27 พ.ย. 2022 เวลา 00:49 • หนังสือ
✴️ บทที่ 3️⃣ กรรมโยคะ : วิถีการกระทำที่ถูกต้องทางจิตวิญญาณ ✴️ (ตอนที่ 40)
🌸การเอาชนะอารมณ์ที่มีสองคม ราคะ กับ โทสะ🌸
⚜️ โศลกที่ 4️⃣0️⃣ ⚜️
หน้า 440–442
โศลกที่ 4️⃣0️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ท่านกล่าวว่า อินทรีย์ มนัส และพุทธิ คือฐานที่มั่นของราคะ ราคะใช้สิ่งเหล่านี้ล่อลวงวิญญาณ ด้วยการทําให้ปัญญาญาณบิดเบือนไป
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
#วิญญาณอันเกษมคือปัญญาญาณสัมบูรณ์ รู้ทุกสิ่งด้วยสหัชญาณ คือการรู้ตรงโดยไม่ผ่านตัวกลาง แต่ในเมื่อวิญญาณทำงานผ่านอินทรีย์ มนัส และพุทธิ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นตัวกลางรับ–ส่งการรับรู้ของวิญญาณกับกายและวัตถุที่แวดล้อม การกระทบกันระหว่างอินทรีย์รับรู้กับอารมณ์แห่งการรับรู้ เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการกระทำของจิต ซึ่งรับ ความรู้สึกเข้ามาแล้วส่งกลับไปเป็นแรงเร้า โดยมีพุทธิปัญญาเป็นตัวรับรู้ ตีความ และ นำทาง
การติดต่อกันระหว่างวิญญาณกับสสารก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและการยึดมั่น ปลุกเร้าความใคร่ ความน่าตื่นเต้นของความใคร่ ทำให้จิตยิ่งยึดอินทรีย์หยาบมากขึ้น ปัญญาญาณรู้ความจริงโดยตรง (สหัชญาณ) จึงถูกความคิด ซึ่งเกิดจากปฏิการระหว่างพลังธรรมชาติเข้ามาบดบัง วิญญาณจึงพลอยโง่หลงไปด้วย ยิ่งความใคร่ได้รับแรงเสริมจากอหังการหรือวิญญาณจอมปลอมมากเท่าใด ความใคร่ก็จะยิ่งฝังแน่นในอินทรีย์ ในจิต และในพุทธิปัญญา กลายเป็นปราการแน่นหนาให้ความใคร่ได้ปกครอง เสวยอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในอาณาจักรกายและในกิจกรรมทั้งหลายของกายนั้น
.
◾พุทธิปัญญา จิต และอินทรีย์ องค์สามของกามราคะ◾
อินทรีย์การกระทำทั้งห้า (กรรเมนทรีย์ – ปาก มือ เท้า ลำไส้ และกล้ามเนื้อสืบพันธุ์) และอินทรีย์รับรู้ทั้งห้า (ญาเณนทรีย์ – รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) กระทำการไปตามอำนาจของอินทรีย์ ส่วนจิตและ พุทธินั้นกระทําการด้านการรับรู้ทางจิต การจำได้หมายรู้ สมาธิ การตัดสินใจ การควบคุมตน เป็นต้น พุทธิปัญญา จิต และ อินทรีย์ องค์สามของกามราคะนี้ เป็นเครื่องมือของธรรมชาติที่ ทำให้มนุษย์เพลิดเพลิน
แต่แม้สหัชญาณปัญญาก็แสดงตนผ่านสิ่งทั้งสามนี้มากน้อยต่างกันไปตามอำนาจของธรรมชาติที่เข้ามาบดบัง ราคะกับพุทธิ จึงประลองกำลังกันในปราสาทกายตลอดเวลา จึงควรขับราคะออกไปจากปราการแห่งอินทรีย์ จิต และพุทธิ และสถาปนาสหัชญาณปัญญาไว้ในปราการนั้นให้มั่นคง
ประสบการณ์สมาธิ ทำให้เรารู้ว่า ราคะไม่สามารถสำแดงอำนาจต่อวิญญาณจักษุที่กลางหน้าผาก เพราะแสงแห่งญาณปัญญาจะทำให้ความคิดทั้งหลายสลายไป และทำให้ทิพยปัญญาแห่งวิญญาณทะยานพ้นตาภายในไปสู่จักระในสมอง สู่อนันตภาวะอันพ้นแล้วจากข้อจำกัดทางกายทั้งหลาย
เมื่อผู้ภักดีเพ่งที่แสงสุรีย์แห่งปัญญา เขาจะได้อำนาจที่ทำให้ดอกบัวสัพพัญญูรู้แจ้งแห่งวิญญาณคลี่บาน แต่ราคะนั้นตรงกันข้าม มันจะใช้ม่านมืดของความโง่บดบังการเห็นภายใน และด้วยแสงภายในอันสว่างไสว โยคีจึงเห็นอย่างชัดเจนทั้งความลวงของจักรวาล และจิตจักรวาลอันไพศาลไร้เขต ไม้ขีดที่เปียกน้ำไม่อาจจุดไฟให้ลุกไหม้ได้ฉันใด จิต พุทธิ และอินทรีย์ที่เปียกชุ่มอยู่ด้วยน้ำราคะ ก็ไม่อาจจุดประกายญาณปัญญาให้ลุกโพลงได้ฉันนั้น วิญญาณจึงจมอยู่ในความมืดมนของความใคร่ ไม่อาจส่องประกายออกมาภายนอกได้
ในระยะแรก ๆ ที่โยคียังหมกมุ่นอยู่กับมนินทรีย์และสสาร แม้เมื่อทำสมาธิและทํากิจกรรมทั้งหลาย ท่านก็ยังไม่เห็นแสงจักรวาลอันเป็นต้นกําเนิดของตน ยามลืมตาท่านเห็นการสั่นสะเทือนของสสาร ยามหลับตาท่านเห็นความมืด (ไร้การ สั่นสะเทือนของสสาร) ในภาวะทั้งสองนี้ท่านยังอยู่ใต้มนต์มายา
แต่เมื่อโยคีที่ก้าวหน้า หลับตา ทำสมาธิลึก สลายความคิดและการรับรู้ของอินทรีย์ รวมกับสหัชญาณอันบริสุทธิ์ ท่านจะเห็นแสงรัศมีโชนฉายจากความมืด ด้วยไฟญาณปัญญาสมาธินี้ ผู้ภักดีสามารถขับไล่ความใคร่ใหม่ ๆ และ “เผาลน” ความใคร่ทั้งอดีตชาติและชาตินี้ให้หมดไป
เมื่อโยคีทําลายม่านมายาได้ด้วยสมาธิลึก ท่านเห็นตนเองไม่แต่กายเท่านั้น แต่เห็นสัพพัญญูธรรมแห่งตนด้วย ในการตื่นอันเกษมนี้ กายฝันอันมืดมนของวิญญาณจะสลายไปทันทีที่วิญญาณตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับบรมวิญญาณอันสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล วิญญาณที่รู้ตื่นนี้จะพบบรมวิญญาณอันสัมบูรณ์ในตนเอง หัวเราะความไร้แก่นสารของความใคร่อยากเกิดใหม่ ที่ทำให้อาตมัน เจ้าชายอนันตภาวะอันไพศาล ต้องเกิดมาเป็นขอทานอยู่ร่ำไป
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา