6 ธ.ค. เวลา 03:36 • หนังสือ

#5 RomHW — บทที่ 1️⃣ โลกและระบบสุริยะของเรา : ระบบสุริยะของเรา

▪️ผู้แปล : คุณ♾️อุดม
...
...
...
#OurSolarSystem
#ระบบสุริยะของเรา
Like the Earth, our solar system consists of only one central star. While this is not true of all solar systems, we share this foundational similarity with your own system. Our solar system, perhaps more appropriately called our “Sha-lar” system, is comprised of 7 planets. As with your own, our planet of Essassani is the 3rd planet from our central star. As I mentioned, in our ancient language our sun was called “Sha.”
เช่นเดียวกับโลก ระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดาวฤกษ์หลักเพียงดวงเดียว แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่เป็นจริงสำหรับระบบสุริยะทั้งหมด★ แต่เรามีความคล้ายคลึงพื้นฐานนี้ร่วมกับระบบของคุณ ระบบสุริยะของเรา ซึ่งอาจเรียกให้เหมาะสมกว่าว่าระบบ “ชา-ลาร์” (Sha-lar) ประกอบด้วยดาวเคราะห์ 7 ดวง และเช่นเดียวกับของคุณ ดาวเคราะห์ เอสแสสซานี่ (Essassani) ของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 จากดาวฤกษ์หลักของเรา อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ในภาษาโบราณของเราดวงอาทิตย์ของเราถูกเรียกว่า “ชา (Sha)”
[★ตรงนี้หมายถึง บางระบบสุริยะก็จะเป็นระบบดาวกลางคู่ที่มีดวงอาทิตย์ 2 ดวงเป็นศูนย์กลางครับ –ผู้แปล]
The first 4 planets are what you call terrestrial or rocky planets and the last three are what you refer to in your own solar system as Jovian planets or gas giants. The first planet, which is the smallest in our system and has no moon, is called Sio.
The second planet is slightly larger than Sio, though slightly smaller than our own planet, and is named Chenki, and has 2 moons. Our planet of Essassani is the third planet and has no natural moons of its own. The 4th planet is called Peth and has 5 moons. Peth is also our ancient word for the number 4.
ดาวเคราะห์ 4 ดวงแรก เป็นสิ่งที่คุณเรียกว่าดาวเคราะห์คล้ายโลก (terrestrial) หรือดาวเคราะห์หิน★ และ 3 ดวงสุดท้าย เป็นสิ่งที่คุณอ้างถึงในระบบสุริยะของคุณว่าเป็นดาวเคราะห์โจเวียน (Jovian) หรือดาวเคราะห์ยักษ์ก๊าซ ดาวเคราะห์ดวงแรกซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดในระบบของเราและไม่มีดวงจันทร์ ถูกเรียกว่า ซิโอ (Sio)
ดาวเคราะห์ดวงที่สองมีขนาดใหญ่กว่า ซิโอ (Sio) เล็กน้อย แต่มีขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ของเราเองเล็กน้อยเช่นกัน มีชื่อว่า เชนกิ (Chenki) และมีดวงจันทร์ 2 ดวง ดาวเคราะห์ เอสแสสซานี่ ของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 และไม่มีดวงจันทร์ตามธรรมชาติเป็นของตัวเอง ดาวเคราะห์ดวงที่ 4 เรียกว่า เพธ (Peth) และมีดวงจันทร์ 5 ดวง (เพธ) Peth ยังเป็นคำโบราณของเราสำหรับหมายเลข 4
[★rocky planets หรือดาวเคราะห์หิน : หมายถึงดาวเคราะห์ที่มีธาตุซิลิเคท (silicate) หิน และแร่โลหะต่างๆ เป็นองค์ประกอบหลัก –ผู้แปล]
The 5th planet, a gas giant, is called Vamar. It has approximately 13 moons, although this number can vary, as is common with some of the larger planets in any solar system. As you will notice some of the interesting similarities with your own system, there are some fascinating differences between our systems as well.
ดาวเคราะห์ดวงที่ 5 ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ยักษ์ก๊าซ ถูกเรียกว่า วามาร์ (Vamar) มันมีดวงจันทร์ประมาณ 13 ดวง แม้ว่าจำนวนนี้อาจแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับดาวเคราะห์ขนาดใหญ่บางดวงในระบบสุริยะใดๆ ดังที่คุณจะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงที่น่าสนใจบางอย่างกับระบบของคุณเอง แต่ก็มีความแตกต่างที่น่าทึ่งระหว่างระบบของเราเช่นกัน
One of the most notable differences is that the 6th and 7th planets at the periphery of our system, forms a binary planet system. These two outer planets orbit around our central star as a binary pair while also “dancing” in their own revolution around each other.
We have named these planets to represent this celestial dance, Cha Chu Pani, which loosely means in our ancient language, “the Dancers.” In our numbering nomenclature, Cha is number “one,” Chu is number “two,” and Pani has several meanings, one of which is “dance.”
ความแตกต่างที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งคือดาวเคราะห์ดวงที่ 6 และ 7 ที่ขอบรอบนอกของระบบของเรา ก่อตัวเป็น ระบบดาวเคราะห์คู่ (binary planet system) ดาวเคราะห์รอบนอกสองดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์หลักของเราในฐานะคู่โคจร ที่ในขณะเดียวกันก็ “เต้นรำ” ด้วยการหมุนรอบกันและกันไปด้วย
เราได้ตั้งชื่อดาวเคราะห์เหล่านี้เพื่อแสดงถึงการเต้นรำบนท้องฟ้านี้ว่า ชา ชู ปานิ (Cha Chu Pani) ซึ่งในภาษาโบราณของเรามีความหมายอย่างคร่าว ๆ ว่า “นักเต้น” ในระบบการนับเลขของเรา ชา (Cha) คือหมายเลข “หนึ่ง” ชู (Chu) คือหมายเลข “สอง” และ ปานิ (Pani) มีความหมายหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ “การเต้นรำ”
Sassani children sing the song of Cha Chu Pani which has that double meaning. One of the binary pairs has 2 moons, while the other has 5 moons. One interesting phenomenon that occurs as these planets dance around each other in their binary orbital path is that from time to time, 2 of these moons will become suspended between the 2 planets, effectively for those moments in time, not technically distinctly orbiting either, instead temporarily orbiting our sun as their own planet.
เด็ก ๆ ชาว แสสซานี่ (Sassani) ร้องเพลงของ ชา ชู ปานิ (Cha Chu Pani) ซึ่งมีความหมายสองนัยนี้ ดาวเคราะห์คู่โคจรดวงหนึ่งมีดวงจันทร์ 2 ดวง ในขณะที่อีกดวงมีดวงจันทร์ 5 ดวง
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อดาวเคราะห์เหล่านี้เต้นรำรอบกันและกันในวงโคจรคู่ของพวกมันก็คือ ในบางครั้ง ดวงจันทร์ 2 ดวงในจำนวนนี้จะถูกแขวนอยู่ระหว่างดาวเคราะห์ 2 ดวง โดยในช่วงเวลาเหล่านั้น ในทางเทคนิคแล้วพวกมันจะไม่ได้โคจรรอบดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งอย่างชัดเจนในฐานะดวงจันทร์ แต่จะ โคจรรอบดวงอาทิตย์ของเราชั่วคราวในฐานะดาวเคราะห์★
[★ท่านใดที่ได้อ่าน คำพยากรณ์จากเทียร์อูบาห์ มาแล้วจะเข้าใจว่า เลข 9 คือกุญแจไขความลับของจักรวาล ซึ่งระบบทุกอย่างในจักรวาลก็จะมีรากฐานอยู่บนเลข 9 ที่ว่านี้ ซึ่งในที่นี้ก็คือชั่วขณะหนึ่งที่ดวงจันทร์ 2 ดวงที่ว่าทำตัวเป็นดาวเคราะห์เสียเอง คือมันโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ระบบสุริยะนี้ มีดาวเคราะห์ครบ 9 ดวงที่โคจรรอบดาวกลางหรือดวงอาทิตย์พอดี ซึ่งก็จะเหมือนกับระบบสุริยะของเราที่มีดาวเคราะห์ 9 ดวง
