17 พ.ค. 2022 เวลา 23:00
ฌาน กับ พระอรหันต์
เพื่อความถ้วยรอบในฌาน ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า ฌาน กับความเป็นพระอรหันต์ โดยอาตมาจะยังอาศัยเอา มหาปรินิพพานสูตรบ้าง มหาลิสูตรบ้าง หรือสังโยชนสูตรบ้าง เป็นที่ตั้งเพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของฌานกับความเป็นพระอรหันต์นี้ อาตมาจะท้าวความให้กับพวกเราได้รับฟังว่า ในสมัยที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังจะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น ท่านสุภัททะ ได้เข้าไปถามปัญหากับองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงธรรมให้ท่านสุภัททะฟังว่า ดูกรสุภัททะ ในอริยะวินัยใดที่มีอริยมรรคมีองค์8 ในอริยวินัยนั้นมีสมณะที่1 สมณะที่2 สมณะที่3 และสมณะที่4 สมณะที่1 คือพระโสดาบัน สมณะที่2 คือพระสกทาคามี สมณะที่3 คือพระอนาคามี และสมณะที่4 คือพระอรหันต์
ลำดับต่อไปนี้ อาตมาจะนำเอามหาลิสูตร ข้อ239 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่9 มาแสดงให้พวกเราได้รับฟัง ถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ จากการแสดงธรรมขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับท่านมหาลีได้ฟัง จากข้อ253 ดังนี้
ภิกขุ อาสวานัง ขยา อนาสวัง เจโตวิมุตติง ปัญญาวิมุตติง
ทิฏเฐ ว ธัมเม สยัง อภิญญาสัจฉิกัตวา อุปสัมปัชช วิหรติ
ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบัน นี่คือคุณสมบัติของพระอรหันต์ อาตมาจะย้ำให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า ดูกรมหาลี ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบัน
1
จากเนื้อความแห่งธรรม เราจะเห็นว่า ความเป็นพระอรหันต์นั้น คุณสมบัติที่ชัดๆคือ ภิกษุทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ทำให้แจ้งด้วยปัญญาคือ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นเหตุดับทุกข์ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออก จากผัสสายตนะทั้ง6 ตามความเป็นจริง นี่คือเห็นด้วยปัญญา ทำให้แจ้งเองจนบรรลุเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ
เจโตวิมุตติ คือ คุณสมบัติที่อาตมาชี้ให้ดู คือนิโรธ ปัญญาวิมุตติ คือมรรค
หรือ เจโตวิมุตติคือสมถะ ปัญญาวิมุตติ คือวิปัสสนา อาตมาได้ชี้ให้พวกเราได้ดูแล้ว นี่คือคุณสมบัติ
เมื่อบรรลุเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติแล้ว อันไม่มีอาสวะ อาสวะสิ้นเกลี้ยงแล้ว เพราะอาสวะไม่มีในปัจจุบันนี้ ไม่มีเลย อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปแล้วอยู่ในปัจจุบัน สิ้นไปแล้วอยุ่ในปัจจุบันนี้ อาสวะสิ้นไปแล้ว
ดังนั้น อาตมาจะชี้ให้ดูในลำดับของความเป็นพระอรหันต์ว่า พระอรหันต์นี้ ท่านบรรลุธรรมอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะเพราะอาสวะสิ้นไป แล้วอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์นี้มาทำให้เกลี้ยง มาทำให้สิ้นอาสวะตอนเป็นพระอรหันต์นะ ไม่ใช่ แต่ความสิ้นอาสวะนี้ ได้มาจากความเป็นพระอนาคามีแล้ว สังโยชน์ 10 สิ้นมาตั้งแต่ความเป็นพระอนาคามีแล้ว ถ้าไม่สิ้นมาแล้วจะเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
เพราะพระอรหันต์นั้น จะยังเป็นผู้ยังมีอานาสวะหรืออาสวะอยู่ไม่ได้ ถ้ายังมีอาสวะ หรืออนาสวะอยู่ ก็แสดงว่า ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ความเป็นผู้สิ้นอาสวะ สิ้นมาตั้งแต่ความเป็นอนาคามี ปฏิบัติมาแล้ว สังโยชน์ 10 ได้สิ้นมาแล้ว ตั้งแต่ความเป็นพระอนาคามี ให้พวกเราได้เห็นดังนี้
ดังที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า เมื่อท่านบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสส นั่นก็หมายถึงว่า ท่านได้สิ้นอาสวะแล้ว ท่านจึงเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้ายังมีอาสวะ หรือยังมีกิเลสอยู่ ก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ความเป็นพระอรหันต์ต้องเป็นผู้สิ้นอาสวะ หรือไม่มีอานาสวะใดๆแล้ว นี้คือคุณสมบัติ
ดังนั้นชี้ให้พวกเราดูตรงนี้ว่า การที่บุคคลจะลำดับตนในการปฏิบัติธรรมตามลำดับ ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า ที่เบื้องต้นเป็นโสดาบัน ลำดับต่อมาเป็นพระสกทาคามี ลำดับต่อมาเป็นพระอนาคามี และที่สุดเป็นพระอรหันต์นั้น จะต้องเกิดจากการที่บุคคลผู้นั้น ได้ฟังธรรมเนื่องๆ ได้จำติดปาก ได้จำขึ้นใจ ได้แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาก่อน
จนมาบรรลุคุณสมบัติที่น่ามหัศจรรย์ คือได้อานิสงส์แห่งการฟังธรรม 4ประการ
1 บรรลุธรรมขึ้นเอง
2 ฟังพระอรหันต์แล้วรู้ตามธรรม
3 ฟังเทวะบุตรแสดงธรรมแล้วรู้ตามธรรม
4 ฟังผู้รู้แสดงธรรมให้ฟังก็รู้ตามธรรม
และบรรลุอจินไตน4 คือ พุทธวิสโย ฌานวิสโย กรรมวิปาโก โลกจินตา ตามลำดับ บุคคลผู้นี้จึงจะเป็นบุคคลผู้ที่ รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค ตามลำดับ หรือคุณสมบัติที่พวกเราได้รับฟังเสมอๆว่า ภิกษุเป็นผู้รู้เหตุเกิด รู้เหตุดับ รู้คุณ รู้โทษ รู้อุบายเครื่องออกจากผัสสายตะทั้ง6 ตามความเป็นจริง ภิกษุนั้นเป็นผู้รู้ยิ่งกว่าใครทั้งมวล นั่นคือคุณสมบัติ
ถ้าแยกตามคุณสมบัติของอริยสัจ4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคแล้ว ทุกข์กับสมุทัย เป็นฝ่ายเหตุเกิดทุกข์ นิโรธกับมรรค เป็นฝ่ายดับทุกข์ การที่จะปฏิบัติธรรมฝ่ายดับทุกข์นั้น ไม่ใช่แค่ฟังและพูดเท่านั้น แต่จะต้องกระทำการปฏิบัติจริงๆ
โดยธรรมที่พระศาสดา แสดงเอาไว้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเพื่อความดับทุกข์ คือธรรมทีชื่อว่าโพธิปักขิยธรรม อันประกอบไปด้วย สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 และมรรคมีองค์8
ในการปฏิบัติธรรมนี้ ข้อที่เป็นที่สุด ที่อาตมาชี้ให้พวกเราได้ดูเสมอก็คือ ข้อสัมมาสมธิจะต้องเกิดจากการกระทำฌานเท่านั้น ในการปฏิบัติธรรมไปตามลำดับจะต้องกระทำฌาน ในการรกะทำฌานของบุคคลผู้เข้ามาสู่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหัตตผลนั้น จะต้องทำไปตามลำดับ ความได้มาซึ่งโสดาบันนั้นจะต้อง เป็นผู้ละสังโยชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสสิ้นไป ในโสดาบันแล้ว สิ้นไปในโสดาบัน
พอมาถึงพระสกทาคามีนั้น สังโยชน์ 3 นี้สิ้นมาแล้ว สิ้นมาตั้งแต่โสดาบัน ก็ยังมีคุณสมบัตินี้อยู่ ก็คือสิ้นอยู่เหมือนเดิม และกระทำกาม ปฏิฆะ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ตนุชตา ให้เบาบาง พอสิ้นเกลี่ยงไปก็สู่ความเป็นพระอนาคามี สังโยชน์ 5 สิ้นตั้งแต่พระสกทาคามีแล้ว พอมาถึงพระอนาคามี คุณสมบัติแห่งความสิ้นสังโยชน์ 5 ก็สิ้นมาตั้งแต่ พระสกทาคามี
จึงเป็นผู้ที่ ปัญจันนัง โอรัมภาคิยานัง สัญโญชนานัง ปริกขยา
เป็นผู้ที่ได้รับคุณสมบัติแห่งความสิ้นสังโยชน์เบื้อต่ำ 5 สิ้นไป ตั้งแต่พระสกทาคามีแล้ว จึงมาเป็นพระอนาคามี
ในขณะที่เป็นพระอนาคามีนี้ ท่านก็กระทำการละ สังโยชน์เบื้องสูงอีก5 ข้อ คือรูปราคะ อรูปราคา มานะ อุทธัจจะกุกกุจจะ อวิชชานั้นให้สิ้น พอสิ้นอาสวะ หรือสิ้นสังโยชน์ 10 ในพระอนาคามีแล้ว พระอนาคามีจึงสามารถปรินิพพานได้ การปรินิพพานในลักษณะ 7 ประการของพระอนาคามี เราไปพูดกันทีหลัง
แต่ตอนนี้เรามาดูว่า พออาสวะทั้งหมดสิ้น หรือสังโยชน์ทั้ง 10 สิ้น จึงสามารถก้าวเข้าเป็นพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์นั้นจะมีอาสวะ หรือมีกิเลสอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นผู้มีอาสวะมีกิเลสอยู่ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้
องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะบรรลุอุตตริมนุสสธรรม อลมริยญาณทัสสนวิเสส ไม่ได้ ถ้าท่านยังมีกิเลสอยู่ แต่ท่านกระทำฌานละกาม ละอกุศลธรรม จนเกลี้ยงจนสิ้นแล้ว ท่านจึงบรรลุอุตตริมนุสสธรรมอ ลมริยญาณทัสสนวิเสส เป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อาสวะท่านเกลี้ยงท่านสิ้นแล้ว คุณสมบัติของความเป็นพระอรหันต์ คือความเกลี้ยง ความสิ้นอาสวะทั้งสิ้น ถ้ายังมีอาสวะอยู่ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นให้เราดูความลึกว่า สังโยชน์ 10 นี้หมดตั้งแต่ความเป็นพระอนาคามีแล้ว ผู้เป็นพระอรหันต์นี่ก็คือ ดังที่ในมหาลิสูตรนี้ว่า ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ก็คือเกลี้ยงสิ้นจากอาสวะ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบัน สิ้นแล้ว สิ้นแล้วอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เพิ่งมาทำ ให้เราเห็นตรงนี้
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดจากการกระทำฌาน ถ้าไม่กระทำฌาน ถ้าแค่พูด และฟัง และศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ ไม่ได้ ใครๆไม่อาจดำเนิน ปฏิปทานี้ ด้วยเหตุสักแต่ว่าพูด หรือฟัง เท่านั้น ทำไม่ได้ จะแค่พูดแค่ฟังทำไม่ได้ ต้องผู้มีปัญญา ผู้มีฌาน จึงจะก้าวข้ามเครื่องผูกของมาร ด้วยปฏิปทาอันมั่นคงนี้ ต้องกระทำฌานมาตามลำดับ
ฌาน1 วิวิจเจวะ กามเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ
ละกามลอกุศลธรรม หรือเว้นกาม เว้นจากอกุศลธรรม หรือสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม คือละสังโยชน์10 หรือละนิวรณ์5 หรือละโลภ โกธร หลง ให้หมด จึงจะได้ปีติอันเกิดแต่วิเวก องค์ธรรมแห่งฌาน1
ก้าวล่วงาได้ฌาน2 นิรามิสัง สุขัง คือ ได้สุขเสมือนปราศจากอามีส
จึงจะก้าวล่วงมาสุ่ความเป็นฌานที่3 คืออทุขมสุขเวทนา ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นผู้อุเบกขาอยู่ จึงได้สภาวะที่4 คือ เป็นผู้สงบ เป็นผู้ดับแล้ว เป็นผู้ไม่มีอุปทานใดๆแล้ว นี่คือองค์คุณแห่งการปฏิบัติตามลำดับของฌาน จึงจะสิ้นไป สิ้นไป ตามลำดับ
อาตมาชี้ให้พวกเราดูตรงนี้ว่า การที่ท่านได้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์นั้น จะต้องเกิดจากการกระทำฌาน เหมือนที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ใน จูฬทุกขักขันธสูตรว่า เรานั้น ถ้ายังเว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ไม่บรรลุปีติ หรือกุศลธรรมอื่นที่สงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เราจะปฏิฌานตนไม่ได้ว่า เราจะไม่เวียนมาในกามก่อน
แต่เมื่อใดที่เราละกาม ละอกุศลธรรมจนบรรลุปีติ หรือกุศลธรรมอื่นที่สงบยิ่งขึ้นกว่านั้น เราจึงปฏิญาณตรได้ว่า เราไม่เป็นผู้เวียนมาในกามนี้ ก็คือไม่กลับไปในทุกข์ ต้องสิ้นต้องเกลี้ยงก่อน
ชี้ให้ดูว่า ชี้ให้ดูว่า การกระทำฌาน คือ การปฏิบัติละกาม ละอกุศลธรรมออก จนสิ้นอาสวะ จึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ นี่คือคุณสมบัติของการกระทำฌานตามลำดับ เรื่องของรายละเอียดของการกระทำฌานนั้น
อาตมาได้แสดงอนุปทสูตร ตามธรรมของพระศาสดาให้กับพวกเราได้รับฟังแล้ว ว่าทำยังไงเป็นขั้นๆ เดี๋ยวลำดับต่อไปเราค่อยพูดถึงรายละเอียดว่า ทำรวบกันไป 1 2 3 4 ฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 ทำรวบกันไปเป็นอย่างไร เราค่อยแสดงรายละเอียดกันเป็นลำดับๆไป
แต่ตอนนี้ให้พวกเราได้รู้ว่า การที่จะได้โสดาบัน การที่จะได้สกทาคามี การที่จะได้อนาคามี และจนที่สุดการได้พระอรหันต์นั้น ต้องเกิดจากการกระทำฌาน ละกาม ละอกุศลธรรม ออกหมดตามลำดับ ดังที่ชี้ให้ดูในมหาลิสูตรนี้ว่า ข้ออื่นยังมีอีก ภิกษุทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง บรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่มีอาสวะเลย ไม่ใช่มาละเอาใหม่ ต้องละมาจนเกลี้ยง จนสิ้นตั้งแต่พระอนาคามีแล้ว จึงเข้ามาสู่ความเป็นพระอรหันต์ แล้วอยู่ไป จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวอย่างไรก็อยู่ เมื่อจบที่สุดก็คือปรินิพพาน แต่พระอนาคามีนั้นปรินิพพานได้ ปรินิพพานในอายุที่เป็นอย่างไร ยาวหรือสั้นอย่างไร เดี๋ยวตอนต่อไป อาตมาจะชี้ห้ดูว่า อนาคามี7 นั้น ปรินิพพานอย่างไร
ตอนนี้ให้พวกเราได้รับทราบว่า ความได้มาซึ่งความเป็นพระอรหันต์นั้น เกิดจากการกระทำฌาน มาตามลำดับ ตั้งแต่เข้าสู่กระแสโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และความเป็นพระอรหันต์ ต้องกระทำฌานเท่านั้น
อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันศุกร์ที่ 4 เดือน มิถุนายน ปี 2564

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา