Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
28 ต.ค. เวลา 09:16 • ธุรกิจ
🚀 “แก้ปัญหา” ไม่ใช่ “ทำงานแทน” = กับดักอันตรายของผู้นำที่เก่งเกินไป
ทำไม “การช่วยลูกน้อง” ที่ผิดวิธี คือการ “ทำลาย” ศักยภาพของทีม และศิลปะของการเป็น “ผู้สร้างระบบ” ไม่ใช่ “ฮีโร่ผู้โดดเดี่ยว”
====
💥 กับดักของ “ฮีโร่” ที่องค์กรไทยติดมานาน
ในโลกขององค์กรไทย เรามักเชิดชูผู้นำที่ “แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง” จนลืมไปว่าหน้าที่ของผู้นำไม่ใช่การเป็น “นักดับเพลิงมือหนึ่ง” แต่คือ “ผู้ออกแบบระบบที่ไม่ต้องเกิดไฟซ้ำ”
หัวหน้าหลายคนติดกับความคิดว่า “ลงมือเองเร็วกว่า” หรือ “ลูกทีมยังไม่พร้อม” จึงเลือกที่จะทำเองทุกครั้งที่เกิดปัญหา ผลลัพธ์คือปัญหาถูกแก้เฉพาะหน้า แต่ทีมกลับไม่แข็งแรงขึ้นเลย พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังสร้างวงจรอันตรายที่เรียกว่า “Hero Syndrome” หรือ “ผู้นำที่เก่งเกินไปจนทีมไม่สามารถเติบโตได้”
“การลงมือแทนทุกครั้ง อาจทำให้คุณแก้ปัญหาได้วันนี้ แต่ทำให้ทีมของคุณอ่อนแรงในวันหน้า”
องค์กรที่เต็มไปด้วย “หัวหน้าฮีโร่” จะมีภาพเหมือนเดิมซ้ำๆ คือ ทีมที่เหนื่อย ผู้นำที่ล้า และปัญหาที่เกิดซ้ำ เพราะเมื่อระบบขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว มันไม่อาจขยายผลได้อย่างยั่งยืน
====
📉 ต้นทุนที่มองไม่เห็นของการ “ทำงานแทนทีม”
1. ผู้นำกลายเป็นคอขวด (Bottleneck)
* เมื่อทุกอย่างต้องผ่านมือผู้นำ ทีมจะเคลื่อนช้ากว่าที่ควร ความเร็วขององค์กรถูกจำกัดด้วยพลังของคนเพียงคนเดียว และยิ่งทีมเติบโต งานยิ่งช้าลง เพราะผู้นำต้อง “อยู่ทุกที่” และ “ตอบทุกคำถาม” สุดท้ายองค์กรไม่ขยายแต่ “ยุบตัว” ด้วยแรงกดจากภายใน
2. ทีมสูญเสียทักษะ (Skill Vacuum)
* เมื่อลูกทีมรู้ว่าหัวหน้าจะมาช่วยแน่ๆ พวกเขาจะหยุดคิดเอง หยุดตัดสินใจเอง และหยุดเติบโต การช่วยมากเกินไปจึงกลายเป็นการพรากโอกาสในการเรียนรู้ของทีมโดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์คือทีมเต็มไปด้วย “คนทำได้” แต่ไม่มี “คนคิดได้”
3. ทีมขาดความเป็นเจ้าของ (Ownership Drain)
* ไม่มีใครรู้สึกภูมิใจกับผลงานที่ตัวเองไม่ได้สร้าง เมื่อหัวหน้าทำแทนจนเป็นนิสัย ทีมจะถอยออกจากความรับผิดชอบ กลายเป็นวัฒนธรรม “รอ” และ “ฝาก” ซึ่งเป็นพิษร้ายต่อองค์กรที่ต้องการขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเจ้าของร่วม
4. ความเหนื่อยล้าของผู้นำ (Leader Burnout)
* การลงไปแก้ทุกเรื่องไม่ได้แค่ทำให้ทีมอ่อนแรง แต่ยังทำให้ผู้นำหมดไฟอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขากำลังใช้พลังไปกับการแก้ปัญหาซ้ำๆ แทนที่จะใช้เวลาในการคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ หรือพัฒนาทีมให้แข็งแรงขึ้นในระยะยาว
5. สูญเสียการมองภาพใหญ่ (Lose Strategic Vision)
* ผู้นำที่ติดกับ “ปัญหารายวัน” มักไม่มีเวลาเงยหน้ามองอนาคต การหมุนอยู่กับงานปฏิบัติแทนทีม ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้จัดการปัญหา” ไม่ใช่ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง”
====
🧭 หลักคิดจาก Andy Grove: ผู้นำที่ดีคือผู้สร้างผลลัพธ์ผ่านคนอื่น
Andy Grove อดีต CEO ของ Intel เคยกล่าวไว้ในหนังสือคลาสสิก High Output Management ว่า
“ผลลัพธ์ของผู้จัดการ = ผลลัพธ์ของทีม + ผลลัพธ์ขององค์กรที่เขามีอิทธิพล”
นั่นหมายความว่า หากผู้นำยังต้องลงไปทำทุกอย่างด้วยตัวเอง คุณไม่ได้เพิ่มผลลัพธ์ แต่กำลังแย่งพื้นที่ของทีมในการสร้างคุณค่า องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยผู้นำแบบนี้จึงเติบโตได้เพียงระดับบุคคล ไม่ใช่ระดับระบบ
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนที่ลงมือทำทุกอย่างได้ แต่คือคนที่ “สร้างระบบที่ทุกคนทำงานได้โดยไม่ต้องรอเขา” ความสามารถที่แท้จริงของผู้นำจึงไม่ใช่การควบคุม แต่คือการ “ปล่อย” อย่างมีกลยุทธ์
====
🔧 กลยุทธ์ของ “ผู้นำผู้สร้างระบบ”?
1. เป็นโค้ช ไม่ใช่ผู้เล่น (Coach, Don’t Play)
* หน้าที่ของผู้นำไม่ใช่ตอบทุกคำถาม แต่คือ “ตั้งคำถามที่ถูกต้อง” เช่น แทนที่จะพูดว่า “ทำแบบนี้สิ” ให้ถามว่า “คุณคิดว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร?” หรือ “ถ้าเลือกแนวทางนี้จะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?” การตั้งคำถามดีๆ คือการเปิดพื้นที่ให้ทีมได้คิด วิเคราะห์ และเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสำคัญกว่าการได้รับคำตอบสำเร็จรูป
2. เป็นผู้กำจัดอุปสรรค ไม่ใช่ผู้ทำงานแทน (Remove Blockers, Don’t Replace)
* หน้าที่ของผู้นำคือ “เปิดทางให้ทีมทำงานได้ง่ายขึ้น” ไม่ใช่ “แย่งทำงานแทนทีม” เช่น หากทีมติดปัญหาข้ามฝ่าย คุณควรเข้าไปช่วยประสานให้เกิดความร่วมมือ ไม่ใช่ดึงงานกลับมาทำเอง เพราะการแก้แทนคือการย้ำว่าทีมยังไม่พร้อม ทั้งที่หน้าที่ของคุณคือทำให้พวกเขาพร้อม
3. สร้างระบบ ไม่ใช่เป็นระบบ (Build the System, Don’t Be the System)
* หากคุณต้องแก้ปัญหาเดิมซ้ำๆ ทุกเดือน แสดงว่าระบบของคุณพังแล้ว จงใช้เวลาสร้าง “Playbook” และ “Process Improvement” เพื่อให้ทีมสามารถจัดการได้เองในครั้งต่อไป ระบบที่ดีจะทำให้ผู้นำมีเวลา “มองอนาคต” มากกว่าการ “ดับไฟปัจจุบัน”
4. ลงทุนในการพัฒนา ไม่ใช่ควบคุม (Develop, Don’t Dominate)
* การให้คำปรึกษา การอบรม หรือแม้แต่การเปิดโอกาสให้ทีมไปเรียนรู้จากองค์กรอื่น คือการสร้างทุนมนุษย์ระยะยาว ผู้นำที่ดีรู้ว่า “ความรู้” ที่ทีมได้รับกลับมาจะคูณกำลังองค์กรหลายเท่าในอนาคต
5. วัดผลด้วย “การเติบโตของทีม” ไม่ใช่ “ความเก่งของหัวหน้า”
* ถ้าทีมของคุณยังทำอะไรไม่ได้เลยในวันที่คุณไม่อยู่ แปลว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงยังไม่เกิด ผู้นำที่แท้จริงจะรู้สึกภูมิใจเมื่อทีมทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งเขา เพราะนั่นคือหลักฐานของการสร้างระบบที่ยั่งยืนจริงๆ
====
🌱 การเติบโตของทีม = การปล่อยให้ลองผิด (Learn by Doing)
ทีมที่เก่งไม่ได้เกิดจากการทำถูกตั้งแต่แรก แต่เกิดจากการ “ได้ลองผิด” แล้วเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ผู้นำที่เข้าใจเรื่องนี้จะไม่รีบเข้าไปแก้ แต่จะให้ทีมได้สะท้อนสิ่งที่เรียนรู้เอง เพราะสิ่งที่เกิดจากการคิดด้วยตัวเองจะติดอยู่ในระบบนานกว่าการถูกสอน
เหมือนต้นไม้ที่ต้องเผชิญแดดฝนเองถึงจะยืนได้ ทีมก็ต้องผ่านกระบวนการเจ็บปวดของการลองผิดเช่นกัน เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในระยะยาว
“คุณจะไม่มีวันรู้ว่าทีมคุณเก่งแค่ไหน ถ้าคุณไม่ยอมถอยออกมาสักก้าว”
====
✨ เป้าหมายสูงสุดของผู้นำ คือการทำให้ตัวเอง ‘ไม่จำเป็น’
ความสำเร็จของผู้นำไม่ได้วัดในวันที่คุณกอบกู้สถานการณ์ได้เร็วที่สุด แต่วัดในวันที่คุณไม่อยู่ แล้วทีมยังคงขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจและมีระบบที่แข็งแรง นั่นคือวันที่คุณได้ทำหน้าที่ “ผู้นำที่แท้จริง” แล้ว
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนที่องค์กรขาดไม่ได้ แต่คือคนที่องค์กรยังเติบโตได้แม้ไม่มีเขา เพราะสิ่งที่เขาทิ้งไว้คือ “วัฒนธรรมของความรับผิดชอบ ความเชื่อใจ และความเป็นเจ้าของร่วม” ที่จะอยู่ต่อไปแม้เวลาผ่านไป
“หยุดเป็นฮีโร่ที่ทีมต้องการในวันนี้ แล้วเริ่มเป็นสถาปนิกที่ทีมจะขอบคุณในวันพรุ่งนี้”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #Leadership #Management #HighOutputManagement #Empowerment #Coaching #ภาวะผู้นำ #วัฒนธรรมองค์กร
การทำงาน
hr
hrthailand
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย