11 ม.ค. 2022 เวลา 07:30 • อาหาร
ส่องโลกของ "Tapas" อาหารเรียกน้ำย่อยประจำแดนกระทิงดุ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเราได้มีโอกาสไปนั่งานร้านอาหารสเปนแบบ Tapas Bar ก็พบว่า เอ้อ ! มีหลายเมนูเรียกน้ำย่อย (จนกินมากินมาพร้อมดื่ม มันก็เพลิน กลายเป็นสั่งหลาย ๆ จานจนกลายเป็นจานหลักไปทันที)
สารภาพว่าตอนแรกพวกเราเข้าใจว่า อาหารสไตล์ทาปาส น่าจะต้องเป็นการทานขนมปังกรอบ ๆ คู่กับเนื้อสัตว์วางพาดบนขนมปัง
แต่ว่าอันที่จริงแล้ว อาหารประเภททาปาสของแดนกระทิงดุเนี่ย มันมีมากกว่าแค่ขนมปัง
(จำได้ว่าตอนไปเที่ยวสเปน จะมีแบบ Pincho Bar ซึ่งมันก็คือทาปาสบาร์นี้ละ แต่ว่าจะเน้นขายเป็นขนมปังแบบพอดีคำพาดด้วยเนื้อสัตว์และซอสหน้าต่าง ๆ)
ประจวบกับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีแฟนเพจที่น่ารักท่านหนึ่ง รีเควสหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องราวของอาหารประเภททาปาส (Tapas) เข้ามาพอดี
พวกเรา InfoStory เลยไม่รอช้า ขอไปนั่งรวบรวมข้อมูลมาให้เพื่อน ๆ ได้รับชมกันในภาพอินโฟกราฟิกสุดสบายตากันอย่างเช่นเคย
งั้นไปรับชมกันดีกว่า !
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวสั้น ๆ เกี่ยวกับความเป็นมาของทาปาสต่อ ก็เชิญด้านล่างได้เลยจ้า
ต้นกำเนิดของทาปาส (Tapas/Tapa) ว่ากันว่าถูกคิดค้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 จากการประชวรของกษัตริย์อัลฟองโซที่ 10 ของสเปน (Alfonso X of Castile)
Alfonso X of Castile
แพทย์หลวงที่ถวายการรักษา ก็ได้ให้คำแนะนำว่า พระราชาต้องดื่มไวน์แดงเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายทุก ๆ วัน
ทีนี้พอดื่มทุกวัน (วันละหลายครั้ง) ก็จะทำให้เกิดการมึนเมาได้ง่าย กษัตริย์อัลฟองโซ ก็เลยต้องเสวยอาหารชิ้นเล็ก ๆ ไปพร้อมกับไวน์ เพื่อลดอาการมึนเมา
1
ต่อมาเมื่อหายประชวรก็ทรงออกกฎว่า ไม่ว่าพระองค์จะประชวรหรือไม่ แต่ถ้าต้องการจะดื่มไวน์เนี่ย ก็จะต้องจะต้องมีอาหารว่างเสิร์ฟคู่กันด้วยเสมอ
ที่มากกว่านั้นก็ยังได้แนะนำให้ประชาชนคนทั่วไป โดยเฉพาะร้านเหล้าหรือบาร์โรงแรม ต้องจัดอาหารจานเล็ก ๆ เอาไว้เสิร์ฟลูกค้าทานคู่กับการดื่มไวน์ เพื่อทำให้พวกเขาไม่เมาจนบ้าคลั่งและก่อเหตุทะเลาะวิวาทรายวัน (และไม่นอนสลบกันตามพื้นถนน)
จนกระทั่งเรื่องราวนี้ กลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมการทานอาหารของชาวสเปน ที่จะมีการเสิร์ฟไวน์แดงผลไม้อย่างแซงเกรียและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ ก็จะต้องมีอาหารจานเล็กที่วางครอบอยู่บนฝาแก้ว ซึ่งในจานก็จะมีของทานเล่นขนาดพอดีคำอยู่
จึงกลายเป็นที่มาของชื่อในภาษาสเปนว่า “Tapa” หรือที่เราเรียกเป็นคำพหูพจน์แบบหลายจานหลายอย่างว่า “Tapas” นั่นเอง
เป็นแผ่นเนื้อไอเบอร์ริโก้ ก็ยังได้
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เรื่องราวความแตกต่างระหว่าง “Tapas กับ Canapé”
2
เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนพอนึกถึง Tapas ก็พลอยจะนึกถึง Canapé สไตล์ฝรั่งเศสตามไปด้วยแน่ ๆ เลย
คือเราเองเป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าใจผิดว่า มันก็เหมือน ๆ กัน
2 ภาพนี้จะเป็นลักษณะของ Tapas
แต่ว่า…อันที่จริงแล้ว มันก็มีความแตกต่างนะ
ก็พอจะสรุปเรื่องราวทางฝั่งของคานาเป้ (Canapé) ที่แตกต่างไปได้ ดังนี้
1. อย่างแรกเลยคือ Canapé เป็นวัฒนธรรมการทานอาหารของชาวฝรั่งเศส
คำว่า “คานาเป้ (Canapé)” มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า โซฟาหรือเก้าอี้ยาว ซึ่งจะเปรียบเปรยไปกับอาหารเรียกน้ำย่อยที่เป็นขนมปังโปะด้วยหน้าต่าง ๆ เหมือนกับคนนั่งอยู่บนโซฟา
(ตรงนี้ก็แตกต่างไปจากที่มาและการเปรียบเทียบของทาปาสแล้ว)
Canapé ที่หมายถึงโซฟา (Sofa Bed)
2. อย่างที่สอง คือ เรื่องของขนาดและปริมาณ
จุดที่ทำให้คานาเป้คล้ายคลึงกับทาปาส ก็คือ มีลักษณะการทานเป็นอาหารชิ้นเล็ก ทานพอดีคำ
เพียงแต่คานาเป้จะมีขนาดที่เล็กกว่าทาปาส (เช่นบางเมนูอาจใช้เป็นแครกเกอร์ชิ้นเล็ก ๆ ปาดด้วยสลัดทูน่า ทานหมดภายใน 1 คำ หรือถ้าเป็นพวกแนวเสียบไม้ ส่วนใหญ่เราจะเห็นเพียงแค่ชิ้นเดียว พอจะดูสวยงาม)
- อย่างที่สาม ชาวฝรั่งเศสจะนิยมทานคานาเป้ เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยกันจริง ๆ
หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “ออร์เดิร์ฟ (hors d’ oeuvre)”
(ไม่เหมือนวัฒนธรรมของสเปนที่ถ้ากินเพลิน ๆ คู่กับไวน์ผลไม้ ก็อาจกลายเป็นอาหารมื้อหลักไปเลย เน้นทานหลาย ๆ จานแทน)
- อย่างที่สี่ เราคิดว่าคานาเป้มันเหมือนเป็นศิลปะของการสร้างสรรค์เมนูอาหารเรียกน้ำย่อย (อันนี้ขอเป็นการใส่ความคิดส่วนตัวของเราเข้าไปสักหน่อย)
จากที่นั่งดูเมนูโดยส่วนใหญ่ของอาหารประเภทคานาเป้ ก็เหมือนว่ารูปลักษณ์ภายนอก รวมไปถึงรสชาติหรือความสมดุลของการวางวัตถุดิบก็จะต้องอยู่ปริมาณที่เหมาะสมดูสวยงามเสียมากกว่าเน้นการทานแบบสะใจนะ
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นคานาเป้หรือทาปาส ก็อาจจะมีรากฐานทางวัฒนธรรมอาหารมาจากที่เดียวกัน ก็คงต้องย้อนกลับไปในยุคสมัยโรมันที่จะนิยมทาน ลูกมะกอก ปลา ผักสด ชีส ซึ่งเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นคู่กับขนมปังปิ้ง นั่นเองจ้า
ก่อนที่ปัจจุบันจะแยกย่อยออกไปหลายประเภทหลายชื่อเรียกเนอะ
ขอแถมอีกนิดนึง
ทุกครั้งเวลาที่ทานทาปาสเนี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงการดื่มคู่กับไวน์ผลไม้แซงเกรีย (ส่วนตัวเราชอบเป็นแบบไวน์แดง)
แล้วไวน์แซงเกรียหรือซังกริอา (Sangria) คือไวน์อะไรเอ่ย ?
(พอพูดถึงชื่อไวน์ผลไม้นี้ทีไร จะนึกถึงเพลงของ Camila Cabello ตลอดเลย แห่ะๆ ต้องมีคนเป็นแบบเราบ้างแหละนะ อิอิ)
ว่ากันง่าย ๆ แซงเกรียหรือซังกริอา (Sangria) ก็คือ
ไวน์แดง (จริง ๆ แล้วเป็นไวน์ขาวก็มีนะ) + ผลไม้ + สมุนไพร + เหล้าอื่นๆ
ตรงนี้เพื่อน ๆ น่าจะเริ่มคุ้นกับบ้าง ว่ามันจะเหมือนกับไวน์ร้อนของทางเยอรมัน (Glühwein) นั่นเอง
ว่ากันว่าต้นกำเนิดของแซงเกรียและกลูไวน์ น่าจะมาจากวิธีการดื่มไวน์ผสมสมุนไพรและผลไม้ ของชาวโรมันที่เรียกกันว่า “Hippocras”
แล้วเพื่อน ๆ ทราบไหมว่าเจ้าเครื่องดื่มโบราณอย่าง Hippocras ก็ว่ากันว่าเป็นต้นกำเนิดของน้ำพันช์ (Punch) หรือน้ำผลไม้ที่กลุ่มนักล่าอาณานิคมชาวอังกฤษไปเรียนรู้สูตรมาจากชาวอินเดีย ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1632 อีกด้วยนะ
งานนี้ทางฝั่งชาวอังกฤษ(ของบริษัทอินเดียตะวันออก) เขาก็เคลมว่าพวกเขาเป็นคนนำน้ำผลไม้นี้มาผสมกับเหล้าและไวน์ จนกลายเป็นต้นแบบของแซงเกรียที่แท้จริงตะหากละ… ตรงนี้ก็นานาจิตตังกันนะ ฮ่า ๆ
ก็พอหอมปากหมอคอกันเช่นเคย
ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ขอจบเรื่องราวที่สุดท้าย(ไม่ค่อย)สั้น กันไปก่อน 🙂
โฆษณา