30 ต.ค. เวลา 15:15 • ธุรกิจ

🌊 “น้ำดี ปลาย่อมโต”

ทำไมการ “คัดคน” คือกลยุทธ์ที่สำคัญไม่แพ้ “กระบวนการ”
เมื่อ “คน” คือคำตอบสุดท้ายของทุกปัญหา และบทเรียนจากองค์กรระดับโลกที่พิสูจน์แล้วว่า “คนเก่งจริง” คือระบบที่ดีที่สุด
====
💥 กับดักของ “ระบบ” และ “กระบวนการ”
ในยุคที่ทุกองค์กรต่างเร่งลงทุนในเทคโนโลยี ระบบ และเครื่องมือบริหารที่ล้ำสมัย คำถามสำคัญคือ “ใครกันแน่ที่เป็นคนใช้เครื่องมือเหล่านั้น?” เพราะไม่ว่าระบบจะดีเพียงใด หากคนที่ใช้ไม่มีความเข้าใจหรือขาดความรับผิดชอบ ระบบนั้นก็ไร้ค่า
Peter Drucker เคยกล่าวไว้ว่า “Culture eats strategy for breakfast.” หมายความว่าไม่ว่ากลยุทธ์จะยอดเยี่ยมเพียงใด หากไม่มี “คน” ที่เหมาะสมและวัฒนธรรมที่ดีรองรับ ทุกอย่างก็ล้มเหลวได้ง่ายดาย
องค์กรระดับโลกอย่าง Netflix, Amazon, Toyota, และ Google ล้วนยืนยันในสิ่งเดียวกัน  “ระบบที่ดี” ไม่ได้เกิดจากเอกสารคู่มือหรือกระบวนการที่ซับซ้อน แต่เกิดจาก “คนดี” ที่เข้าใจเป้าหมายขององค์กร และมีวินัยในการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
Netflix กล่าวในเอกสาร Netflix Culture Deck ที่โด่งดังทั่วโลกว่า
“We don’t have rules. We have great people.” แปลว่า ถ้าคุณคัดเลือกคนที่ดีพอ คุณไม่จำเป็นต้องสร้างกฎมากมาย เพราะคนดีจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้สิ่งที่ถูกต้องเกิดขึ้นเอง
องค์กรที่ประสบความสำเร็จยั่งยืน ไม่ได้ชนะเพราะมีกฎมากกว่า แต่เพราะ “เลือกคนได้แม่นกว่า” และ “สร้างสภาพแวดล้อมที่คนดีอยากอยู่” มากกว่า
====
🎯 “คนที่ใช่” ในยุคใหม่ = เกินกว่าแค่ Hard Skills
ในยุคดิจิทัลที่ AI สามารถเขียนโค้ดแทนคนได้ภายในไม่กี่วินาที “ความรู้” จึงไม่ใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไป แต่สิ่งที่ยังคงหายากที่สุดคือ “มนุษย์ที่เข้าใจมนุษย์”
องค์กรระดับโลกอย่าง Google เคยศึกษาความลับของทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโครงการ Project Aristotle ผลปรากฏว่า “ทักษะเทคนิค” ไม่ได้มีผลต่อความสำเร็จมากเท่าปัจจัย 5 ประการนี้
1. Psychological Safety – ทีมกล้าที่จะพูด กล้าที่จะผิด
2. Dependability – สมาชิกในทีมเชื่อถือกันได้
3. Structure & Clarity – ทุกคนรู้บทบาทและเป้าหมายชัดเจน
4. Meaning – งานที่ทำมีคุณค่าในสายตาผู้ทำ
5. Impact – ทีมเห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่ตนทำอย่างชัดเจน
“คนที่ใช่ ไม่ใช่คนเก่งที่สุดในห้อง แต่คือคนที่ทำให้คนอื่นเก่งขึ้นได้”
องค์กรอย่าง Unilever, Salesforce และ IBM ต่างเน้น Soft Skills มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะ “Empathy”, “Adaptability” และ “Collaborative Communication” เพราะนี่คือทักษะที่เครื่องจักรยังแทนไม่ได้ และคือกาวที่เชื่อมทีมให้เดินไปข้างหน้าได้พร้อมกัน
====
🗣️ ศิลปะแห่ง “การสื่อสาร” ที่องค์กรระดับโลกให้ความสำคัญ
“กลยุทธ์ล้มเหลวไม่เท่ากับการสื่อสารที่ล้มเหลว”
ในหลายองค์กร ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างทีมมักเป็นต้นเหตุของความสูญเสียมหาศาล ตัวอย่างจากผู้นำระดับโลกชี้ชัดว่า “การสื่อสารที่ดี” คือทักษะที่องค์กรต้องลงทุนมากที่สุด
1️⃣ Amazon — “Customer Obsession” เริ่มจากการถามให้ถูก
* Amazon ใช้ระบบประชุมแบบ Narrative Writing แทนการใช้ PowerPoint โดยให้ทุกคนอ่านเอกสาร 6 หน้าพร้อมกันในช่วงต้นของการประชุม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจบริบทเดียวกันก่อนถกเถียง
* ผลคือการสื่อสารภายในมีความแม่นยำและอคติลดลงอย่างมหาศาล
2️⃣ Toyota — “Genchi Genbutsu” หรือ “ไปดูของจริง”
* แนวคิดนี้หมายถึงการที่ผู้นำต้องลงพื้นที่เพื่อสัมผัสปัญหาจริงด้วยตา ไม่ใช่ตัดสินใจจากรายงานบนโต๊ะ
* ความเข้าใจเชิงลึกจากการเห็นของจริง ช่วยให้ทีมพูดภาษาเดียวกัน และสร้างความไว้วางใจในระบบการทำงานแบบ Lean ได้จริง
3️⃣ Microsoft — “Empathy is Innovation”
* เมื่อ Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO เขาเปลี่ยนวัฒนธรรมของ Microsoft จาก “Know-it-all” เป็น “Learn-it-all” การสื่อสารเปลี่ยนจากการสั่งงาน เป็นการฟังและตั้งคำถาม จนทำให้ Microsoft กลับมาเป็นบริษัทที่สร้างนวัตกรรมได้อีกครั้ง และมีมูลค่าตลาดเพิ่มกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงทศวรรษ
“Empathy makes you a better innovator.” — Satya Nadella, Hit Refresh (2017)
====
🧭 A-Player Communication = “พูดให้น้อย แต่ตรงจุด เชื่อมโยงด้วยใจ”
คนที่องค์กรชั้นนำต้องการไม่ใช่แค่คนที่ “พูดเก่ง” แต่คือคนที่ “เชื่อมโยงได้” เชื่อมข้อมูลกับอารมณ์ เชื่อมตรรกะกับความเข้าใจ และเชื่อมทีมให้เห็นเป้าหมายเดียวกัน
1. Active Listening: ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อรอโต้แย้ง คนที่ฟังอย่างตั้งใจจะได้ข้อมูลมากกว่า และสร้างความไว้วางใจได้เร็วกว่า
2. Storytelling with Data: Sheryl Sandberg (อดีต COO ของ Meta) เคยกล่าวว่า “Data wins arguments, stories win hearts.” เรื่องเล่าที่ดีต้องมีข้อมูลสนับสนุน และข้อมูลที่ดีต้องเล่าให้คนฟังรู้สึกได้
3. Empathetic Communication: ผู้นำในองค์กรอย่าง Google หรือ Salesforce มักฝึกทีมให้ใช้ “ภาษาที่เข้าใจคนอื่นก่อนเข้าใจตัวเอง” เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่การแข่งขัน
====
🌱 ปลูกใน “น้ำดี” ให้เติบโตในยุค AI
ในวันที่ AI สามารถสร้างระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่สื่อสารเบื้องต้นแทนคนได้ สิ่งที่เทคโนโลยียังทำไม่ได้คือ “เข้าใจความรู้สึก” และ “ตัดสินใจด้วยจริยธรรม”
องค์กรระดับโลกอย่าง Unilever, Salesforce, และ Microsoft ลงทุนสร้างโครงการฝึกอบรมด้าน Emotional Intelligence และ Wellbeing เพื่อเสริม “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้พนักงาน เพราะพวกเขารู้ว่า AI อาจทำให้งานเร็วขึ้น แต่ “คนดี” เท่านั้นที่ทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน
สุดท้าย การคัดเลือกคนในยุคนี้ ไม่ได้แข่งกันที่ใครเก่งกว่า แต่แข่งกันที่ใครเข้าใจคนอื่นได้ลึกกว่า
====
✨ “น้ำดี” ไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เกิดจากผู้นำที่กล้าตัดสินใจ
ผู้นำที่กล้าปฏิเสธ “คนเก่งแต่ไม่ใช่” คือผู้นำที่ปกป้องอนาคตองค์กรในระยะยาว เพราะคนที่ “ใช่” เพียงไม่กี่คน สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าคนที่เก่งแต่วัฒนธรรมไม่ตรงนับร้อย
“Hire for attitude, train for skill.” — Herb Kelleher, ผู้ก่อตั้ง Southwest Airlines
เพราะ “น้ำดี” ไม่ได้เกิดจากการพูดว่าอยากได้ แต่เกิดจาก “การลงมือคัดเลือก” และ “การไม่ประนีประนอมกับคุณภาพของคน” หากผู้นำเริ่มต้นจากน้ำที่ดี ไม่ว่าปลาจะเล็กเพียงใด... วันหนึ่งมันจะโตได้อย่างสง่างามในบ่อที่ใสสะอาด
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Leadership
#TalentManagement
#SoftSkills
#CorporateCulture
#PeopleStrategy
#AIandHumanity
โฆษณา