เมื่อวาน เวลา 05:14 • การเมือง

ทำความเข้าใจ "MOU 43" และ "MOU 44" : กุญแจไขปมเขตแดนไทย-กัมพูชา

ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน เรื่อง "เขตแดน" มักเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยกรอบการเจรจาที่ชัดเจนและรัดกุม ปัจจุบันมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) สองฉบับที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ได้แก่ MOU 2543 และ MOU 2544 ซึ่งแม้จะมีชื่อคล้ายกัน แต่มีวัตถุประสงค์และพื้นที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
1. MOU 2543 (MOU 43) หรือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
วัตถุประสงค์ ร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนบนพื้นฐานของเขตแดนที่เคยตกลงไว้แล้วในอดีต ตามเอกสารหลัก ดังนี้
- อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904
- สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907
- แผนที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส (ในอดีต)
- เอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา และฉบับปี ค.ศ.1907 ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส
กลไกลการเจรจา มีการจัดตั้ง
รายละเอียดการเซ็น MOU 43 ถึง 44 ในรัฐบาลเเต่ละสมัย
"คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม" (Joint Boundary Commission - JBC)
โดยมีหน้าที่
- สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตลอดแนวชายแดนร่วมกัน
- ทำแผนแม่บทและกำหนดอำนาจหน้าที่
- กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ตั้งฝ่ายเทคนิคทำงานในภูมิประเทศจริง
- คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม หรือ JTSC มีภารกิจหาและพิสูจน์ตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักชายแดนและจัดทำ แผนที่ฉบับใหม่
JBC กำการดำเนินการทางกฎหมายระหว่างประเทศ
- ชุดสำรวจร่วมจะต้องปลอดภัยจากกับระเบิดแบ่งพื้นที่สำรวจ
เพื่อให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันสำเร็จผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้น จะไม่ทำอะไรที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลสถาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม เพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
ค่าใช้จ่ายหารสอง
การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการทางศุลกากร
เมื่อมีปัญหาระหว่างกัน ให้ใช้วิธีเจรจา
2. MOU 2544 (MOU 44) หรือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (ลงนาม 18 มิถุนายน 2544)
วัตถุประสงค์ เป็นข้อตกลงชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claims Area : OCA)
กลไกลการเจรจา มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค" (Joint Technical Committee - JTC) เพื่อทำหน้าที่เจรจาเรื่องนี้ยนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ
หัวใจสำคัญ: "เจรจาควบคู่ แยกจากกันไม่ได้" MOU 2544 เป็นเพียง "ข้อตกลงชั่วคราว" เพื่อเปิดช่องให้มีการเจรจาผ่าน "คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค" (JTC) โดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเกณฑ์ สาระสำคัญที่สุดคือการแบ่งพื้นที่เจรจาออกเป็น 2 ส่วน และต้องเจรจาไปพร้อมกัน (Indivisible Package) ดังนี้
- พื้นที่ส่วนบน (เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ): ให้เจรจาเพื่อ "แบ่งเขตแดน" ทางทะเลให้ชัดเจน
- พื้นที่ส่วนล่าง (ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ): ให้เจรจาเพื่อจัดทำระบอบ "พื้นที่พัฒนาร่วม" (Joint Development Area - JDA) เพื่อนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ร่วมกัน
เงื่อนไขสำคัญที่ล็อกไว้คือ "ต้องทำทั้งสองเรื่องพร้อมกันเป็นองค์รวม จะแยกทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อนไม่ได้" หมายความว่า หากตกลงเรื่องแบ่งผลประโยชน์น้ำมันไม่ได้ เรื่องเส้นเขตแดนก็ไม่จบ หรือหากตกลงเรื่องเส้นเขตแดนไม่ได้ ก็จะขุดน้ำมันไม่ได้เช่นกัน
บทสรุปทางกฎหมาย สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ MOU 2544 เป็นเพียงกรอบการเจรจา หากคณะทำงานตกลงกันได้สำเร็จ ผลลัพธ์สุดท้ายจะต้องถูกนำมาทำเป็น "สนธิสัญญา" ซึ่งต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาของไทยตามรัฐธรรมนูญเสียก่อน จึงจะมีผลผูกพันอย่างสมบูรณ์
ความขัดเเย้ง ไทย-กัมพูชา รัฐบาลเเพรทองธาร
"ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก ถ้าประชาชนบอกให้เก็บไว้ รัฐบาลนี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจอธิปไตย เขาต้องตัดสินใจได้ด้วยเขาเอง ดังนั้นก็ต้องทำประชามติถามว่า เห็นชอบให้ยกเลิก MOU กับกัมพูชาหรือไม่" นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568
MOU 2543 หมายถึง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ขณะที่ MOU 2544 หมายถึง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน โดยตัวเลขพ่วงท้ายหมายถึงปีที่ทั้งสองประเทศลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาจะเรียกว่า MOU 2000 และ MOU 2001 ซึ่งเป็นปีคริสต์ศักราช (ค.ศ.) แทน
ความพยายามยกเลิกบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ประเด็นนี้เป็นข้อถกเถียงต่อเนื่องยาวนานหลายทศวรรษทั้งในแวดวงวิชาการและการเมืองของไทย
บันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับนั้นมีรายละเอียดค่อนข้างมาก และความเข้าใจของผู้มีสิทธิลงประชามติก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บีบีซีไทยจึงรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ รวมถึงสอบถามผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำความเข้าใจความเป็นมาและข้อถกเถียงที่เกี่ยวข้องกับ MOU ทั้งสองฉบับ
การวางกำหนดตารางเมตร ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา
ในบทความนี้ ซึ่งเป็นบทความแรกจากทั้งหมด 4 ตอน จะเน้นไปที่ที่มาของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งถูกอ้างใน MOU 43 และเป็นแผนที่สำคัญที่ฝั่งกัมพูชาอ้างถึงเมื่อมีข้อพิพาทชายแดนทางบกกับไทย
สนธิสัญญากำหนดเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจ
แนวเขตแดนประเทศไทยที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสี่ด้าน (เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย) ไม่ได้เป็นผลมาจากการทำข้อตกลงระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสี่โดยตรง แต่เป็นมรดกตกทอดจากการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับเจ้าอาณานิคมจากยุโรปในอดีต เช่น แนวเขตระหว่างไทยกับเมียนมาและมาเลเซีย เป็นผลมาจากการทำข้อตกลงระหว่างสยามกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ขณะที่แนวเขตแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชา เป็นผลมาจากการทำข้อตกลงระหว่างสยามกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส
กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่า เขตแดนไทย-กัมพูชา มีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร แยกเป็นเขตแดนตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตร
เขตแดนบริเวณนี้เป็นผลจากการปักปันเขตแดน (delimitation) ตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1907 และพิธีสารแนบท้าย โดยมีการจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนไว้ 2 ชุด คือ
อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 ได้แผนที่ 11 ระวาง
สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ได้แผนที่ 5 ระวาง
รวมถึงมีการปักหลักเขตแดน (demarcation) ไว้จำนวน 73 หลัก ในสองห้วงเวลาด้วยกัน ได้แก่ ช่วงปี ค.ศ. 1909-1910 และปี ค.ศ. 1919-1920 ซึ่งแต่ละหลักมีบันทึกวาจาปักหลักหมายเขต (Procès-verbal d'abornement) ประกอบอยู่ด้วย
เเนวคิดผู้ที่ทำงานในกระทรวงต่างประเทศ
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#ไทย #ประเทศไทย #กัมพูชา #ลาว #เวียดนาม #ตารางเมตร #ชายเเดน
โฆษณา