ที่ผมเอาข้อมูลจากอีกเล่มเข้ามาโยงก็เพราะว่า หากข้อมูลที่มีแน้วโน้มว่าจะเป็นเรื่องจริง มันก็จะไม่ขัดแย้งกันครับ มันทำให้เราอ่านหนังสือเล่มนี้ได้แบบมีความคิดที่ว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล หรือ ไม่ใช่สิ่งที่คนเขียนมโนขึ้นมาเอง อะไรประมาณนั้นครับ
พวกคุณอาจมีคำถามว่า อ้าวแล้วเทียร์อูบาห์ที่ว่านั่นแหละ จะรู้ได้ไงว่ามันเป็นเรื่องจริงรึป่าว? คือผมก็ต้องบอกว่าข้อมูลที่อยู่ในนั้น ในหลายๆจุด มันก็สอดคล้องไปในทางเดียวกันกับข้อมูลในหนังสือสนทนากับพระเจ้าที่ผมมีความเข้าใจอยู่ และได้รับประสบการณ์ตรงหรือมีประสบการณ์จริงมาแล้วในการนำข้อมูลหรือแนวคิดที่อยู่ในหนังสือไปปรับใช้ชีวิต แล้วมันทำให้ผมเปลี่ยนไปทั้งภายในและภายนอก
ภายในคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะคงมีผมเข้าใจตัวเองจริงๆแค่คนเดียวแหละ ว่าสภาวะภายในของผมกลายเป็นแบบไหนไปแล้ว แล้วตลอด 9 ปีที่ผ่านมามันต่างไปจากเดิมมากแค่ไหนแล้ว เทียบกับตอนที่ยังติดอยู่ในกรอบของความเชื่อแบบพุทธอะนะ ส่วนภายนอก ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมปรารถนาที่จะรับใช้ผู้คน ในแบบที่ผมถนัด ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ยังไง และทำไปแค่ไหนหรือคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว อะไรประมาณนั้นครับ
และด้วยเหตุนี้ เมื่อข้อมูลจากในเทียร์อูบาห์มันสอดคล้องกับข้อมูลในสนทนาฯ และมันก็สอดคล้องกับข้อมูลในนี้ มันก็เลยพออนุมานได้ว่า ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ที่ผมกำลังอ่านให้พวกคุณฟังอยู่นี่ มันก็พอให้เชื่อตามได้ว่ามันเป็นของจริงนะ คือ มันสามารถเปลี่ยนเรา หรือ ขยายจิตสำนึกของเราได้จริง
ซึ่ง การขยายตัวของจิตสำนึกที่ว่านี้มันก็กำลังเกิดขึ้นกับผมอยู่จริงๆในขณะนี้ หลังจากที่ผมพยายามเอาแนวคิดที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ไปปรับใช้ในชีวิตจริงๆ ในขณะที่ผมอ่านและแปลไปด้วยไปจนจบไปแล้วอะนะ และมันก็เกิดมาเป็นงานที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้นี่แหละ ก็คือการที่กำลังมาไลฟ์หรือพูดคุยหรือใช้ศัพท์ล้ำๆแบบเอลันหน่อยก็ได้ คือ มามีปฏิสัมพันธ์กับพวกคุณอยู่นี่ โอเค นะครับ 😄 –ผู้แปล]
This is part of the energetic dynamic and tantalizing dance of Cha Chu Pani. Being the most distant planets in our system to Essassani, Cha Chu Pani is only dimly visible from the surface of our planet with what you call the “naked eye,” without the aid of enhanced or our own version of what you refer to as “remote,” viewing.
นี่เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานจลน์และการเต้นรำอันน่าดึงดูดใจของ ชา ชู ปานิ ในฐานะดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกลที่สุดในระบบของเราจากเอสแสสซานี่ ดาวเคราะห์คู่ Cha Chu Pani สามารถมองเห็นได้เพียงสลัว ๆ จากพื้นผิวของดาวเคราะห์ของเราด้วยสิ่งที่คุณเรียกว่า “ตาเปล่า” โดยปราศจากความช่วยเหลือจากการรับชมที่ได้รับการปรับปรุงหรือสิ่งที่คุณเรียกว่า “ระยะไกล” ในรูปแบบของเราเอง
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา