* SMA (Simple Moving Average): คำนวณแบบง่าย ๆ โดยให้น้ำหนักทุกแท่งเทียนเท่ากัน
* EMA (Exponential Moving Average): ให้น้ำหนักกับราคาแท่งเทียนที่อยู่ใกล้ปัจจุบัน มากกว่า ทำให้ EMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้เร็วกว่า SMA (เทรดเดอร์ 1% มักใช้ EMA มากกว่า)
2️⃣ การใช้ MA เป็น 'เข็มทิศ' (The Direction Finder)
✅ 1. ยืนยันเทรนด์ (Trend Confirmation)
* หลักการง่าย ๆ: ถ้าเส้น MA ชี้ขึ้น และราคาวิ่งอยู่ เหนือเส้น MA แปลว่า Uptrend (ขาขึ้น) กำลังดำเนินอยู่
* หลักการง่าย ๆ: ถ้าเส้น MA ชี้ลง และราคาวิ่งอยู่ ใต้เส้น MA แปลว่า Downtrend (ขาลง) กำลังดำเนินอยู่
✅ 2. MA เป็นแนวรับ-แนวต้านแบบ Dynamic
* ในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ที่แข็งแกร่ง (Trend Market) เส้น MA มักจะทำหน้าที่เป็น แนวรับ/แนวต้านที่เคลื่อนที่ได้ (Dynamic S&R)
* กลยุทธ์ 1%: ในขาขึ้น ให้รอ 'ซื้อ' เมื่อราคาย่อตัวลงมาแตะที่เส้น MA (เช่น EMA 20, 50 หรือ 200) แล้วเกิด สัญญาณแท่งเทียนกลับตัว (ทบทวนบทที่ 13) ก่อนจะเด้งกลับขึ้นไปตามเทรนด์
3️⃣ The GhostAlpha Setup: MA ตัวไหนที่ควรใช้?
ไม่มีตัวเลข MA ใดที่ดีที่สุด แต่เทรดเดอร์มืออาชีพมักใช้ชุดตัวเลขต่อไปนี้เพื่อดูภาพรวมของตลาด:
* MA 20 หรือ 21 (Short-Term): ใช้สำหรับ Day Trade หรือ Scalping เพื่อดูเทรนด์ระยะสั้น
* MA 50 (Mid-Term): ใช้ดูเทรนด์หลักของสัปดาห์ หรือใช้เป็นแนวรับ/แนวต้านในการเข้าทำกำไร
* MA 200 (Long-Term): สำคัญที่สุด! ใช้เป็นตัวกรองสัญญาณหลัก หากราคาอยู่เหนือ MA 200 เราจะ โฟกัสแค่การ Buy เท่านั้น หากราคาอยู่ใต้ MA 200 เราจะ โฟกัสแค่การ Sell เท่านั้น
💀🔥❌ ข้อห้าม! อย่าใช้ MA เยอะเกินไป:
การใส่ MA เข้าไปหลายสิบเส้นจะทำให้กราฟของคุณดูรกและสับสน เลือกใช้เพียง 2-3 เส้นที่ตอบโจทย์การวิเคราะห์ของคุณก็พอครับ!