8 ธ.ค. เวลา 00:51 • ปรัชญา
เรื่องราว ที่เราอยู่กับ กายที่มีอารมณ์อยากพาไป เสาะแสวงหา นำกายเคลื่อนที่ไป วิญญาณทั้งหกไป เคลื่อนที่ไปกับกาย ..ไปมีสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ .สัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ .เช่นตาไปเห็น สิ่งสวยงาม อารมณ์ก็ไปยึดเอามา เช่น เห็นรูปสวยๆ จิตก็วิ่งไปยึด รูปนั้นเข้า ที่ว่าตาเห็นภาพ ก็ยึดเข้ามา ส่งให้กับจิต ตาบันทึกภาพ เมื่อตาหู ไปเห็นรูป..ที่แสดงออกมา กำลังพูดจา ติเตียน หงุดหงิดลำคาญ ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ..พูดด้วยอารมณ์ กระแทกกระทั้น หูของเราตาของเรา ก็ไปยึดอารมณ์ที่เป็นไฟ นำของๆคนนั้น ที่เค้าแสดง ..นำมายึด มาถือ
..เหมือน โคลนที่สาดออกมา ..ให้เปื้อนเปรอะ กายเราวิญญาณทั้งหกของเรา ..มันก็สกปรกเลอะเทอะไปด้วย ..กายของเราเมื่อสกปรก ..มันก็หาความสงบไม่ได้ .เรียกว่า ไปเอาอารมณ์ของผู้อื่นมาทับถมตัวเอง จิตก็เลยหาความสงบไม่ได้ ก็มันมี ..กายนั้น มีกรรม จิตอาศัยในกายกรรม ย่อมหาความสงบไม่ได้ ..มีแต่ธาตุทั่งสี่ที่เป็นสิ่งสกปรก ห่อหุ้มจิตที่อาศัยในกาย น้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่กรรม ตัวกินเลือดกินเนื้อที่เหมือนสัตว์นรก มากัดกินกายที่เป็นเนื้อนากรรม ..จิตก็ต้องทุกข์ทรมานอาศัยในกายกรรม
การที่จิตจะสงบได้ จืตที่อาศัยในกายกรรม ต้องฝึกหัด สร้างบุญกุศล ลดละอารมณ์โลภโกรธหลง ให้เบาบาง น้อยลงไป แล้วก็เอาสิ่งที่ดีๆ มาใส่ บรรจุภายในกาย ยิ่งได้สิ่งที่เรียกว่า ธรรม มีน้ำธรรมหล่อเลี้ยง จิตก็ไม่วุ่นวาย .ไม่ค่ิยมีอารมณ์รบกวน กายมีบุญจิต มีธรรม .กายสงบจิตก็สงบ สุขทั้งกายทั้งใจ
จิตที่ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวของจิต ยึดแต่อารมณ์นึกคิด ที่ปรุงแต่งกายที่เป็นกรรม จิตก็หาความสุขไม่ได้ พระท่านก็แนะนำให้ จ้ตมีที่ยึดเหนี่ยว จะได้ไม่ลอย เคว้งคว้าง ไปคลื่น อารมณ์ที่เกิดขึ้น จิตมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึง พระสงฆ์เราก็พระอรหันต์สาวกขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่ท่านปฏิบัติธรรมจน ลดละกรรมออกไปจนจิตบริสุทธิ์ กายก็บริสุทธิ์ เป็นธาตของธรรม
..เราก็พึงท่าน ..ให้จิตมีที่ยึดเหนี่ยว จิตไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ก็เคว้งคว้างเลือนลอยไปตามอารมณ์กรรมตัวกระทำที่เกิดขึ้น ..มีแต่ทุกข์กายทุกข์ใจเกิดขึ้น หาความสงบไม่ได้เลย
โฆษณา