23 พ.ค. 2022 เวลา 10:20
พระไตรปิฎก นั้นเป็น อรหันตสาวก แสดงธรรม พระศาสดาอยู่ทั้งสิ้น
เพื่อความถ้วนรอบในธรรม ลำดับต่อไปนี้อาตมาจะแสดงธรรมในหัวข้อธรรมว่า ธรรมในพระไตรปิฏก เป็นอรหันตสาวก แสดงธรรม ของพระศาสดาอยู่ทั้งสิ้น โดยอาตมาได้อาศัยเอาพระไตรปิฎกทุกๆเล่ม ทุกๆพระสูตรเป็นที่ตั้ง เพื่อแสดงธรรมนี้ ขอพวกเราได้รับฟังไปตามลำดับเถิด
ในเรื่องของ ธรรมในพระไตรปิฏก เป็นอรหันตสาวกแสดงธรรมของพระศาสดาอยู่ทั้งสิ้นนี้ สืบเนื่องจากในเบื้องต้นโน้น ปวงญาติของอตมาได้ตั้งคำถามกับอาตมาว่า เพราะเหตุใดเมื่อบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด เข้าไปศึกษาพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว
จึงไม่สามารถรู้จริง ไม่สามารถแทงตลอด ในพระธรรมคำสอนนั้นๆ จนเป็นที่ถ้วนรอบได้ จนเป็นเหตุให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่โดยทั่วไป นั่นเพราะเหตุใด?
ในเรื่องนี้ อาตมาได้แสดงธรรมในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับพวกเราได้รับฟังมาตามลำดับแล้วว่า พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์
อิธ เกวัฏฏ อนุสาสนิปาฏิหาริยัง
อิธ เกวัฏฏ ภิกขุ เอวมนุสาสติ
เอวัง วิตักเกถ มา เอวัง วิตักกยิตถ
เอวัง มนสิกโรถ มา เอวัง มนสิกโรถ
อิทัง ปชหถ อิทัง อุปสัมปัชช วิหรถาติ
ดูกรเกวัฏฏ ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์นั้นเป็นไฉน?
ดูกรเกวัฏฏ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพร่ำสอนกันอยู่อย่างนี้ว่า ท่านจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น ท่านจงทำใจในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำใจในใจอย่างนั้น ท่านจงละสิ่งนั้น จงเข้าถึงสิ่งนี้แล้วอยู่
นี้คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ ประกอบไปด้วยองค์ธรรม 3 ประการ
คือ 1 ศรัทธา หรือศาสดา
พระธรรม 3 ผู้ฟัง หรือสาวก
องค์ประชุม 3 นี้คือองค์ประชุม แห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์
ประกอบกับพระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีคุณสมบัติที่ คัมภีรา ทุททสา ทรุนุโพทา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา คือ ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดเดาไม่ได้ ละเอียดสุด บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง
จากคุณสมบัติ 2 ข้อนี้ เป็นเหตุให้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมนี้ ไม่มีพระองค์ใดดำริ หรือคิด หรือสังการให้ใครกระทำการรวบรวมพระธรรมคำสอน ในพระองค์ท่านเป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกเลย
นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อรวบรวมพระธรรมสอนเป็นบทพยัญชนะ เป็นพระไตรปิฎกแล้ว สภาวะของบทพยัญชนะ ของพระไตรปิฎกนั้น จะเป็นสภาวะที่นิ่ง ตายตัวอยู่เท่านั้น เป็นสภาวะที่นิ่ง ที่เงียบ ตายตัวอยู่เท่านั้น
เมื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด เข้าไปอ่านศึกษาพระธรรมคำสอนแล้ว เมื่อตนเองรู้เรื่องนั้นแล้ว เมื่อถามพระไตรปิฎกซ้ำ พระไตรปิฎกก็จะตอบไม่ได้ว่า ที่ท่านเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว ตอบไม่ได้
ถ้าเมื่อผู้อ่านผู้ศึกษาเกิดความข้องใจสงสัยในอรรถในธรรมใดๆ เราจะซักถาม สอบทวน สอบถาม พระไตรปิฎกว่า ที่ข้าพเจ้าเข้าใจตรงนี้ถูกหรือไม่อย่างไร พระไตรปิฎกก็จะตอบเพิ่มไม่ได้ บอกต่อไม่ได้ อธิบายรายละเอียดอีกไม่ได้ นี่คือสภาวะที่นิ่งที่เงียบอยู่
เหล่านี้ เป็นเหตุให้ผู้ศึกษาพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกแล้ว จึงไม่รู้จริง จึงไม่แทงตลอด ในพระธรรมคำสอนนั้นๆจนเป็นที่ถ้วนรอบได้ จนเป็นเหตุให้เกิดความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่โดยทั่วไป
หลักฐานที่ว่า กล่าวตู่นั้นก็คือเห็นผิดในบทพยัญชนะ เห็นผิดในอรรถ อยู่โดยทั่วไปดังที่อาตมาแสดงมาโดยลำดับ และเมื่อปฏิบัติแล้ว จะไม่เกิดผลเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายแต่อย่างใดเลย ไม่มีใครบรรลุธรรมจากการอ่าน การศึกษาพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกที่เห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่อยู่นี้เลย ไม่ได้ แล้วที่นี้ เมื่อเกิดพระไตรปิฎกขึ้น เกิดขึ้นด้วยเหตุใด มีเหตุปัจจัยใดทำให้เกิดขึ้น อาตมาได้แสดงแล้ว
ดังนั้นเราจะเห็นองค์ประชุมแห่งการเกิดขึ้นของพระไตรปิฎก นั่นคือ ท่านพระมหากัสสปะ เป็นประทานสงฆ์ ท่านพระอานนท์เป็นผู้ที่มั่นคงหรือเป็นเอตทัคคะในพระสูตร พระอุบาลี เป็นผู้มั่นคงหรือเม่นยำที่สุด เป็นผู้คงแก่ความเป็นพระวินัย
พระโสณะ กุฏิกัณณะและอรหันตสาวก อีกจำนวน100 200รูป ที่ร่วมกันทำการสังคายนานั้น เป็นผู้ซักถามสอบถาม สอบทวน ทบทวนเนื้อความแห่งธรรมให้เห็นที่ถูกต้องร่วมกันอยู่ นี่คือองค์ประชุมแห่งการเกิดขึ้นของพระไตรปิฎก ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
เมื่อท่านพระอานนท์แสดงพระสูตร ผู้ฟัง ก็จะเป็นพระอรหันต์เป็นผู้ฟัง เมื่อเห็นถูกต้องก็จะยอมรับ นับกันว่านี่ถูกต้องแล้ว เมื่อท่านพระอุบาลีแสดงพระวินัย ทุกคนก็เป็นพระอรหันต์เป็นผู้ฟัง ไม่มีคนที่เป็นปุถุชนฟังอยู่เลย
เมื่อแสดงธรรมแก่กันและกันอยู่ เนื้อความแห่งธรรม เมื่อปรากฏที่ถูกต้อง ท่านก็เป็นพระอรหันต์ร่วมกัน ด้วยกัน ท่านก็เข้าใจเนื้อความแห่งธรรมนั้น ด้วยกันร่วมกันเลย ก็ไม่ได้เกิดปัญหาว่า จะต้องอธิบายตรงนี้ ที่คนน่าจะไม่เข้าใจ ท่านก็ไม่อธิบาย ไม่มีความแทรกความซ้อนในการอธิบาย โดยพระอรหันต์กลุ่มนี้เลย
อาตมาจึงระบุว่า การแสดงธรรมในพระไตรปิฎกนั้น เป็นอรหันตสาวกแสดงธรรมของพระศาสดาอยู่ทั้งสิ้น เพราะตอนนี้องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมนั้น ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปก่อนแล้ว ท่านไม่รู้เรื่องนี้ ท่านไม่ได้ดำริ ไม่ได้คิดสั่งการในเรื่องนี้ ท่านไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจในเรื่องของการกระทำพระไตรปิฎกเลย เป็นภาวะ ภาระหน้าที่ของอรหันตสาวก ที่มีประทานสงฆ์คือท่านพระมหากัสสปะเท่านั้น
ดังนั้นเนื้อความแห่งธรรมที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากกรณีที่พระสุภัททะกล่าวจาบจ้วงต่อองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ค่อพระสงฆ์ ดังที่อาตมาได้แสดงในตอนที่แล้วว่า ท่านนำเอาพรหมชาลสูตรมาเป็นเบื้องต้น
เพื่อชี้ให้เห็นว่าถ้าใครกล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์แล้ว ในคำกล่าวตินั้นให้เธอกล่าวแก้ ให้เห็นเป็นจริงว่า นั่นไม่จริงเพราะเหคุนี้ นั่นไม่แท้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่มีในเราเพราะเหตุนี้ และแม้คำนั้นก็หาไม่ได้ในเราเพราะเหตุนี้ ให้เธอกล่าวแก้ ให้แก้ให้ถูกต้อง ห้ามปล่อยปะละเลย พระศาสดากำชับเอาไว้ สังการเอาไว้ เป็นหลักธรรมเลย ต้องกล่าวแก้
และถ้าเมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใด กล่าวชมพระพุทธเจ้า กล่าวชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ให้เธอปฏิญาณ ให้เธอยืนยัน ว่านั่นจริงเพราะเหตุนี้ ว่านั่นแท้เพราะเหตุนี้ ว่านั่นมีในเราเพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็หาได้ในเราเพราะเหตุนี้ เธอต้องยืนยัน ผู้รู้ต้องยืนยัน
ดังนั้น บทธรรมที่ท่านนำมาทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นบทธรรมที่เป็นหมวด เป็นหมวดๆๆอยู่ ไม่ได้เป็นบทธรรมที่เป็นลำดับที่1 เบื้องต้นดังนี้ ท่ามกลางเป็นดังนี้ เบื่องปลายเป็นดังนี้ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่
เราดูในเนื้อความแห่งธรรม ในพระไตรปิฎก พระสูตรเล่มที่1 คือเล่มที่9 จะเป็นพระสูตรที่แสดงวิชชาและจรณะอยู่ ทั้ง 13 พระสูตร รวมทั้งพระสูตรที่1 คือพรหมชาลสูตร ที่อาตมาแสดง
เป็นวิชชาและจรณะ ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นำมาประกาศ ให้หมู่มวลมนุษยชาติได้รู้ตาม ได้ปฏิบัติตาม เพื่อความสิ้นทุกข์โดยถ้วนรอบ ทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า หรือใครก็ตาม จะต้องมีวิชชาและจรณะ ตามเนื้อความแห่งธรรมในพระสูตรเล่ม9 สิบสามพระสูตร ต้องรู้ตาม
หลังจากนั้นเล่มที่10 ก็พูดถึงภาพรวมของการเกิดพระธรรมคำสอนขึ้น แม้กระทั่งในมหาปรินิพพานสูตรนั้น แสดงปรินิพพานสูตรแล้ว ที่จริงปรินิพพานสูตรควรจะอยู่ท้ายสุด คือตอนที่องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมแล้วจึงไปจบ ไม่ใช่เลย
เล่ม12 ก็เป็นการแสดงธรรมภาพรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมด เราจะต้องเห็น
เล่ม13 เป็นการแสดงพระสูตรที่เกี่ยวกับการกระทำฌาน การปฏิบัติธรรมอยู่โดยมาก
เล่ม14 เป็นสมถะและวิปัสสนา นั่นคือการแสดงบทธรรมที่ชื่อว่ามหาจัตตารีสกสูตร หรือมรรคมีองค์8 หรือโพธิปักขิยธรรมอยู่ที่นั่น
เล่ม16 เป็นบทธรรมเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
พอเล่ม17 เป็นบาทธรรมย่อ ของปฏิจจสมุปบาทคือขันธ์5
นี่คือบทธรรมที่ท่านรวบๆเป็นหมู่ๆเอาไว้ รวบรวมเป็นหมู่ๆเอาไว้ หรือพระสูตรใด ที่ไม่เข้ากับหมวดโดยตรง ท่านก็เอามาอนุเคราะห์ มาแฝงเอาไว้ มารวมเอาไว้ ในหมวดนี้ มีคุณสมบัติที่เป็นธรรมคล้ายกัน
นั่นเป็นธรรมที่อรหันตสาวกต้องการที่จะให้เป็นหลักฐานว่า ถ้าใครเห็นผิดในกลุ่มธรรมนี้ ดูหมวดธรรมเหล่านี้ เล่มนี้ ถ้าใครเห็นผิดในหมวดธรรมเหล่านี้ให้ ดูเล่มนี้ๆๆ พระสูตรที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก จึงไม่เป็นลำดับที่ เป็นเบื้อต้น ท่ามกลาง บั้นปลายแต่อย่างใด
นั่นหมายถึงว่า ถ้าองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านจะเขียน หรือถ้าท่านจะรวบรวม ท่านได้กล่าวแสดงเอาไว้ใน คณกโมคคัลลานสูตร
ว่า สักกา พราหฺมณ อิมัสมิง ธัมมวินเย อนุปุพพสิกขา
อนุปุพพกิริยา อนุปุพพปฏิปทา ปัญญาเปติ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราอาจบัญญัติการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติไปตามลำดับ ในธรรมวินัยได้
ถ้ามีการเขียนได้ท่านก็จะต้องเขียนตามคำตรัสของท่าน
ยถาวาที ตถาการี ตถาการี ยถาวาที
ถ้าท่านพูดอย่างไร ท่านต้องทำอย่างนั้น
ถ้าท่านทำอย่างไร ท่านต้องพูดอย่างนั้น
แต่เนื่องจากการเขียนพระไตรปิฎก หรือการรวบรวมพระไตรปิฎกนั้น จะกระทำเป็นบทพระสูตรเบื้องต้น ท่ามกลางได้นั้น องค์ประชุมแห่งการเป็นพระไตรปิฎกจะต้องเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่พอพระไตรปิฎกเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ไม่ได้ ท่านก็จึงไม่รวบรวมไม่เขียน เราต้องรับทราบตรงนี้
คือถ้าจะแสดงธรรม หรือบอกธรรมแก่กัน แสดงธรรมแก่กัน ก็จะต้องเป็นลำดับ
อนุปุพสิขา อนุปุพกริยา อนุปุพปฏิปทา ต้องเป็นไปตามลำดับ ต้องเรียนไปตามลำดับ ศึกษาไปตามลำดับ กระทำไปตามลำดับ ปฏิบัติไปตามลำดับเท่านั้น จะไม่มาทำเป็นหมวด เป็นหมวด เป็นหมวด เหมือนอรหันตสาวกแสดงเอาไว้นี้
ดังนั้นพอแสดงเป็นหมวดๆๆ ผู้อ่าน ผู้ศึกษาก็จะเห็นหมวดธรรม ที่ควรจะเป็นที่สุด กลับมาอยู่เบื้องต้น ควรจะอยู่เบื้องต้นกลับไปอยู่เบื้องปลายดังนี้ ผู้ไม่รู้จริงไม่แทงตลอด โดยคุณสมบัติที่อาตมาได้แสดงแล้วนั้น จะเกิดความเป็นมิจฉา และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนอยู่โดยทั่วไป ดังที่พวกเราได้เกิดความสงสัยกัน
ดังนั้นให้พวกเราได้รับทราบเถอะว่า ธรรมในพระไตรปิฎกนั้น องค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ประกาศแล้วตลอดพระชนม์ชีพ แต่หลังที่ท่านปรินิพพานแล้ว อรหันตสาวกได้นำมารวบรวมเอาไว้ พระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎกนั้น จึงเป็น อรหันตสาวกแสดงธรรม ของพระศาสดาอยู่ทั้งสิ้น โดยมีผู้ฟังในตอนนั้น ในขณะนั้น ในขณะแสดงธรรมนั้น เป็นอรหันตสาวกแสดงธรรมด้วยกัน
เรื่องนี้จะไปเกี่ยวในตอนหน้าว่า โข อิทธิมา เจโตวสิปปัตโต เทวปริสาย ธัมมัง เทเสติ ตัสสะ เอวัง โหติ อยัง วา โส ธัมมวินโย ยัตถาหัง ปุพเพ พรหมจริยัง
เมื่อภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความชำนาญแห่งจิต ได้แสดงธรรมแก่เทพบริษัทอยู่ นี่คืออาการที่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ คืออรหันตสาวก แสดงธรรมแก่เทพบริษัทอยู่ นี่ตรงนี้ เรื่องนี้ เรื่องของธรรมในพระไตรปิฎก เป็นอรหันตสาวกแสดงธรรมของพระศาสดาอยู่ทั้งสิ้น
พระศาสดาท่านไม่รับรู้ ท่านไม่ได้ดำริ ไม่ได้สังการในเรื่องนี้ ท่านปรินิพพานไปก่อนแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการที่อรหันตสาวก ได้รวบรวมคำสอนของพระองค์ท่าน ไว้เป็นหลักฐาน เพื่อป้องกัน ป้องปราม บุคคลผู้ที่จะกล่าวติองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวติพระธรรม กล่าวติพระสงฆ์ หรือกล่าวจาบจ้าง ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้น
เป็นบทบาทหน้าที่ของท่าน ที่ท่านกระทำด้วยความรักความศรัทธายิ่ง เพราะท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ ที่ปฏิบัติตามธรรมของพระศาสดาแล้ว ได้รับผลนั้นโดยถ้วนรอบทุกคนแล้ว เมื่อมาฟังธรรมด้วยกัน ก็จะไม่มีใครคัดค้าน คัดแย้งขัดแย้งใดๆ เพราะท่านได้รู้เนื้อธรรมนั้นแล้ว ที่บุคคลผู้ที่ไม่ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติปางก่อน ก็จะเกิดปัญหาดังที่พวกเราได้รับทราบร่วมกันนี้
ในตอนนี้ให้เราได้รับรู้เถิดว่า ธรรมในพระไตรปิฎกนั้น เป็นอรหันตสาวกแสดงธรรมของพระศาสดาอยู่โดยทั้งสิ้น บทธรรมที่ปรากฏนั้นจึงไม่เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายแต่อย่างใด เพราะไม่ได้กระทำการรวบรวมไว้เพื่อเป็นตำรา ให้ใครมาศึกษาเล่าเรียนแล้วจะรู้ตามธรรมได้โดยง่าย ปฏิบัติตามธรรมนั้นได้โดยง่าย แล้วสิ้นทุกข์ออกจากวัฏสงสารตามลำดับนั้นเลย ไม่ใช่
แต่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น หรืออุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ที่ใครจะสามารถรู้ตามธรรมนี้ได้ จะต้องเป็นบุคคลผู้ที่มีคุณสมบัติกังที่อาตมาจะแสดงไปโดยลำดับ
ตอนนี้ อนุโมทนากับทุกคนเอาไว้เท่านี้
แสดงธรรมโดย หลวงพ่อ พุทธปัญโญ
วันพุธที่ 9 เดือน มิถุนายน ปี 2564

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา