9 ก.ย. 2021 เวลา 10:09 • ข่าว
พระสองรูปนี้ผิดพระวินัยข้อไหนบ้าง?:
1
๑.ภาพรวมของสังคมไทยในขณะนี้
ระยะนี้ มีเสียงคนวิจารณ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมากว่าการทำงานจัดการพระสงฆ์ที่ละเมิดพระวินัยตามอำนาจที่พระธรรมวินัยและพรบ.คณะสงฆ์ให้ไว้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ปัญหาของการเอาผิดพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัยไม่ได้หลักๆ มีอยู่ ๓ อย่างครับ:-
ข้อที่ ๑ นักวิชาการฆราวาสที่เคยบวชและสึกมาทำงานที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อาจเคยบวชและอยู่ในวัดที่ปฏิบัติไม่ได้เคร่งอะไร ฟังสวดพระปาติโมกข์พอเป็นพิธี ละเมิดสิกขาบทเป็นอาจิณ พอสึกออกมาทำงานที่สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ความละเอียดรอบคอบในประเด็นประวินัยจึงไม่มี
กรณีเช่นนี้ ลามปามไปยังผู้ที่เคยบวชอื่นๆ ทั่วประเทศด้วยนะครับ วัดหลายๆ วัดไม่ได้เข้มงวดพระวินัยอะไรนัก พระขาดการสำรวม ละเมิดสิกขาบทเป็นประจำ บวชไปก็ไม่ได้ศึกษาหรือพัฒนาศีล สมาธิและปัญญาอะไร คนที่เคยบวชในวัดเช่นนี้ ก็จะมีความเห็นไปทางสนับสนุนพระที่ละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณได้เช่นเดียวกัน
1
ข้อที่ ๒ เจ้าอาวาสวัดที่พระปฏิบัติละเมิดพระวินัยก็ไม่ได้ปฏิบัติเคร่งครัดอะไร เมื่อพระลูกวัดทำผิด ก็ปล่อยไป เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ พอพระลูกวัดถูกวิจารณ์มาก็ไม่ดำเนินการอะไรให้เด็ดขาด ทุกวันนี้ มีวัดประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
1
ข้อที่ ๓ บรรดานักวิชาการสายโปรอเมริกัน เช่นท่าน ส.ศิวรักษ์ซึ่งทำงานร่วมกับ NGOs อเมริกันเป็นประจำ ออกมาพูดและเขียนต่างกรรมต่างวาระกันหลายครั้งเพื่อ *ดิสเครดิต* สถาบันสงฆ์ว่าสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติบริหารงานไม่เป็นประชาธิปไตย
พร้อมทั้งยุให้พระสงฆ์สามเณรมีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง ยุให้พระสงฆ์ไปเล่นการเมือง ยุให้พระสงฆ์ไปร่วมประท้วง ฯลฯ ทำให้พระสงฆ์รุ่นใหม่ที่หลง ไปอ่านข้อเขียนอย่างอคติเหล่านี้แล้วหลงคารมเข้าก็หยิบเอาไปโจมตีมหาเถรสมาคมอย่างไร้คารวธรรมต่อๆ มาจนบัดนี้
2
โปรดดูที่ผมเขียนถึงพระสงฆ์กับการเมืองไว้ก่อนหน้านี้ครับ
น่าสงสัยว่าท่านส.ศิวรักษ์นี้ หลังจากร่วมงานกับ NGOs สายอเมริกาบ่อยๆ มาหลายปี ท่านมีวาระซ่อนเร้นหรือรับงานมาเพื่อมุ่งที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์และสถาบันสงฆ์ไทยหรือปล่าวนะครับ
เพราะหนังสือหลายเล่มของท่านมักเน้นสองเรื่องนี้เท่านั้นเป็นหลัก ไม่วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ก็วิจารณ์สถาบันสงฆ์ โดยเอาวิธีคิดของตะวันตกอย่างประชาธิปไตย เสรีภาพ สิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือ
ทั้งๆ ที่รัฐบาลอเมริกาเองก็ทำผิดกฎมหายรัฐธรรมนูญเป็นประจำเช่น สร้างกลุ่มก่อการร้ายป่วนประเทศอื่นหลายประเทศ ส่งทหารไปรุกรานประเทศอื่นอย่างผิดกฎหมาย สร้างม็อบจัดตี้งล้มรัฐบาลประเทศอื่นที่ตนเข้าไปหาผลประโยชน์ไม่สะดวก แล้วแต่งตั้งหุ่นเชิดตัวเองเป็นผู้นำประเทศนั้นแทน ฯลฯ เป็นต้น โปรดอ่านลิงค์ข้างล่างประกอบ
1
จอห์น แมคเคน อดีตวุฒิสมาชิกอเมริกาถ่ายภาพร่วมกับหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายไอสิส
สรุปแล้ว รัฐบาลอเมริกาเองก็ไม่เคยเอาหลักการประชาธิปไตยไปแก้ปัญหาในประเทศชาติตัวเองจริงจัง แถมประชาธิปไตยแบบอเมริกาก็เป็น ‘ประชาธิปไตยแบบนายทุน ของนายทุนและโดยนายทุน’
ไม่ใช่ ‘ประชาธิไตยของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน’ อย่างที่พากันกล่าวอ้าง ไม่เห็นว่าประเทศอเมริกาจะวิเศษตรงไหนเลย
ทำให้ประเทศอเมริกาเดี๋ยวนี้มีคนยากจนจำนวนมากภายในประเทศ ในขณะที่ประเทศจีน ซึ่งถูกอเมริกาด่าเป็นประจำ กลับช่วยพัฒนาประชาชนจำนวนมากให้หลุดพ้นจากความยากจนได้ดีกว่าด้วยซ้ำ ดังที่ผมเคยเขียนให้อ่านแล้วตามลิงค์ข้างล่าง
ผมเคยคำนวณแล้วว่าเมื่อดาวมฤตยูทับลัคนาดวงโลก สถิติในอดีตมีว่าประเทศจะมีปัญหาจากการล่าอาณานิคมและเคยเขียนทำนายเอาไว้ ผมจึงให้ความสำคัญกับข่าวต่างประเทศมากที่สุด คนไทยจะได้มองเห็นภาพรวมว่าศัตรูของประเทศชาติแท้จริงคือประเทศไหน
เมื่อดาวมฤตยูทับลัคนาดวงเมืองโลกและดวงเมืองทำให้มองเห็นภาพชัดเจนว่า
๑.มีนักเรียนนักศึกษาออกมาโจมตีการเคารพธงชาติ
๒.ใช้นักวิชาการในมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งซ่อมสุมคนโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีทั้งโจมตีตรงๆ ผ่านการเสวนาวิชาการ มีทั้งโจมตีเนียนๆ สอดใส้มากับตำราเรียนที่พากันแต่งขึ้นแฝงอคติ แต่แต่งตัวให้ดูดีด้วยเชิงอรรถและรายการอ้างอิง
๓.มีนักวิชาการที่ทำงานกับ NGOS อย่างส.ศิวรักษ์ออกมาพูดจาบั่นทอนเสถียรภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์และพระศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล่าวโจมตีสถาบันสงฆ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่เนืองๆ
คำถามคือทำไมสถาบันสงฆ์จะต้องบริหารตามระบอบประชาธิปไตยตามรูปแบบที่ฆราวาสเขาใช้กัน? พระพุทธเจ้าไม่เคยแนะให้พระสงฆ์ใช้หลักประชาธิปไตยเป็น *ระบอบ* ในการบริหารคณะสงฆ์เหมือนรูปแบบที่ฆราวาสใช้ในปัจจุบัน ซึ่งมีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมือง ฯลฯ พระองค์ทรงแนะให้ใช้หลักพระธรรมวินัยเป็นศาสดา ให้ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักการสำคัญเหมือนรัฐธรรมนูญในแต่ละประเทศ
เมื่อคณะสงฆ์มีการลงมติกันเป็นเอกฉันท์หรือฟังเสียงส่วนมาก ท่านก็ลงมติบนพื้นฐานของหลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ แสดงเอาไว้ หลักพระธรรมวินัยเหล่านี้มีอยู่ชัดเจนว่ามีกี่ข้อ สถาบันสงฆ์ไทยในประเทศต่างๆ ก็ไม่เคยและไม่จำเป็นต้องปกครองตามรูปแบบประชาธิปไตยที่ฆราวาสในปัจจุบันใช้ปฏิบัติ เช่น การเลือกตั้งใดๆ เลย
พระพุทธเจ้าทรงวางหลักพระวินัยเอาไว้เป็นธรรมนูญชัดเจนว่าบวชเป็นภิกษุสามเณรไปแล้ว หากอยากจะได้ชื่อว่าเป็นสมณะศากยบุตรจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร
พระวินัยเหล่านี้ตายตัวชัดเจน ไม่จำเป็นต้องตีความใดๆ และไม่อาจจะเอาข้ออ้างใดๆ มาเป็นประเด็นเพื่อจะไม่ปฏิบัติตามหลักพระวินัยด้วย
ถ้าไม่ยอมปฏิบัติตามหรือปฏิบัติไม่ได้ตามหลักพระวินัยเพราะคิดว่าไม่เป็นประชาธิปไตย อยากจะทำตามใจตนเองก็ ต้องสึกหาลาเพศไปเสีย
ถ้าไม่ยอมสึก สงฆ์ก็จะต้องบังคับให้สึก ถ้าพระสังฆาธิการที่ปกครองไม่ยอมให้สึก ก็ต้องถูกฟ้องด้วยกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ระบอบการปกครองคณะสงฆ์ใช้หลักพระธรรมวินัยซึ่งมีอธิบายชัดเจนไว้แล้วเป็นหลัก การใช้เสียงข้างมากหรือเยภุยยสิกา เกิดขึ้นในกรณียกิจหรือวินัยกรรมบางเรื่องที่ไม่ขัดกับหลักพระธรรมวินัยหลักเท่านั้น เช่น การนำทีวีมาใช้ในวัด เหมาะหรือไม่เพียงไร เนื่องจากสมัยพุทธกาลไม่มี สงฆ์สามารถประชุมและกำหนดเงื่อนไขในการใช้ได้แต่คำตัดสินหรือบทสรุปใดๆ จะต้องไม่ขัดแย้งหรือลบล้างหลักพระธรรมวินัยที่มีมาแต่เดิม
1
พูดถึงแนวทางการบริหารหรือปกครอง หลายๆ ท่านมักจะอ้างถึงคำสอนพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ทีฆนิกาย ๓ ประเภท (ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑) คือ ๑.อัตตาธิปไตย ยึดตนเองเป็นใหญ่ ๒.โลกาธิปไตย ยึดความเห็นของชาวโลกเป็นใหญ่ ๓.ธัมมาธิปไตย ยึดธรรมหรือหลักการเป็นใหญ่
แนวทางการปกครองที่ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักนี้ท่านเรียกว่าธัมมาธิปไตย เพราะยึดหลักการหรือพระธรรมวินัยที่ทรงอธิบายไว้แล้วเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ใครจะอยากทำตัวอย่างไรก็ได้
ถ้าจะสรุปภาพรวมของประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนาก็คือเป็นประชาธิปไตยในโครงสร้างลึก กล่าวคือมีอยู่ในภาคปฏิบัติ เพราะเน้นหลักพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญที่สำคัญ ความเห็นต่างๆ ของคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนาต้องยึดโยงกับพระธรรมวินัยอย่างเป็นเอกฉันท์ ไม่ได้เน้นระบอบประชาธิปไตยเพียงรูปแบบ เช่น เลือกตั้ง หรือมีพรรคการเมือง หาเสียง อย่างที่ฆราวาสทำกันอยู่ทุกวันนี้
ใครที่คิดจะบวชจึงควรต้องรู้ว่ามีพระธรรมวินัยกี่ข้อที่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่สามารถทำตามได้ ก็ไม่ต้องไปบวช เมื่อบวชไปแล้ว ทำผิดพระวินัย สงฆ์ก็ต้องจับสึก
นอกจากนั้น ยังมีนักวิชาการหลายคนเขียนหนังสือหรืองานวิจัย (คุณภาพต่ำ) ออกมา ดูๆ แล้วก็น่าจะได้รับอิทธิพลจากส.ศิวรักษ์ส่วนหนึ่งเช่นกัน แล้วสรุปว่าพระสงฆ์ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทางการเมือง เพราะ
๑.ในอดีต พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยเข้าไปห้ามพระญาติทำสงครามกัน
๒.เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ก็เคยจุดเทียนกลางวันแสกๆ เดินถือเข้าไปให้สติแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
๓.พระเมียนมาร์ก็ยังพาประชาชนประท้วงรัฐบาล
ทั้งๆ ที่ทั้ง ๓ กรณีนี้ ไม่เป็นเหตุผลให้สรุปว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาสามารถเล่นการเมืองได้เลยแม้แต่น้อย
พระพุทธเจ้าเสด็จไปห้ามพระญาติก็เป็นญาติสังคหะ ทรงประสงค์จะสงเคราะห์ญาติทั้ง ๒ ฝ่ายที่ทะเลาะกัน เมื่อทรงห้ามพระญาติทั้ง ๒ ฝ่ายไม่ได้ พระองค์ก็ทรงวางอุเบกขา โดยปรกติ ในสมัยพุทธกาล พระองค์ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลของประเทศใหนๆ อย่างที่พระสงฆ์ไทยในปัจจุบันนี้หลายรูปทำแม้แต่น้อย ทรงมุ่งสอนแต่ธรรมะอย่างเดียว
1
กรณีสมเด็จโต พระองค์ก็แค่ไปให้สติแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ในฐานะคนรู้จักกันเป็นส่วนตัว ไม่ใช่ไปร่วมชุมนุม โดยวิธีขึ้นเวทีหลังจากเลือกข้างพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเหมือนพระทุมมังกุจำนวนมากในสมัยนี้
1
ส่วนพระเมียนมาร์และลังกาที่เข้าไปประท้วงการเมืองเป็นประจำก็เป็นเอกลักษณ์ของชาวเมียนมาร์และลังกาที่เอาแนวคิดชาตินิยม (Nationalism) มาปะปนกับพระพุทธศาสนา สิ่งที่พระเมียนมาร์และลังกาทำก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องตามหลักพระวินัยเสียเมื่อไหร่
สาเหตุที่พระสงฆ์ในสองประเทศนี้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทางการเมืองก็เป็นเพราะเคยถูกอังกฤษรุกรานซึ่งพยายามทำลายพระพุทธศาสนาต่างๆ นานา พระเมียนมาร์และลังกาจึงต้องเข้าไปยุ่งทางการเมืองเพื่อต่อสู้ให้พระพุทธศาสนาคงอยู่
ทั้ง ๒ ประเทศมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ทำให้แตกต่างจากพระเถรวาทในประเทศอื่นๆ ไป และไม่ได้แปลว่าพระสงฆ์เหล่านี้ปฏิบัติถูกต้องตามพระวินัยสักหน่อย พระสงฆ์ไทยจึงไม่ควรเอาแบบอย่างพระสงฆ์ที่ปฏิบัติผิดพระวินัยมาเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติของตนเอง
ด้วยเหตุปัจจัย ๓ อย่างนี้ สถาบันสงฆ์จึงถูกดิสเครดิตประจำ กอปรพระสงฆ์ในหลายๆ วัดและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอ่อนแอในหลักพระวินัย พอมีปัญหาพระละเมิดพระวินัยขึ้นมาจึงเอาผิดพระที่ทำผิดไม่ได้อยู่หลายครั้ง
วิธีแก้ไขก็คือสมควรจะต้องมีคณะพระวินัยธร เพื่อเป็นที่ปรึกษาประเด็นทางพระวินัยแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
และควรเลือกเฟ้นพระที่แม่นหลักพระวินัยจริงๆ ไว้คอยพิจารณาอธิกรณ์ต่างๆ ไม่ใช่สักแต่จบเปรียญ ๙ เพราะขณะนี้มีพระหรือฆราวาสเคยเรียนจบเปรียญ ๙ หลายคนที่ไม่ค่อยเป็นสัปปะรดในเรื่องพระวินัยก็มี
เพราะพระพุทธเจ้าทรงให้หลักพระธรรมวินัยเป็นศาสดา ไม่ใช่ให้ยึดองค์กรหรือตัวบุคคล คนไทยจึงไม่ควรไปให้ความสำคัญแก่คนจำนวน ๒ แสนคนที่ออกมาสนับสนุนพระ ๒ รูปนี้ แต่ควรจะให้ความสำคัญต่อพระวินัยเป็นหลักว่าพระวินัยกล่าวไว้อย่างไร คนที่ออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนพระ ๒ รูปนี้ไม่ว่าใครล้วนแต่ไม่ใช่คนที่รู้วินัยสงฆ์แตกฉานอะไรทั้งนั้น
1
๒.พระ ๒ รูปทำผิดพระวินัยข้อไหน? จับสึกได้หรือไม่?
๑.พระสงฆ์เป็นบรรพชิตผู้ออกบวช ไม่มีเรือน และต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ปกครองประเทศ การใดที่ราชการให้อนุโลมตามที่ไม่ขัดด้วยหลักพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนให้อนุโลมตาม
ดังพุทธวจนะว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตํฯ (วิ.มหา.๔/๒๐๙/๒๗๓) ‘ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อนุวัตรตามนโยบายรัฐบาล’
คำว่า ราชานํ อนุวตฺติตุ ผมแปลว่า ‘ให้อนุวัตรตามนโยบายรัฐบาล’ เพื่อให้เหมาะแก่บริบทเนื่องจากในสมัยโบราณ บรรดาประเทศทั้งหลายส่วนใหญ่ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยหรือสมบุรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อในปัจจุบัน อำนาจพระราชาถูกโอนมาสู่รัฐบาล นโยบายสงฆ์จึงต้องอนุวัตรตามนโยบายรัฐบาลแทน
ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกต่างๆ นโยบายของรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา คำสั่ง มติคณะรัฐมนตรีใดๆ ออกมาใช้กับประชาชนชาวไทยและไม่ขัดกับวินัยสงฆ์ พระสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติตามด้วย
๒.ถ้ามีพระไม่ชอบใจนโยบายรัฐบาล หันไปช่วยพรรคการเมืองบางพรรคเพื่อให้หัวหน้าฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาล เชิดชูพรรคการเมืองบางพรรค ต่อต้านรัฐบาลซึ่งเป็นอีกพรรค ก็จะต้องอาบัติกุลทูสกสิกขาบท สังฆาทิเสสข้อที่ ๑๓
1
ซึ่งห้ามมิให้พระภิกษุประจบคฤหัสถ์หรือยอมตนรับใช้คฤหัสถ์ เพราะกำลังทำให้พรรคการเมืองบางพรรคศรัทธาตนเพราะ ตนเป็นแนวร่วมเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล ไม่ใช่ศรัทธาเพราะมีคุณธรรมคือศีล สมาธิและปัญญาตามที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์
สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงลงโทษพระภิกษุฉัพพัคคีย์ที่ละเมิดพระวินัยข้อนี้ด้วยปัพพาชนียกรรม (วิ.มหา.๔/๖๒๘/๔๒๘) คือขับออกจากสำนักซึ่งจะเป็นที่รังเกียจของภิกษุสงฆ์อื่นๆ ทั่วไปด้วย
สมัยนี้ เมื่อถูกขับออกจากวัดแล้ว ไม่เพียงจะอยู่วัดนั้นไม่ได้ ยังอยู่ในท้องที่ซึ่งตนประจบคฤหัสถ์นั้นไม่ได้ด้วย เช่น อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันไม่ได้ อยู่ในถนนเดียวกันไม่ได้ ฯลฯ ต้องอพยพไปที่อื่น หากพระภิกษุประจบสอพลอฆราวาสที่อยู่กรุงเทพมหานคร ก็จะอยู่ในกรุงเทพมหานครอีกไมได้
แปลว่าพระที่ไปขึ้นเวทีการเมืองเพื่อช่วยพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถถูกเจ้าอาวาสลงปัพพาชนียกรรม (ขับออกจากวัด) ได้ เมื่อพระในวัดอื่นๆ รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังแล้วไม่ต้อนรับ ท่านหาสำนักอยู่ไม่ได้ ก็ต้องถูกจับสึกตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๓๕ มาตรา ๒๗ วรรค (๓) ที่ว่า ‘ไม่สังกัดอยู่วัดใดวัดหนึ่ง’ และวรรค (๔) ‘ไม่มีวัดใดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง’
๓.ถ้าภิกษุที่ถูกขับออกจากวัดในข้อ ๒ ยังมีพระที่เป็นเพื่อนกันให้ที่พักพิงอยู่วัดใดวัดหนึ่งได้ แต่ก็ยังทำพฤติกรรมเดิม กล่าวคือไปพบปะกลุ่มการเมืองเพื่อให้กำลังใจอีกฝ่ายโจมตีรัฐบาล
ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติสังฆาทิเสส ข้อกุลทูสกสิกขาบทซ้ำซาก คณะสงฆ์สามารถสั่งให้จับพระรูปนั้นสึกด้วยพรบ.คณะสงฆ์ฉบับเดิม มาตราที่ ๒๗ วรรค (๒) ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้
๔.ภิกษุที่ละเมิดพระธรรมวินัยบ่อยๆ เช่น เข้าไปก้าวก่ายการเมือง เชิดชูพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือละเมิดสิกขาบทอื่นๆ แม้จะเล็กน้อย เมื่อมีสงฆ์วินัยวาทีที่รู้พระวินัยกว่าได้รับมอบหมายจากฝ่ายปกครองให้ตักเตือน ๓ ครั้ง (เทียบเท่ากับสวดสมนุภาสน์ ๓ ครั้ง)
แล้วไม่ทำตาม ยังดื้อแพ่งเข้าไปข้องแวะทางการเมืองอยู่ ไม่เพียงแต่ต้องอาบัติกุลทูสกสิกขาบท ซึ่งเป็นสังฆาทิเสส ข้อ ๑๓ เป็นอาจิณ ยังต้องอาบัติสังฆาทิเสส ข้อทุพพจสิกขาบทที่ ๑๒ ซึ่งเป็นสิกขาบทที่ว่าด้วยภิกษุหัวดื้อหรือสอนยากอีกกระทง
เพราะเหตุที่ต้องอาบัติต่างๆ หลายข้อ จึงสามารถถูกจับสึกด้วยพรบ.คณะสงฆ์ฉบับเดิม มาตราที่ ๒๗ วรรค (๒) ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้เช่นกัน
๕.ผมเคยติงว่าพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโตโฆษณาสินค้าชนิดหนึ่ง (https://www.youtube.com/watch?v=nSO_-HSm7QM) การโฆษณาสินค้าของท่านนี้ ทำให้ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ข้อกุลทูสกสิกขาบทไปเรียบร้อยแล้ว เพราะยอมตนให้คฤหัสถ์ใช้สอย เบื้องหลังจะได้เงินบริจาคจากฆราวาสที่ตนเองสนับสนุนหรือไม่ ไม่มีใครทราบ
4
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโตออกมาขอโทษที่โฆษณาอาหารเสริม
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ยกเสื้อสนับสนุนสโมสรฟุตบอล
อาบัติสังฆาทิเสสเป็นครุกาบัติ ไม่ว่าท่านจะยอมรับอย่างไรหรือไม่ ท่านต้องไปแล้ว ถ้าอยากกลับมาเป็นพระปกตัตตะหรือกลับมาเป็นพระปรกติ ท่านต้องสารภาพผิดต่อสงฆ์และอยู่ปริวาสกรรมและประพฤติมานัติ ฯลฯ ตามหลักพระวินัย จึงจะกลับมาเป็นพระปรกติเช่นเดิมได้
3
ลำพังแค่คำขอโทษไม่อาจทำให้ท่านเป็นพระปกติเหมือนพระทั่วไปได้
ผมไม่แน่ใจว่าขณะนี้ พระสังฆาธิการฝ่ายปกครองได้โจทย์ท่านเพื่อให้ดำเนินการอยู่ปริวาสกรรมและประพฤติมานัติ ฯลฯ เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง
ถ้ายัง แปลว่าท่านต้องอาบัติแล้วปกปิดอาบัติไว้ ไม่ไปสารภาพต่อสงฆ์ ท่านยิ่งจะต้องมีจำนวนวันที่จะต้องอยู่กรรมมากขึ้น
รัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรต้องเข้าไปตั้งคำถามต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้วละครับว่าได้ดำเนินการไปทางสงฆ์ผู้ปกครองเพื่อชี้ว่าพระมหาสมปองได้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสไปแล้วหรือยัง? ถ้ายัง แสดงว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ผิดมาตรา ๑๕๗
๖.พระ ๒ รูปเปิดช่องยูทูปตนเอง ไม่แน่ใจว่าท่านมีรายได้จากการทำยูทูปหรือปล่าวนะครับ ถ้ามีรายได้ (ซึ่งปรกติจะมี) พฤติกรรมท่านก็เข้าข่ายประพฤตินอกรีต (อุปปถกิริยา) ที่พระสงฆ์ซึ่งเป็นบรรพชิตไม่พึงทำ
2
อุปปถกิริยานี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๓ อย่างคือ
๑.อนาจาร หมายถึงการวางตัวไม่เหมาะสมต่อความเป็นพระ ผู้ดำรงเพศเป็นบรรพชิต
3
๒.ปาปสมาจาร หมายถึงคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์จนยอมตนไปอาสารับใช้หรือประจบสอพลอให้เขานับถือ
๓.อเนสนา หาเลี้ยงชีพที่ไม่เหมาะสมกับสมณเพศ ถ้าท่านได้เงินจากการทำยูทูปจากยอดไลค์ประจำ ก็แปลว่าท่านแสวงหาเงินด้วยอเนสนาวิธี จัดเป็นพระอลัชชีตามพระวินัยได้
พระวินัยปิฎก (วิ.ปริวาร.๘/๑๐๗๐/๓๙๓) อธิบายความหมายของ *พระอลัชชี* เอาไว้ว่าหมายถึงพระที่ ๑.รู้อยู่แต่ขืนทำ ๒.ปกปิดอาบัติ ๓.ลุอำนาจอคติ ไม่ยึดหลักพระวินัยอย่างตรงไปตรงมา (สญฺจิจฺจ อาปตฺตึ อาปชฺชติ อาปตฺตึ ปริคูหติ อคติคมนญฺจ คจฺฉติ เอทิโส วุจฺจติ อลชฺชิปุคฺคโล)
1
ข่าวว่าพระทั้ง ๒ รูปบวชเรียนมานานจะปฏิเสธว่าไม่รู้พระวินัยไม่ได้ จึงเข้าข่ายเป็นพระอลัชชีตามพระวินัยข้อดังกล่าวเพราะรู้ว่าเป็นอาบัติแต่ก็ยังขืนทำ ควรจะไปหาศึกษาอาชีวปาริสุทธิศีล ๔ โดยเฉพาะให้กระจ่าง จะได้เป็นแนวปฏิบัติ
1
การเปิดยูทูปเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเองเข้าข่ายเป็นอเนสนา เป็นการทำมาหากินที่ไม่ชอบกับวิสัยบรรพชิต ผิดวิสัยสมณะ ต้องอาบัติทุกกฎ
แม้ว่าอาบัตินี้จะเบา แต่ถ้ากระทำการล่วงละเมิดอยู่ซ้ำซากเป็นเวลาหลายปีแล้ว แสดงว่าไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย ไม่สนใจปฏิบัติตามหลักพระวินัยที่ตนเป็นพระควรปฏิบัติตาม
จึงสามารถถูกจับจับสึกตามมาตรา ๒๗ วรรค (๒) ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้เช่นกัน
1
๗.ในการทำยูทูปในข้อที่ ๖ พระคงจับจ่ายใช้สอยเงินที่หามาได้ ท่านก็ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ข้อรูปิยสิกขาบท นิสสัคคียปาจิตตีย์ข้อที่ ๘ (ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดีซึ่งทองและเงินหรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์)
1
ท่านต้องสละเงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพที่ไม่เหมาะนี้ทั้งหมดจึงจะปลงอาบัติตก กลับมาเป็นพระตามปรกติได้
ถ้าท่านใช้เงินที่ได้นั้น ไปซื้อสินค้าต่างๆ ด้วยตนเองโดยไม่มีกัปปิยการกหรือไวยาวัจกร ท่านก็ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ข้อที่ ๙ (ภิกษุใด ถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์) ข้อรูปิยสังโวหารสิกขาบทหรือรูปิยสัพโยหารสิกขาบทอีกกระทง
1
ตามพระบาลีว่า โย ปน ภิกฺขุ นานปฺปการกํ รูปิยสํโวหารํ สมาปชฺเชยฺย นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ (วิ.มหา.๒/๑๐๙/๗๔)
๘. ภิกษุที่หาเงินด้วยวิธีทำยูทูปถือว่าเป็นอลัชชีเพราะรู้อยู่ว่าเป็นอาบัติซึ่งไม่เหมาะแก่สมณสารูปแต่ขืนทำ การใช้เงินที่ได้มาด้วยวิธีที่ขัดต่อสมณสารูปนี้จัดเป็น ‘อลัชชีบริโภค’ (การใช้สอยแบบคนไร้ยางอาย)
1
ถ้าพระรูปอื่นๆ ในวัดเดียวกันมาร่วมแสดงความยินดีที่มีชื่อเสียงจากการใช้ยูทูปหาเงินและร่วมใช้เงินหรือสินค้าที่ได้จากเงินที่มาจากการทำยูทูปก็เป็นอลัชชีบริโภค เช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุรูปเดียวที่เป็นอลัชชี ประกอบอาชีพที่ขัดต่อสมณวิสัย ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักอาชีวปาริสุทธิศีล ๔ จึงสามารถกระทำให้พระอื่นๆ ในวัดเป็นร้อยเป็นอลัชชีตามได้
ตามคำอธิบายพระพุทธโฆสะที่ว่า เอวํ เอโกปิ อลชฺชี อลชฺชิสตํปิ กโรติ (สมนฺตปาสาทิกา, ทุติโย ภาโค, มหาวิภงฺควณฺณนา หน้า ๒๓๑)
1
ถ้าพระสำนึกว่าตนใช้เงินทองจากอเนสนาวิธี ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์เข้าแล้วและต้องการให้หลุดออกจากอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ข้อนี้ ท่านต้องสละเงินที่ได้มาทั้งหมดจึงจะปลงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ตกตามหลักพระวินัย แต่ว่าจะต้องไม่แสดงพฤติกรรมเหมือนเดิมอีก
ถ้าไม่ยอมสละ ทำตามเงื่อนไขพระวินัย แถมต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ข้อนี้บ่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ แต่ไม่เคยแสดงอาบัติหรือรับสารภาพเพราะไม่แคร์พระวินัยบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ก็สามารถถูกคณะสงฆ์จับสึกได้
เพราะต้องอาบัติสังฆาทิเสส ข้อที่ ๑๒ ข้อทุพพจสิกขาบทซ้ำซาก และละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณ ตามมาตรา ๒๗ วรรค (๒) ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้เช่นกัน
1
๙.การประจบสอพลอนักการเมืองที่ตนชอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสที่ ๑๓ ข้อกุลทูสกสิกขาบทเพราะประจบสอพลอนักการเมืองฝ่ายที่ตนถือข้างอยู่ดังกล่าวข้างต้น
1
แต่ถ้าภิกษุกล่าวกระทบกระแทกแดกดันนักการเมืองอีกฝ่ายหรือฆราวาสที่ตนไม่ชอบ พระพุทธเจ้ายังทรงแนะนำให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม มีปรากฏในวินัยปิฎก จุลลวรรค เล่ม ๖ (วิ.จุลฺล.๖/๑๕๙/๖๘) ซึ่งมีความว่า
2
‘ภิกษุใดขวนขวายเพื่อตัดลาภของคฤหัสถ์บางคน (ที่ตนไม่ชอบ), ขวนขวายเพื่อให้คฤหัสถ์บางคนเสียผลประโยชน์, ขวนขวายเพื่อมิให้คฤหัสถ์บางคนอยู่ไม่ได้, ด่าว่าเปรียบเปรยคฤหัสถ์บางคนที่ตนไม่ชอบ, ยุยงให้คฤหัสถ์แตกแยกกัน
1
(คิหีนํ อลาภาย ปริสกฺกติ คิหีนํ อนตฺถาย ปริสกฺกติ คิหีนํ อนาวาสาย ปริสกฺกติ คิหี อกฺโกสติ ปริภาสติ คิหี คิหีติ เภเทติ อิเมหิ โข ภิกฺขเว ปญฺจหงฺเคหิ สมนฺนาคตสฺส ภิกฺขุโน อากงฺขมาโน สงฺโฆ ปฏิสารณียกมฺมํ กเรยฺย)
ถ้าเข้ากรณีอย่างนี้ สงฆ์ต้องประกาศทำปฏิสารณียกรรมเพื่อให้พระที่ทำไปดำเนินการขอโทษบรรดาคฤหัสถ์ที่เคยรุกรานเสีย
สมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งชื่อว่าสุธัมม์เคยพูดจาถากถางหรือกระแทกแดกดันจิตตคฤหบดี พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะให้สงฆ์ลงปฏิสารณียกรรม กล่าวคือให้ไปขอโทษคหบดีที่ตนเองล่วงเกิน
ถ้าเจ้าอาวาสหรือพระสังฆาธิการเห็นพระสงฆ์กล่าวถากถางคฤหัสถ์แล้วไม่ดำเนินการอะไร ท่านก็ถูกฟ้องด้วยข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ผิดมาตรา ๑๕๗ เพราะพระสังฆาธิการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมาย และเมื่อท่านมีพฤติกรรมแบบนี้บ่อยๆ เข้า แม้จะรู้พระวินัยดีแต่ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัย ยังคงปฏิบัติเช่นเดิม
1
คณะสงฆ์สามารถจับสึกได้เพราะละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณ ตามมาตรา ๒๗ วรรค (๒) ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขปรับปรุงพ.ศ.๒๕๓๕ ที่ว่า ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้เช่นกัน
1
๑๐.การไลฟ์สดด้วยอาการไม่สำรวมขัดหลักสมณสารูปต้องอาบัติทุกกฎ ข้ออุชชัคฆิกสิกขาบท ๒ ข้อไม่ว่าในอิริยาบถไปหรืออิริยาบถนั่ง
1
‘ภิกษุไม่พึงหัวเราะด้วยเสียงอันดังเมื่อไปในบ้าน ภิกษุใด ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยข้อนี้ หัวเราะส่งเสียงอันดังเมื่ออยู่ในบ้าน ต้องอาบัติทุกกฎ’ (น อุชฺชคฺฆิกาย อนฺตรฆเร คนฺตพฺพํฯ โย อนาทริยํ ปฏิจฺจ มหาหสิตํ หสนฺโต อนฺตรฆเร คจฺฉติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส) ตามพระบาลีในพระไตรปิฎก เล่ม ๒ (วิ.มหา.๒/๘๑๐/๕๓๖)
1
ภาพที่ขาดการสำรวมของพระ ๒ รูประหว่างไลฟ์สด
‘ภิกษุไม่พึงหัวเราะด้วยเสียงอันดังเมื่อนั่งในบ้าน ภิกษุใด ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยข้อนี้ หัวเราะส่งเสียงอันดังเมื่ออยู่ในบ้าน ต้องอาบัติทุกกฎ’ (น อุชฺชคฺฆิกาย อนฺตรฆเร นิสีตพฺพํฯ โย อนาทริยํ ปฏิจฺจ มหาหสิตํ หสนฺโต อนฺตรฆเร นีสีทติ, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺส) ตามพระบาลีในพระไตรปิฎก เล่ม ๒ (วิ.มหา.๒/๘๑๑/๕๓๖)
1
คำว่า ‘ไปในบ้าน’ หรือ ‘นั่งในบ้าน’ ก็ดีในภาษาพระวินัยในที่นี้ ตรงกันข้ามกับอยู่ในวัด หมายถึงเมื่อไปอยู่ต่อหน้าชุมชนสาธารณะซึ่งหากภิกษุไปหัวเราะส่งเสียงดัง ถือว่าเป็นอาการไม่สำรวม
1
การเปิดไลฟ์สดก็คือการอยู่ต่อหน้าสาธารณชนนั่นเอง อาบัติทุกกฎแม้จะเป็นอาบัติเล็กน้อย แต่ทว่าก็แสดงว่าไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย เท่ากับลบหลู่พุทธบัญญัติ
นอกจากนั้น ถ้ามีภิกษุผู้เป็นพระวินัยวาทีเข้ามาแนะนำตักเตือน ท่านก็ยังดื้อแพ่ง ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ท่านยังเข้าข่าย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ข้อทุพพจสิกขาบทที่ ๑๒ อีกด้วย
1
เมื่อท่านมีพฤติกรรมแบบนี้บ่อยๆ เข้า คณะสงฆ์สามารถจับสึกได้เพราะละเมิดพระวินัยเป็นอาจิณ ตามมาตรา ๒๗ วรรค (๒) ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขปรับปรุงพ.ศ.๒๕๓๕ ที่ว่า ‘ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ’ ได้เช่นกัน
1
๓.บทสรุป
ชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกเคยยกทัพมารุกรานอินโดจีน ครั้งนั้น เกิดภัยพิบัติ มีคนเสียชีวิตจำนวนมากมายในอินโดจีน จากนั้น ก็ยกทัพกลับ แล้วถือโอกาสรุกราน ตะวันออกกลางไม่น้อยกว่า ๒ ทศวรรษ
และปัจจุบัน ชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกกำลังบ่ายหน้าย้อนกลับมาทางเอเชียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อีกแล้ว โดยส่งคนจำนวนมากเข้ามาปักหลักเคลื่อนไหวทำสงครามพันทางในเอเชียเพราะเมื่อเปโตรดอลล่าร์ล่มสลายลง เอเชียจะรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางอาหารและยาจากสมุนไพรนานาชนิดของโลก จำเป็นที่ประเทศเหล่านี้จะต้องเข้ามาหาทางยึดครอง
1
พร้อมๆ กับที่ชาตินักล่าอาณานิคมตะวันตกตั้งใจจะเข้ามายึดครองภาคพื้นเอเชีย หาทางก่อตั้งนาโต้ภาคพื้นเอเซีย สถาบันหลักของประเทศไทยคือชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ก็กำลังถูกชอนไชอย่างหนัก โดยนักวิชาการต่างๆ ทั้งพระทั้งฆราวาสที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ผมได้อธิบายให้เห็นภาพรวมแล้วว่าพระ ๒ รูปเข้าข่ายผิดอาบัติข้อไหนบ้าง และคณะสงฆ์จะสามารถอ้างพระวินัยข้อไหนบ้างมาจัดการแก้ปัญหา ความจริงแล้ว ทั้ง ๒​ รูปต้องอาบัติหลายข้อมากและต้องเป็นอาจิณด้วย
ถ้าไม่อยากให้ประเทศชาติต้องถูกทำลายจากสนิมที่เกิดในตน คนมีหน้าที่รับผิดชอบ ทั้งฝ่ายสงฆ์ทั้งฝ่ายฆราวาส ควรรีบดำเนินการโดยไม่ชักช้าครับ
โฆษณา