3 มิ.ย. 2022 เวลา 04:32 • หนังสือ
#65 CWG. 4️⃣ — บทที่ 1️⃣7️⃣ (ตอนที่ 2) : “ทุกความคิด” ที่เธอเก็บหรือยึดถือไว้ในใจนั้นคือ “การอธิษฐาน” หรือการร้องขอให้สิ่งนั้นบังเกิดขึ้นในชีวิตเธอ
▪️ผู้แปล : แอดมิน
{🔸ซึ่งผมอาจนำคำแปลบางส่วน ของคุณซิม จากเพจ Books for Life มาใช้ด้วยครับ ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ที่ทำให้งานแปลมันสมบูรณ์ขึ้นครับ 🙏 นี่เป็นงานแปลที่ผมตั้งใจแปลมาก ๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ🔸}
Q : Yes, I know. And I have changed a lot of the way I think. But still, not every thought that runs through my head is worth sharing with another.
นีล : ครับ ผมทราบ และผมก็เปลี่ยนวิธีที่ผมคิดไปมากแล้ว แต่ก็นะ ไม่ใช่ทุกความคิดที่แล่นผ่านสมองของผมมีค่าพอที่จะแบ่งปันกับคนอื่นนี่ครับ
A : Then don’t. Only share the thoughts that you hold onto.
พระเจ้า : ก็ไม่ต้องแบ่งปันทั้งหมด แบ่งปันแค่เฉพาะความคิดที่เธอเก็บไว้ในใจ (หรือความคิดที่เธอยึดถือไว้) ก็พอ
By the way, you do know, don’t you, that every thought you hold onto is a prayer?
ว่าแต่เธอรู้ใช่ไหม ว่าทุกความคิดที่เธอเก็บหรือยึดถือไว้ในใจคือ “การอธิษฐาน” ❓ (หรือการร้องขอให้สิ่งนั้นบังเกิดขึ้นในชีวิตเธอ)
.
Q : No pressure.
นีล : ไม่กดดันกันสักเท่าไหร่เลยนะครับ
A : Actually, there is none for Highly Evolved Beings. All they do is immediately change their mind if they experience a thought moving through their mind that they don’t wish to manifest.
พระเจ้า : แท้จริงแล้วไม่มีความกดดันใดๆสำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือ เปลี่ยนใจ (ความคิด) ในทันทีที่พวกเขาประสบกับความคิดที่พวกเขาไม่ต้องการให้ปรากฏขึ้นในโลกความจริงของพวกเขาผ่านเข้ามาในจิตใจ
If they have any fleeting negative idea at all, they don’t give it a second thought.
หากความคิดในแง่ลบเกิดขึ้นในใจของพวกเขาแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาจะ “ไม่เสียเวลาคิดต่อ” เลยแม้เพียงชั่วขณะเดียว★
★เมื่อไม่คิดต่อ มันก็ไม่มีเชื้อหรือพลังงานที่หล่อเลี้ยงให้ความคิดลบนั้นดำรงอยู่ต่อไปได้ มันก็หายไปของมันเอง นี่แสดงให้เห็นว่า สติ หรือ การรู้เท่าทันอารมณ์ความคิดของพวกเขาบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว อย่างว่า ไม่งั้นพวกเขาจะเป็น สวส. (หรืออาจเรียกพวกเขาได้ว่าผู้รู้แจ้ง) ได้ยังไง
—แอดมิน—
After a while of doing this, they’ve trained their mind never to consider for more than a nanosecond any thoughts that they do not wish to see begin to take shape in their reality. They just don’t hold onto them. They let them go immediately, and move to a new and more positive thought.
หลังจากทำแบบนี้ไปสักพัก พวกเขาได้ฝึกฝนจิต ให้ไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ปรารถนาให้ปรากฏขึ้นในโลกความจริงของพวกเขาได้ในระดับนาโนวินาที★ พวกเขาก็แค่ไม่เก็บมันเอาไว้ พวกเขาปล่อยมันออกไป (หรือละวางมันได้) ในทันที และเปลี่ยนไปหาความคิดใหม่เชิงบวกแทน
★นาโนวินาที = หนึ่งส่วนล้านของหนึ่งวินาที –แอดมิน–
You might call this a New Thought Movement, and you could join in groups that choose to engage in this very practice.
1
เธออาจเรียกสิ่งนี้ได้ว่า “กระบวนการเปลี่ยนความคิดใหม่” และเธอก็สามารถไปร่วมกิจกรรมหรือร่วมฝึกฝนกับกลุ่มที่ฝึกกันในเรื่องนี้ได้
.
Q : Yes, you’ve said that to me before.
นีล : ครับ พระองค์เคยบอกผมแล้วก่อนหน้านี้
A : And I’ll do so again, no doubt, if it serves the moment at hand.
 
พระเจ้า : และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉันจะบอกเธออีกครั้ง ถ้ามันช่วยเธอได้ในตอนนี้
So keep new thoughts moving through your mind if a passing thought is anything but positive. Then, when the thought you are holding is positive, yes, of course feel free to share it with anyone who it might concern, or who might have a reason to be interested.
ดังนั้น จงปล่อยให้ความคิดไม่ดีที่เกิดขึ้นเคลื่อนผ่านจิตใจของเธอ (ปล่อยมันไป อย่ายึดหรือเก็บมันเอาไว้)★ จากนั้น หากเรื่องที่เธอกำลังคิดหรือเก็บไว้อยู่นั้นเป็นไปในเชิงบวก แน่นอนว่า จงอย่าลังเลที่จะแบ่งปันกับทุกคนที่อาจเกี่ยวข้องหรือใครก็ตามที่อาจมีเหตุผลที่จะให้ความสนใจกับเรื่องที่เธอคิด
★ ในขณะที่เรายังไปไม่ถึงขั้นที่จะหยุดจิต ให้ไม่คิดถึงสิ่งที่เราไม่ปรารถนาให้ปรากฏขึ้นในชีวิตของเราได้ เหมือนกับ สวส. พระองค์ก็แนะนำว่า จงฝึกฝน เมื่อความคิดแย่ๆเกิดขึ้น ก็อย่าไปคิดต่อ ปล่อยให้มันไหลผ่านไป (ทำบ่อยๆครั้งเข้าเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆเอง)
ซึ่งจริงๆผมนึกได้อีกวิธีด้วยซ้ำ ก็คือ การบริกรรม นั่นเอง (ครูบาอาจารย์ที่แท้ในอดีตของพวกเราชาวพุทธคงพิจารณาเอาไว้ดีแล้วถึงได้ถ่ายทอดต่อมาแบบนี้) หากเราบริกรรม เช่นคำว่า “พุทโธ” (ที่แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ตลอดทั้งวัน มันจะมีเวลาตอนไหนไปคิดเรื่องไม่ดี? มันจะกลายเป็นคิดเรื่องดีๆ (เราคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ตลอดทั้งวัน แล้วชีวิตเราจะไม่ดีได้ยังไง?
และในเรื่องที่หากมีความคิดดีๆเกิดขึ้น ก็ควรแบ่งปันออกไป เดี๋ยวนี้ก็ง่ายเลยครับ เกิดความคิดอะไรดีๆ ที่เห็นว่ามีประโยชน์ ก็เขียนโพสต์แชร์ลงเฟสบุ๊คก็ได้ครับ ง่ายจะตาย 😄 –แอดมิน–
As for saying one thing and doing what you say, let your word be your bond. And if you don’t think you'll be likely, or able, to do what you're now thinking of saying . . . don’t say it.
ส่วนเรื่องการทำตามสิ่งที่ตัวเองพูด จงให้คำพูดของเธอนั้นเป็นดั่งพันธะสัญญาหรือข้อผูกมัดที่เธอจะต้องรักษา และหากเธอคิดว่า มันมีโอกาสที่เธออาจจะไม่สามารถทำในสิ่งที่เธอคิดจะพูดได้ในตอนนี้แม้เพียงน้อยนิด . . . ก็จงอย่าพูดมัน
If on the other hand you meant it when you said what you would do, but find later that you really can’t because something has happened that has intervened, then go to anyone and everyone to whom you said this thing, and clear it up with them. Tell them the truth. Humbly and gently explain why you won’t be able to do what you said.
ในทางตรงข้าม หากเธอตั้งใจ (มีเจตนาอย่างแน่วแน่) ที่จะทำตามสิ่งที่เธอพูด แต่ภายหลังกลับพบว่าเธอไม่สามารถทำมันได้จริงๆ เพราะเกิดอะไรบางอย่างเข้ามาขัดขวางจนไม่สามารถทำได้ ก็จงไปหาใครก็ตาม หรือไปหาทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอได้พูดไป แล้วอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง จงพูดความจริงกับพวกเขา จงอธิบายถึงสาเหตุที่เธอไม่สามารถทำได้ตามที่พูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพ
Tell the truth to everyone about everything. That’s how Highly Evolved Beings live.
 
#การพูดความจริงกับทุกๆคนในทุกๆเรื่อง นี่แหละ คือวิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง★
★อ่านเรื่องนี้ทบทวนเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ครับ —แอดมิน—
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา