล่า เต็มไปด้วยคนที่ “อยู่เพราะต้องอยู่” แทนที่จะ “อยู่เพราะอยากสร้าง”
“เมื่อคนเก่งไม่หางาน บริษัทต้องหาทางทำให้คนเก่งอยากร่วมงานด้วย”
====
🌍 โลกกำลังเข้าสู่ยุคของ “Project-based Work”
* Gig Economy คือเวทีที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พิสูจน์ฝีมือในระดับโลก โดยไม่ต้องรอให้หัวหน้ามอบหมายงานอีกต่อไป แพลตฟอร์มอย่าง Upwork, Braintrust, หรือ LinkedIn Projects กำลังกลายเป็นศูนย์กลางของแรงงานอิสระที่สามารถทำงานร่วมกับองค์กรระดับโลกได้จากบ้านของตัวเอง
* องค์กรยุคใหม่เริ่มเปลี่ยนโครงสร้างจาก “หน่วยงาน” (Departments) ไปสู่ “ภารกิจ” (Missions)
* ตัวอย่างเช่น Unilever เปิดระบบ Talent Marketplace ภายใน ให้พนักงานเลือกโปรเจกต์ที่อยากเข้าร่วม ทำให้เกิดการหมุนเวียนความรู้และการร่วมมือข้ามสายงานอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ผลที่ได้คือ องค์กรคล่องตัวขึ้น พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วม และนวัตกรรมเกิดขึ้นในทุกระดับ เพราะทุกคนรู้ว่า “งานที่ทำอยู่” เชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
====
🤖 เทคโนโลยีคือเครื่องเร่งปฏิกิริยา
* AI, Automation และ Generative Tools อย่าง ChatGPT, Midjourney หรือ Notion AI ได้ทำลายกำแพงการเริ่มต้นธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนสามารถกลายเป็น “องค์กรขนาดเล็กที่มีพลังเทคโนโลยีระดับโลก” ได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
* นักออกแบบอิสระหนึ่งคนสามารถสร้างแบรนด์ครบวงจรด้วยตัวเอง ตั้งแต่การวางแผน คิดโลโก้ สร้างเว็บ และยิงโฆษณา โดยไม่ต้องจ้างทีมงานเลยแม้แต่คนเดียว เพราะ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมที่ทำงาน 24 ชั่วโมงโดยไม่บ่น
* สิ่งนี้กำลังทำให้ “เส้นแบ่งระหว่างคนกับองค์กร” จางลง คนคนเดียวอาจสร้างผลลัพธ์ได้เทียบเท่าทีมขนาดย่อม และองค์กรต้องปรับวิธีคิดใหม่ทั้งหมด
ในโลกที่คนเดียวก็เป็นทีมได้ องค์กรจะต้องเป็นทีมที่เปิดให้คนเข้ามาแล้วรู้สึกว่ามีอิสระมากพอจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ร่วมกัน
====
💡 เมื่อองค์กรต้องเปลี่ยนจาก “นายจ้าง” เป็น “แพลตฟอร์ม”
องค์กรในอนาคตไม่ใช่สถานที่ทำงาน แต่คือระบบนิเวศที่ดึงดูดคนเก่งจากทุกที่ในโลกให้มาร่วมสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน ไม่ว่าจะในฐานะพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือพาร์ตเนอร์
สิ่งที่องค์กรต้องทำไม่ใช่การจ้าง แต่คือการ ออกแบบประสบการณ์ร่วมงาน ที่ทำให้คนเก่งอยากเข้ามาเอง
* สร้างความยืดหยุ่น (Flexibility): ให้พนักงานเลือกรูปแบบการทำงานได้เอง เช่น Remote, Hybrid หรือ Work-from-Anywhere
* ให้ความหมาย (Purpose): สื่อสารเป้าหมายใหญ่ขององค์กรอย่างจริงใจ ให้ทุกคนรู้ว่างานของตนเชื่อมโยงกับคุณค่าที่ใหญ่กว่า
* ลงทุนใน Learning OS: สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น Internal Learning Hub, AI Coach, หรือการให้คนลองผิดลองถูกโดยไม่ถูกลงโทษ
องค์กรที่เข้าใจสิ่งนี้จะไม่กลัวคำว่า “ลาออก” เพราะรู้ว่าคนเก่งอาจกลับมาในฐานะที่มีพลังมากกว่าเดิม ในบทบาทของ Advisor, Partner หรือ Project Owner ที่ช่วยให้องค์กรเติบโตยิ่งกว่าเดิม
====
🧩 สู่ยุคของ “Portfolio Career”
* คำว่า “อาชีพเดียวตลอดชีวิต” กำลังกลายเป็นอดีต คนยุคใหม่มองชีวิตการทำงานเหมือนการจัดพอร์ตลงทุน พวกเขาเลือกทำหลายสิ่งที่สอดคล้องกับตัวตน เช่น เป็นทั้งที่ปรึกษา ครูสอนออนไลน์ และนักออกแบบในเวลาเดียวกัน หรือแม้แต่นักพัฒนาแอปที่มีแบรนด์สินค้าออนไลน์ของตัวเองควบคู่ไปด้วย
* แนวโน้มนี้สะท้อนวิธีคิดแบบนักลงทุน ที่ไม่ฝากความเสี่ยงไว้ในสินทรัพย์เดียว แต่กระจายความเสี่ยงผ่านหลายช่องทางรายได้และหลายบทบาทในชีวิต เช่น บางคนอาจใช้เวลากลางวันทำงานให้บริษัทเทคโนโลยี แต่ยามเย็นกลับสอนคอร์สออนไลน์ หรือร่วมโครงการสตาร์ทอัปในฐานะที่ปรึกษา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงความสับสนในเส้นทางอาชีพ แต่คือการออกแบบชีวิตอย่างมีกลยุทธ์
* ในมุมมองทางเศรษฐกิจ “Portfolio Career” คือกลไกสร้างภูมิคุ้มกันให้คนทำงานยุคใหม่ เพราะการทำงานหลากหลายช่วยสร้างทั้งรายได้ที่มั่นคงขึ้น ประสบการณ์ข้ามสาขา และเครือข่ายที่กว้างกว่าเดิม พร้อมรับมือกับโลกที่ไม่แน่นอน ทั้งภาวะเศรษฐกิจผันผวน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
Portfolio Career ไม่ได้เป็นเพียงแนวโน้ม แต่คือระบบภูมิคุ้มกันของแรงงานยุคใหม่ ที่เปลี่ยนการทำงานให้เป็นการลงทุนในชีวิต
====
✨ ดังนั้น "ความมั่นคงใหม่ = การปรับตัวได้เสมอ"
“ความมั่นคง” ไม่ได้หมายถึงการมีงานประจำที่มั่นคงอีกต่อไป แต่มันคือความสามารถในการปรับตัวได้ในทุกสภาวะ หรือความสามารถในการเรียนรู้เร็วขึ้นจากเดิมหนึ่งเท่า และการใช้เทคโนโลยีเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู
ผู้นำองค์กรที่เข้าใจความจริงนี้ จะไม่ถามว่า “จะทำยังไงให้พนักงานอยู่กับเรานานขึ้น” แต่จะถามว่า “จะทำยังไงให้คนเก่งอยากกลับมาร่วมสร้างสิ่งใหม่กับเราอีก”
เพราะในยุคหลัง 9-to-5 การทำงานจะไม่ใช่เรื่องของเวลาอีกต่อไป แต่คือเรื่องของความหมาย ความสัมพันธ์ และการสร้างคุณค่าที่แท้จริง
====
Source: LinkedIn founder feels that 9-to-5 jobs will become a relic of the past by 2034! - The Economic Timeshttps://m.economictimes.com/magazines/panache/linkedin-founder-feels-that-9-to-5-jobs-will-become-a-relic-of-the-past-by-2034/articleshow/112022272.cms
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#FutureOfWork
#GigEconomy
#GenZ
#ReidHoffman
#9to5
#CareerStrategy
#ทักษะแห่งอนาคต
โฆษณา