24 พ.ย. เวลา 14:00 • ข่าวรอบโลก
สหรัฐอเมริกา

สันติภาพ 28 ข้อ...กับรูปแบบการฆ่าตัวตายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น!

เราพูดกันเสมอว่าสันติภาพคือการแสวงหาสูงสุดของมนุษยชาติ บัดนี้ ชาวอเมริกันได้บังคับให้ยูเครนลงนามในสิ่งที่เรียกว่า
"ข้อตกลงสันติภาพ 28 ข้อ" ส่วนใครที่อยากทราบว่าแต่ล่ะข้อกล่าวถึงอะไรกันบ้าง ต้องไปอ่านและตีความกันเอาเองนะครับ เพราะเด๋วผมจะตีความแบบแปลกๆซะนี่....ฮาาา
1
โดยอ้างว่าทั้งหมดเป็นการยุติสงคราม แต่หากพิจารณาให้ดี หมึกของสันติภาพนี้มีกลิ่นของไซยาไนด์ทางการเมืองที่เข้มข้นสูงกันเลยทีเดียว
สำหรับ 28 ข้อนี้... เฮ้ออออ สำหรับทรัมป์นี่มันมากเกินไปจริงๆ และการประนีประนอมคงไม่ได้ผลดีนักหรอก
ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้ว ข้อตกลงความมั่นคงบูดาเปสต์ในตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก สนธิสัญญาต่างๆ ล้วนมีไว้เพื่อฉีกทิ้งงั้นหรือ?
หาก ข้อตกลงความมั่นคง 28 รายการนี้ได้รับการลงนามจริง ก็จะมีประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย และความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ที่เกิดจากการแข่งขันทางอาวุธก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลักและเหตุผลสำคัญของข้อตกลงนี้คือปรัชญา "เพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่คนชั่วร้าย ท้ายที่สุดแล้ว ย่อมต้องทำอะไรบางอย่างที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า"
ข้อตกลงนี้เป็นการประกาศจุดจบของยุคหลังสงครามเย็น ไม่ใช่ด้วยขีปนาวุธ แต่ด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง
ด้วยกระดาษแผ่นนี้มันก็ได้บอกความจริงง่ายๆ แก่โลกว่า "อำนาจอธิปไตยของท่านเป็นเพียงคูปองลดราคา เมื่อวันหมดอายุสิ้นสุดลง ก็เป็นโมฆะ"
“ระเบียบระหว่างประเทศ” และ “การป้องกันร่วมกัน” ในอดีต บัดนี้ดูเหมือนเป็นเพียง “ถุงยางอนามัยสำหรับการเมืองชั้นสูง” ซึ่งก็ดูจะสบายใจอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็ย่อมนำไปสู่ปัญหาเดิมๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะรูเล็กๆ ที่เรียกว่า “สันติภาพ” ได้เจาะรอบๆถุงยางอนามัยแพคนี้แล้ว
รูหนึ่ง เจาะไปที่ร่มแห่งความมั่นคง และพันธมิตรก็เริ่มจมน้ำท่วม..
ก่อนหน้านี้ ทั้งโลกต่างเชื่อใน “ร่มแห่งความมั่นคง” ของอเมริกา บัดนี้ ร่มกำลังรั่ว และรอยรั่วนั้นอยู่ตรงจุดวิกฤตนั้นที่สุด กล่าวคือ ....
หากพูด...เกี่ยวกับคำสัญญา คำสัญญาของอเมริกาตอนนี้มีค่าแค่ส่วนลดเท่านั้น
โปแลนด์และประเทศแถบบอลติกกำลังสั่นคลอน ภายในประเทศพวกเขากำลังยึดถือมาตรา 5 ของสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (การป้องกันร่วมกัน) ทั้งหมดเหลือไว้เพียงแสงส่องจากตะเกียง หรือด้วยถ้อยคำสัญญานี้ถูกชุบทอง ?
พวกเขาเริ่มสงสัยแล้วว่า หากดินแดนยูเครนสามารถถูกกำจัดได้เหมือนกล้วยเน่าที่ถูกลดราคาในตลาด แล้วพรมแดนของเขาจะเป็นแค่กระดาษชำระที่สามารถฉีกได้ทุกเมื่อหรือไม่?
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าการรับประกันความปลอดภัยของอเมริกาก็เปรียบเสมือนคำสัญญาของสามีผู้ทำร้ายคุณที่ว่า
"ตราบใดที่คุณเชื่อฟัง ฉันจะรักคุณตลอดไป" ซึ่งฟังดูดี แต่การตีความมักจะขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายเสมอ
1
มาที่..... การตื่นรู้ของเอเชียกันบ้าง สุดท้ายมันจะนำไปสู่การป้องกันตัวเอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนของความด้อยกว่าทางการเมือง
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เด็กๆ ที่เชื่อฟังซึ่งก่อนหน้านี้ได้แต่จ่ายเงินและปรบมือให้ ตอนนี้มือของพวกเขาก็ถูกเผาไหม้ด้วยหมึกของข้อตกลง
ปรัชญาเดิมของพวกเขาคือ "เมื่อมีพ่ออยู่ด้วย จะกลัวอะไรล่ะ" ปรัชญาปัจจุบันของพวกเขาคือ
"พ่อมีบุคลิกแบบที่เน้นการทำธุรกรรม เขาไว้ใจได้สินะ"
คุณจะเห็นว่าชาวเกาหลีใต้เร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขากำลังคิดว่า "แทนที่จะเชื่อในเงาของบันทึกข้อตกลงบูดาเปสต์ งั้น....ฉันขอเชื่อในพลูโตเนียมที่ฉันมีดีกว่า"
เพราะอาวุธนิวเคลียร์และ "ปมด้อยทางการเมือง" เป็นคู่ที่ลงตัว
เรื่องตลกร้าย ในรูที่สอง การป้องปราม? ก่อนหน้านี้เขาเชื่อในการป้องปราม บัดนี้ คำว่า "การป้องปราม" เช่นเดียวกับคำว่า "สุภาพบุรุษ" เต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่มืดมนไปไหม?
ตำราเรียนรัสเซียได้เขียนไว้ว่า เหล่าร้ายต่างมีวัฒนธรรม น่าความสะพรึงกลัว และทำกำไร ...เหมือนกับว่ารัสเซียกำลังรวบรวม "คู่มือ(บรรทัดฐาน)พฤติกรรมทางภูมิรัฐศาสตร์" สำหรับเหล่าร้ายทั่วโลก
ในกฎข้อแรกระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมด้วยกำลังไม่เพียงแต่ไม่ผิด แต่ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการยึดครองดินแดนและทุนทางการเมือง ตราบใดที่คุณยังคงยืนหยัด ย่อมมีคนต้องจ่ายราคาเสมอ"
จากที่ผ่านมา....พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าตราบใดที่คุณเป็นคนโกงมากพอและอดทนมากพอ "สันติภาพ" จะเข้ามาคลี่คลายปัญหาของคุณ
ส่วน...ในแนวทางการเลียนแบบของจีนก็ได้กล่าวถึง บทเรียนที่สมบูรณ์แบบสำหรับปฏิบัติการช่องแคบไต้หวัน
เมื่อเห็นข้อตกลงนี้ ปักกิ่งคงคิดว่า "ช่างเป็นแบบอย่างที่ดี! ไม่จำเป็นต้องเขียนบทใหม่" ฮาาาาาา....
หากสหรัฐฯ สามารถใช้ดินแดนยูเครนเป็นเครื่องต่อรองเพื่อ "หน้าตา" พวกเขาจะโยนอะไรลงไปในช่องแคบไต้หวันได้บ้างล่ะ?
บางทีอาจเป็น "ความคลุมเครือเชิงกลยุทธ์"
บางทีอาจเป็น "ความร่วมมือทางเทคนิค"
หรือแม้แต่ "การโอบกอดสันติภาพอันน่าอับอายในแปซิฟิก"
แต่ขอบอก...เรื่องนี้จะสอนบทเรียนที่ตลกขบขันให้กับชาวไต้หวัน นั่นคือ ชะตากรรมของคุณอยู่ในมือของคนที่คุณไว้ใจน้อยที่สุดเสมอ
รูที่สาม เมื่อโลกเริ่มต้น "การร่วมมือ" ทุกคน(ทุกรัฐบาล)ก็อยากเป็นคนเลว ....
ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น...เอาล่ะๆๆๆ หลังจากลงนามในข้อตกลง ระเบียบโลกก็เข้าสู่โหมด "ทุกคนตกอยู่ในอันตราย" อย่างแท้จริง..
"ทุกคนตกอยู่ในอันตราย" จากการร่วมมือในการควบคุมอาวุธ เรามาเริ่มกันที่การพิมพ์เงินเพื่อซื้อกระสุนกันก่อน(ปลอดภัยกว่า)
เยอรมนี ญี่ปุ่น และโปแลนด์ ต่างเริ่มทุ่มเงินให้กับบริษัทอุตสาหกรรมการทหาร ซึ่งมันคล้ายคลึงกับการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย
1
พวกเขาขาดความมั่นใจในอนาคต พวกเขาต้องรีบเปลี่ยนเงินให้เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้และรักษามูลค่าไว้ได้ (เช่น รถถังและขีปนาวุธ)
พวกเขาไม่ต้องพึ่งพา "หน่วยรักษาความปลอดภัยระยะไกล ของอเมริกา"อีกต่อไป และเริ่มซื้อ "ประกันภัย" ของตัวเอง
พวกเขาเคยเป็น "คนที่มีอารยธรรม" แต่ตอนนี้พวกเขาก็ต้องเข้าใจแล้วว่า ในป่าศิลาแห่งอารยธรรม(บางครั้ง)ต้องถูกจารึกไว้ด้วยคมกระสุนปืน
ข้อต่อมา ...ศักดิ์ศรีสุดท้ายและการไถ่บาปตนเอง เมื่อ"ทุกคนตกอยู่ในอันตราย" จะเริ่มการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์
ทั่วโลกต่างรู้ดีว่าระบบการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) บัดนี้เป็นเพียงเศษผ้าขาดรุ่งริ่งที่ถูกแขวนไว้ในพิพิธภัณฑ์
ชาวเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และแม้แต่บางประเทศในตะวันออกกลาง กำลังพิจารณาคำถามเชิงปรัชญาอย่างจริงจังว่า
"ทำไมพวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์(วะ) แต่ฉันไม่มี? เราควรมีอาวุธนิวเคลียร์ไหม? และเราควรมีกี่ตัน?"
1
หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะไม่กลัวการคว่ำบาตรระหว่างประเทศอีกต่อไป เพราะพวกเขาค้นพบว่าไอ้บ้าที่มีอาวุธนิวเคลียร์นั้นปลอดภัยกว่าสุภาพบุรุษที่เคารพกฎ
สุดท้ายการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็น "ศักดิ์ศรีสุดท้ายและเส้นแดง" สำหรับระบอบการปกครองต่างๆ บนเวทีระหว่างประเทศในที่สุด
รูที่สี่ ทุกการกระทำย่อมมีราคา
สำหรับประชาชนธรรมดาภายใต้ข้อตกลงสันติภาพ คุณอาจถามว่า เกมภูมิรัฐศาสตร์ที่เหล่าผู้มีอำนาจเล่นนั้นเกี่ยวอะไรกับผม
คนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องเบียดเสียดกันรับของบริจาคน้ำท่วม เร่งรีบกันขึ้นทางด่วน ขึ้นรถไฟใต้ดินบนดินทุกวันและจ่ายค่าจำนองบ้าน?
มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ???
เกี่ยวสิครับ มันเกี่ยวกับการลดค่าใช้จ่ายในกระเป๋าเงินของคุณไง???
ยังไง??? ใน“การปกป้องตนเอง” และ “การใช้จ่ายทางทหารที่เพิ่มขึ้น” ในปากของนักการเมือง จะกลายเป็นตัวเลขที่หนาขึ้นในบิลภาษีของคุณในที่สุด
ในชาวยุโรป ในอดีต พวกเขามอบเงินให้สหรัฐอเมริกาในฐานะ “เงินค่าคุ้มครอง”
บัดนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป เงินยังคงต้องจ่าย แต่ “ค่าธรรมเนียมความปลอดภัย” ที่ต้องมอบให้รัฐบาลของคุณเอง
ด้วยส่วนแบ่งที่มากขึ้นจากทุกๆ ร้อยดอลลาร์ในกระเป๋าของคุณจะกลายเป็นตัวทำลายรถถังจากค่าธรรมเนียมนี้...
มาที่ชาวเอเชียอย่างเราๆกันบ้าง หากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ การแข่งขันด้านอาวุธจะมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
เงินบำนาญ ประกันชีวิต และประกันสุขภาพจากสปสช.ของคุณจะถูกกันไว้เพิ่มหรือไม่ล่ะ? ขออภัย พวกเขาจะต้องยอมให้วาระระดับโลกมาก่อนอย่างแน่นอน...
1
เมื่อพูดถึงอาหารของคุณ...เนื้อวัวและก๊าซธรรมชาติ แน่นอน...เมื่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเริ่มมีการปรับโครงสร้างโดยอิงจาก
“ความภักดีต่อพันธมิตร” แทนที่จะเป็น “ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ” ทุกสิ่งที่คุณซื้อจะมีราคาแพงขึ้นและ “ไม่จำเป็นต้องปลอดภัย”
ต่อมา คือ ความตื่นตระหนกด้านพลังงาน ความเสี่ยงของความขัดแย้งในภูมิภาคกำลังเพิ่มสูงขึ้น และอำนาจในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันทั่วโลกกลับกระจุกตัวอยู่ในมือของ "ไอ้บ้า" เพียงไม่กี่คน
ค่าใช้จ่ายด้านความร้อนในฤดูหนาว ค่าไฟฟ้าค่าแอร์ในฤดูร้อนของคุณจะถูกกำหนดโดยการดำเนินการเล็กๆ น้อยๆ ในยุโรปตะวันออกเกือบจะในทันที
ดังนั้นเราจึงเริ่มเข้าหา การ "ลดความเสี่ยง" ของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รัฐบาลในที่ต่างๆกำลังเริ่มกำหนดให้บริษัทต่างๆ ย้ายสายการผลิตกลับบ้าน
โดยเรียกสิ่งนี้ว่า "ความปลอดภัย"
แต่สำหรับคุณ
นี่หมายถึง "การแข่งขันที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น" สินค้าที่เคยราคา 100 บาท ตอนนี้ราคา 150 บาท เงิน 50 ที่เพิ่มขึ้นมานั้นคือเงินพิเศษที่คุณต้องจ่ายสำหรับ "ความไม่ไว้วางใจทางการเมือง"
จนกระทั่งคุณเริ่ม ....ไม่มั่นคงทางจิตวิทยา ก่อนหน้านี้ ความไม่มั่นคงเป็นเพียงแนวคิดเชิงปรัชญา แต่ตอนนี้มันจะกลายเป็นอารมณ์ที่คุ้นเคยในชีวิต
1
คุณเปิดข่าวและเห็นประเทศต่างๆ "เร่งวิจัยและพัฒนา" และ "ถอนตัวจากสนธิสัญญา" แทนที่จะเป็น "การเจรจาอย่างสันติ"
ก่อนนอนทุกคืน คุณอาจคิดว่า "พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ออกไปทำงานที่เรารัก " จะเปลี่ยนเป็น "บริษัทของที่ไหนสักแห่งจะถูกปิดกิจการอีกไหม"
การทำให้ความกลัวกลายเป็นเรื่องปกติ
เช่นนี้เปรียบเสมือนยานอนหลับทางจิตวิทยาที่นักการเมืองจ่ายให้คนทั่วไป ผลข้างเคียงคือ คุณจะค่อยๆ ชินกับมันและคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
นั่นคือความย้อนแย้งที่สุด
สุดท้าย ท้ายสุด.... คุณจะพบกับความผิดหวังอย่างสิ้นเชิงกับ "ความน่าเชื่อถือ"
ด้วยชาวอเมริกันคิดว่าพวกเขาแก้ปัญหาได้ด้วยข้อตกลงสันติภาพ แต่ที่จริงแล้วพวกเขากลับสร้างปัญหามากกว่านั้น
พวกเขาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจ แต่ไม่ใช่พันธมิตรที่น่าเชื่อถือ
พวกเขาทำลาย "ความน่าเชื่อถือ" ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยมือของพวกเขาเอง
1
การลงนามในข้อตกลง 28 ข้อนี้สะท้อนถึงความงงงวยทั่วโลกต่อศีลธรรมและความไว้วางใจ นับจากนี้ไป ประเทศต่างๆ จะใช้ชีวิตแบบ "ปฏิบัตินิยม" "ฉลาดหลักแหลม" และ "เกมโกง" มากขึ้น
1
นี่ไม่ใช่โลกที่สงบสุขมากขึ้น หากแต่เป็นโลกที่ "เปลือยเปล่าและไม่โอ้อวด" มากขึ้น
จนตอนนี้ทุกคนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่(สันดาน)อยากจะเป็น
1
แต่ลองคิดดูดีๆ หากการประนีประนอมนี่กลายเป็นนโยบายหลัก การแข่งขันด้านอาวุธอาจจะได้เริ่มต้นขึ้น
แล้ว ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จะต้องพัฒนาอาวุธและขีดความสามารถทางทหารของตนอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่ประเทศเหล่านี้จะมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง
โฆษณา