30 มิ.ย. 2022 เวลา 04:49 • หนังสือ
#81 CWG. 4️⃣ — บทที่ 2️⃣0️⃣ (ตอนที่ 2) : การโจมตีทุกชนิดถูกเรียกว่า ‘เป็นการป้องกันตัว’ ในอารยธรรมที่ยังล้าหลังและป่าเถื่อน
▪️ผู้แปล : แอดมิน
{🔸ซึ่งผมอาจนำคำแปลบางส่วน ของคุณซิม จากเพจ Books for Life มาใช้ด้วยครับ ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ที่ทำให้งานแปลมันสมบูรณ์ขึ้นครับ 🙏 นี่เป็นงานแปลที่ผมตั้งใจแปลมาก ๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วยครับ🔸}
Q : I’m clear that if we are to adopt the behaviors of an awakened species we’ll have to bring our cosmology (our philosophies, beliefs, and understandings about the world and our decisions about who we are) up to speed with our technology (our weaponry, our genetic altering of crops, our cloning of mammals [and soon, humans], our life-extension medicine, and all the rest).
นีล : ผมเข้าใจชัดเจนว่า หากเราจะรับเอาพฤติกรรมของเผ่าพันธุ์ที่ตื่นแล้วมาใช้ในชีวิต เราจะต้องนำความเข้าใจทางจักรวาลวิทยา (ปรัชญา ความเชื่อ ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลกและจักรวาล และการตัดสินใจว่าเราคือใคร) ของเรามาใช้ให้มากขึ้นเพื่อให้เท่าทันกับเทคโนโลยีของเรา (อาวุธ การดัดแปลงพันธุกรรมของพืชผล การโคลนนิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม [และในไม่ช้า ก็คงมนุษย์ด้วยที่จะถูกโคลน] ยายืดอายุขัย และส่วนอื่นๆที่เหลือทั้งหมด)
If we don’t, we’ll be dealing with ethical, moral, and spiritual dilemmas that our old beliefs have left us not nearly ready to resolve.
หากเราไม่ทำเช่นนั้น เราก็จำต้องมาจัดการกับปัญหาความขัดแย้งทางด้านจริยธรรม คุณธรรม และความเชื่อเก่าๆทางด้านจิตวิญญาณของเราที่ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ไข
I’m clear that if we were awakened we would stop damaging our environment at every turn . . . stop poisoning ourselves with the things we eat and drink and smoke and breathe and inject and listen to and watch . . . and stop our endless and often ruthless competitions for everything—money, power, fame, love, attention, sex, everything.
ผมเข้าใจชัดเจนว่า หากเราตื่นขึ้น เราจะหยุดทำลายสิ่งแวดล้อมของเราทุกทาง . . . หยุดนำสารพิษเข้าสู่ร่างกายด้วยการกิน ดื่ม สูบ หายใจ ฉีด การดูและฟัง . . . และหยุดการแข่งขันที่ไม่มีที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งอย่างไร้ความปรานีเพื่อให้ได้มาซึ่งทุกสิ่ง—ทั้งเงิน อำนาจ ชื่อเสียง ความรัก ความสนใจ เพศ ทุกสิ่งทุกอย่าง
I’m clear that when we live as an awakened species we will transform what we’ve imagined to be our needs into preferences, and we will truly (and at last) love everyone without condition, even as we embrace and accept a God who does the same with us.
ผมเข้าใจชัดเจนว่า เมื่อเราใช้ชีวิตอย่างเผ่าพันธุ์ที่ตื่นแล้ว เราจะเปลี่ยนสิ่งที่เราเคยคิดว่าคือความจำเป็น-ขาดไม่ได้ ให้กลายเป็นแค่ความชอบ (ซึ่งจะไม่มีก็ได้) และในที่สุด #เราก็จะรักทุกคนโดยไร้เงื่อนไขได้อย่างแท้จริง เช่นที่เราจะโอบรับและยอมรับพระเจ้าผู้ทรงทำเช่นเดียวกันนั้นกับเรา (รักเราอย่างไร้เงื่อนไข)
A : You do understand. There is no need for me to go more deeply into any of this then.
พระเจ้า : เธอเข้าใจแล้วจริงๆ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ฉันจะต้องลงลึกในรายละเอียดในหัวข้อที่เธอกล่าวมาเพิ่มเติมอีก
.
Q : The only two final items I feel the need to look at more closely are #10 and #16.
นีล : มีเพียง 2 หัวข้อที่ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องลงลึกในรายละเอียดสักหน่อย ได้แก่ หัวข้อที่ #10 และ #16 ครับ
Item #10 says that members of an awakened species would never under any circumstances terminate the current physical expression of another sentient being without that other person requesting it. Humans kill other humans every minute of every day somewhere on their planet.
ข้อ #10 บอกว่า เผ่าพันธุ์ที่ตื่นแล้ว–จะไม่มีวันยุติสภาวะแห่งการสำแดงตัวทางกายภาพในปัจจุบันของสิ่งมีชีวิตใดๆในทุกสถานการณ์ เว้นแต่จะได้รับการร้องขอโดยตรงจากสิ่งมีชีวิตนั้นเองให้กระทำการเช่นนั้น / ส่วนมนุษย์ที่ยังไม่ตื่น–มักเข่นฆ่ามนุษย์คนอื่น โดยที่มิได้รับการร้องขอจากมนุษย์ผู้นั้น เพื่อให้กระทำการดังกล่าว
That last part can’t be denied, but to be fair, much of the killing on Earth has been done in self-defense.
ส่วนท้ายสุดนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพื่อให้เกิดความยุติธรรม ซึ่งการเข่นฆ่ากันหลายต่อหลายครั้งบนโลกนั้นเป็นการทำเพื่อป้องกันตัวนะครับ
A : All attack is called a defense in primitive cultures. Yet even as what you term “defense,” a HEB would never terminate the physical expression of another sentient being without that being having asked it to do so.
พระเจ้า : การโจมตีทุกชนิดถูกเรียกว่าเป็นการป้องกันตัวในอารยธรรมที่ยังล้าหลังและป่าเถื่อน แม้ว่าสิ่งที่เธอให้นิยามว่า “เป็นการป้องกันตัว” สวส. ก็ยังคงไม่มีวันยุติสภาวะแห่งการสำแดงตัวทางกายภาพของสิ่งมีชีวิตอื่นใดโดยที่ไม่ได้รับการร้องขอจากสิ่งมีชีวิตนั้นเองให้ทำเช่นนั้นอยู่ดี
.
Q : We don’t have a right to defend ourselves? Wow. That expectation is so high that no one on this planet could possibly buy into it. Even our religions and our laws tell us self-defense can justify killing. Are you saying that we do not have the right to protect ourselves if we have to kill another to do so?
นีล : เราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะป้องกันตัวเองเลยหรือครับ❓ ว้าว... มาตรฐานมันสูงมากจนไม่มีใครบนโลกใบนี้สามารถทำมันได้หรอกนะครับ★ แม้กระทั่งศาสนาและกฎหมายของเรายังบอกเราว่าการฆ่าเพราะป้องกันตัวนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างชอบธรรม นี่พระองค์กำลังบอกว่าเราไม่มีสิทธิ์ฆ่าใครแม้ว่าเรากำลังป้องกันตัวเองอยู่งั้นหรือครับ❓
★นี่ทำให้ผมนึกถึง (อีกแล้ว) ชาติหนึ่ง (อีกตัวตนหนึ่งในห้วงเวลาที่ต่างไป) ของพระพุทธเจ้า ที่ยอมนอนลงให้เสือที่อดยากกินนะครับเนี่ย 🤔😄
—แอดมิน—
A : You “have a right” to do anything you wish. What you are invited to remember is that every act is an act of self-definition. If you wish to define yourselves as a species that kills its own kind in order for some of its kind to survive, you may do so, and no one will stop you.
พระเจ้า : เธอ “มีสิทธิ์” ที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่เธอนั้นปรารถนา แต่สิ่งที่อยากให้จดจำไว้ก็คือ ทุกการกระทำคือการให้นิยามตนเอง หากเธอปรารถนาที่จะให้นิยามแก่เผ่าพันธุ์ของตนว่า เป็นเผ่าพันธุ์ที่เข่นฆ่าพวกเดียวกันเองเพื่อที่บางคนจะได้มีชีวิตรอดต่อไป เธอก็สามารถทำอย่างนั้นได้ และจะไม่มีใครมาหยุดยั้งเธอ
But the day may come when you will choose to stop yourself, if only out of seeing that in your frenzy to protect your species, you have nearly destroyed it.
แต่วันที่เธอเลือกที่จะหยุดตนเองไม่ให้ทำเช่นนั้นอาจมาถึง หากเพียงเพราะเธอเห็นว่า ความบ้าคลั่งอย่างไร้สติในการปกป้องเผ่าพันธุ์ของเธอนั้น ทำให้เผ่าพันธุ์ของเธอใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ด้วยน้ำมือของเธอเอง
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา