4 ธ.ค. 2022 เวลา 09:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้น 6 ประเภท ตามสไตล์ Peter Lynch
EP. 3 “หุ้นโตเร็ว”
หุ้นที่นักลงทุนควรมี...
ลักษณะของหุ้นโตเร็ว
เป็นหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรประมาณ 20-25% ต่อปี ต่อเนื่องอย่างน้อยในอีก 2 ปีข้างหน้า
ส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และอยู่ในช่วงการขยายกิจการ อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต หรือไม่ก็ได้ เพราะขอแค่กำไรสามารถเติบโตได้ในอนาคตจะอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ
ตัวอย่าง เช่น
หุ้นที่ทำธุรกิจค้าปลีกที่มีสาขาไม่มาก และมีจุดเด่นที่จะทำให้ขยายสาขาของตัวเองได้อีกมากมาย เป็นต้น
แล้วเราหวังอะไรจากหุ้นโตเร็ว?
กำไรจากส่วนต่างมูลค่าของการเติบโต หรือซื้อที่ราคาเหมาะสม และขายเมื่อราคาสูงเกินกว่าการเติบโตมาก
เสี่ยงมากไหม?
ความเสี่ยงของหุ้นประเภทนี้มักขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ในการเติบโต หากไม่สามารถเติบโตได้ตามคาด ตลาดอาจลงโทษด้วยการอย่างหนักได้ คุณอาจขาดทุนอย่างน้อยๆ 50% ได้
ผลตอบแทนที่ควรคาดหวังคือเท่าไร?
สำหรับหุ้นโตเร็วผมคาดหวังผลตอบแทนที่ 25-50% ต่อปี หรืออย่างน้อยๆราคาหุ้นต้องเพิ่มเป็น 100% ใน 2-3 ปี
เป็นผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของหุ้นประเภทนี้
เราควรถือยาวแค่ไหน กลยุทธ์ที่ทำให้ได้กำไรของหุ้นโตเร็วเป็นอย่างไร?
1. ซื้อเมื่อราคาเหมาะสม ถือเมื่อการเติบโตมีแนวโน้มเป็นไปได้ และขายเมื่อการเติบโตผิดคาด
2. ขาย เมื่อกำไรเป็นที่น่าพอใจ (สำหรับผมประมาณ25-50%)
3. มีหุ้นตัวอื่นน่าสนใจกว่า หรือให้ผลตอบแทนมากกว่า
สิ่งสำคัญที่ต้องดูอย่างใกล้ชิด ทั้งพื้นฐานและมูลค่า?
สิ่งสำคัญที่ต้องดูของกิจการ
1. หาให้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้กำไรของบริษัทเติบโตคืออะไร และมันจะหยุดโตเมื่อไหร่
2. แผนการเติบโตที่บริษัทจะทำ มีความเป็นไปได้ที่จะทำได้มากแค่ไหน
3. การเติบโตของสินค้าและบริการนั้น มีสัดส่วนมากพอที่จะทำให้กำไรรวมของบริษัทเติบโตหรือไม่
4. ตัวเลขการเติบโตที่คาดการณ์ และที่บริษัททำได้จริง ไม่แตกต่างกันมากเกินไป
5. งบดุลดี หนี้น้อย
ตัวเลขในการประเมินมูลค่า
1. PEG < 1 เท่า (สำหรับหุ้นไทยผมให้ 1-2 เท่า แล้วแต่คุณภาพ และตลาด ณ เวลานั้น)
2. (G+Dev.)/PE > 1.5 เท่า
3. PE < 30 เท่า เพราะในความเป็นจริง การเติบโตระดับ 30% ต่อปีนั้น รักษาได้ยาก
ขายเมื่อไหร่ดี?
1. หมดมุกการเติบโต หรือแผนการเติบโตล้มเหลว
2. ยอดขายสินค้าหรือบริการใหม่ น่าผิดหวัง
3. ยอดขายสินค้าหรือบริการเดิม ลดลงจนกำไรใหม่ที่เพิ่มไม่ส่งผลให้กำไรรวมของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
4. พนักงานยกทีมไปทำงานให้คู่แข่ง
5. ผู้บริหารโปรโมทการเติบโตให้ผู้คนทั่วไปรู้อย่างหนัก
6. PEG > 1 เท่า (สำหรับหุ้นไทยผมให้ 1-2 เท่า แล้วแต่คุณภาพ และตลาด ณ เวลานั้น)
7. นักลงทุนสถาบันถือหุ้นมากกว่า 60% และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป
ควรมีหุ้นประเภทนี้ประมาณกี่ % ในพอร์ตดี?
ควรมีประมาณ 30-40% ของพอร์ต และเมื่อกำไรไม่เป็นไปตามคาด หรือชะลอดตัวลง ก็ควรจะขายออก และไปซื้อหุ้นตัวที่ต่ำกว่ามูลค่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่า และรวดเร็วกว่า
บางครั้งหุ้นโตเร็วอาจจะมีราคาร่วงลงอย่างหนักแม้จะทำการเติบโตได้ดี อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเติบโตนั้นเป็นเพียงระยะสั้น หรือการเติบโตไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
หลายครั้งมันก็เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นเติบโต เพราะบางครั้งราคาที่ร่วงลงอย่างหนัก อาจจะมากเกินกว่ามูลค่าการเติบโตที่บริษัททำได้
แต่หากบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ ราคาที่ร่วงหล่นลงมันนั้นอาจจะเป้นราคาที่เหมาะสมแล้วก็ได้...
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสรุปโดยย่อของหุ้นโตเร็ว และใน EP สุดท้ายของ Series นี้ ผมจะมาสรุป และแนะนำการตจัดพอร์ทสไตล์ Peter Lynch อีกทีนะครับ รอติดตามได้เลยทุกอาทิตย์
หมายเหตุ:
1. การเขียนบทความอาจมีอคติส่วนตัวจากผู้เขียน ควรหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้จริง
2. อย่าพึ่งเชื่อเรา เพราะยังมีวิธีการวางแผนอีกมากมายที่ทั้งดีและมีประโยชน์
3. บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น
4. ที่มา One up on wall street
ขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ Yorkies BannPin
คิดถึงลูกสุนัขยอร์คเชียร์ ต้องที่ บ้านปิ่น เท่านั้น! [พิเศษ เมื่อบอกว่ามาจากเพจ Angrystocks มีส่วนลดให้ 100 บาท สำหรับลูกค้าใหม่เท่านั้น]
อย่าลืมกดไลค์ แชร์ กดติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ อาทิตย์หน้ามาเจอกันใหม่ครับ
Reference Pic. :
#หนังสือ #หุ้น #พัฒนาตนเอง #AngryStocks #ธุรกิจ #OneUpOnWallStreet #PeterLynch #VI #การลงทุน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา