2 มี.ค. 2023 เวลา 05:41 • ประวัติศาสตร์

ลี กวนยู พลิกสิงคโปร์ จาก'กุ้งพิษ' สู่ 'เม่น'

ความเดิมที่แล้ว หลังจากสิงคโปร์ได้รับเอกราชจากอังกฤษ และไปเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย
2 ปีต่อมา ถูกขับออกจากมาเลเซีย จนกลายเป็นรัฐเอกราช
ลีกวนยูและรัฐบาลสิงคโปร์ในเวลานั้น ยังต้องเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่ออังกฤษถอนทัพเรือ และมอบเงินชดเชย 50 ล้านปอนด์
ซึ่งถือว่าน้อยมาก สำหรับประเทศเกิดใหม่ ที่ไม่มีกองทัพ ไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ประชาชนไม่มีบ้านอยู่
ดังนั้น เพื่อสร้างรากฐานให้ประเทศ ลีกวนยูต้องพัฒนาหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็น
-ปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน
ลีกวนยูปลูกฝังให้คนสิงคโปร์เป็นคนสิงคโปร์
เพราะถ้าคนในชาติคิดว่าตัวเอง เป็นคนจีนที่อพยพมาอยู่ชั่วคราว
เป็นคนทมิฬที่มาจากศรีลังกา
ถ้ามีที่อื่นดีกว่าจะไป คนสิงคโปร์ จะไม่ยึดโยงเป็นชาติเดียวกัน
เพราะฉะนั้น การจะสร้างชาติ ต้องเริ่มจากทำให้ประชากรที่มีที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์
รู้สึกหวงแหนว่านี่คือประเทศและบ้านของเขา
โครงการแรกๆ จึงเป็นโครงการเคหะแห่งชาติ สร้างบ้านให้คนสิงคโปร์อยู่กันก่อน
สร้างอพาร์ตเมนต์ให้ได้ 10,000 ยูนิตทุกปี ทำให้คนสิงคโปร์ อยู่ในพื้นที่เทสื่อมโทรม รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน และพวกเขาคือพลเมืองสิงคโปร์
นอกจากนี้ยังมีการสร้างความสมานฉันท์ของความแตกต่างทางชาติพันธ์ุผ่านกฎหมายที่เท่าเทียม
ปีแรกของการเป็นผู้นำของลีกวนยู เขาเดินทางไปทั่วโลก
เพื่อบอกให้รู้ว่า สิงคโปร์เป็นประเทศเอกราช เกิดใหม่
เขาไม่ได้เลือกขั้วว่า จะสัมพันธ์กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
พร้อมกระชับสัมพันธ์กับอังกฤษและกลุ่มอาเซียน ซึ่งตอนนั้นลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังเข้มข้น​
การพบปะผู้นำจำนวนมาก แบบไม่เลือกข้าง
ทำให้ทั่วโลก มองว่าสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางในการลงทุน เป็นศูนย์กลางการค้าขายของอาเซียน
-ความมั่นคงทางกองทัพ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ต้องมีกองทัพด้วย
ต้องบอกว่าด้วยวิสัยทัศน์ของลีกวนยูที่มองว่าวันหนึ่ง สิงคโปร์จะกลายเป็นประเทศที่มีมูลค่าเศรษฐกิจมหาศาล
ดังนั้น ถ้าไม่มีกองทัพ อาจจะได้รุกรานทางอธิปไตยเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะฉะนั้นความสำคัญลำดับต้นๆ คือ การสร้างกองทัพ
จึงออกกฏหมายเกณฑ์ทหารชายสิงคโปร์ทุกคนเป็นเวลา 2 ปี
กฎหมายนี้ยังอยู่จนปัจจุบัน
นอกจากนี้ เพื่อหาครูที่จะมาติดเขี้ยวเล็บให้กองทัพ สิงคโปรได้ติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ อินเดียและอียิปต์
แต่ไม่มีใครตอบรับในการส่งคนมาฝึกกำลังพล
สิงคโปร์จึงมองไปที่ประเทศที่ใกล้เคียงกัน ที่มีขนาดเล็ก แต่มีเขี้ยวเล็บรอบตัว แถมยังแวดล้อมไปด้วยภัยคุกคามของศัตรู นั่นคือ อิสราเอล
ซึ่งอิสราเองก็ตอบตกลงส่งเจ้าหน้าที่มาฝึกกองทัพเกิดใหม่
โดยตอนแรกหลายคนคิดว่า กองทัพที่ส่งมาไม่ใช่กองทัพอิสราเอง แต่เป็นกองทัพเม็กซิโก
เพราะช่วงปี 1960 อิสราเอลเจอกับความท้าทายเป็นคู่สงครามสันนิบาตอาหรับ ดังนั้นถ้าเอากองกำลังมาฝึกให้สิงคโปร์ จะเป็นเป้าสายตาของชาติมุสลิม ในอาเซียน นั่นคือ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย อาจจะนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงทางด้านความมั่นคงได้
ดังนั้น ทางการสิงคโปร์ เลยประกาศว่าครูฝึกเหล่านี้มาจากเม็กซิโก
และเลือกครูฝึกที่มีหน้าตาคล้ายคนเม็กซิกัน คือ ผมดำ รูปร่างไม่สูง เพื่อเลี่ยงความขัดแย้ง
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับสิงคโปร์
จุดที่น่าสนใจคือ ซัก ราบิน ผู้นำอิสราเอลที่ตอบตกลงให้ความช่วยเหลือสิงคโปร์ ได้ประกาศกับกองกำลังที่เข้ามาฝึกทหารให้กับสิงคโปร์ว่า พวกเราเข้าไปให้การฝึก จะต้องไม่ขยายอิทธิพลใดๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่สำคัญ เราไม่ใช่พ่อค้าอาวุธ จะไม่โน้มน้าวให้สิงคโปร์ซื้ออาวุธ
1
แต่สุดท้ายพอได้รับการฝึกจากอิสราเอล สิงคโปร์ถือเป็นลูกค้าสำคัญของกองทัพอิสราเอลเรื่องการซื้ออาวุธ แต่ก็มีอิสระในการซื้ออาวุธจากหลากหลายประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึงตอนนี้
โดยครั้งหนึ่งลีกวนยูเปรียบเทียบกองทัพสิงคโปร์ไว้ว่า
“พวกเราเปรียบเหมือนกุ้งตัวเล็กๆในมหาสมุทร ที่พร้อมจะถูกปลาใหญ่เข้ามากินตลอด แต่ถ้าพวกเขากินเรา พวกเราต้องเป็นกุ้งพิษ ที่ใครก็ตามที่กลืนกินเราเข้าไป เขาต้องทรมาน”
วันนี้สิงคโปร์มีกองทัพแข็งแกร่งมาก หลังเกณฑ์ทหาร 2 ปี มีกองกำลังที่ถูกฝึก 1 ล้านคน จาก 6 ล้านคนในปัจจุบัน
ตอนนี้กองทัพมีเขี้ยวเล็บสูงขึ้น พัฒนาอาวุธบางส่วนได้ด้วยตัวเอง
จนลีกวนยูเปรียบเทียบว่าจากกุ้งพิษ วันนี้เราเป็นเม่นที่มีหนามรอบตัว
-การศึกษา
ลีกวนยู เน้นว่า คนสิงคโปร์พูดได้อย่างน้อย 2 ภาษาง
นอกจากนี้ยังมีการประกาศนโยบายสร้างสายการบินแห่งชาติ
เพื่อบินระหว่างประเทศทันที ไม่มีการบินในประเทศ เพราะขนาดของสิงค์โปร์ เล็กกว่ากรุงเทพฯด้วยซ้ำ
เที่ยวบินแรกของ Singapore Airline ก็คือ สิงคโปร์ - ลอนดอน
เป็นการเปิดตัวสายการบินในฐานะศูนย์กลางของอาเซียน
ในปี 1978 เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำรุ่นที่ 2 ของจีนเดินทางมาเยือนสิงคโปร์
หลังมาไทย มาเลเซียก่อนไปสหรัฐ
เบื้องต้นเพื่อหาความร่วมสบมเวียดนามในยุคสงครามเย็น
ขณะเดียวกันก็ต้องการดูว่า สิงคโปร์ใช้เวลา 20 กว่าปี ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
สำหรับข้อหารือ เติ้งเสี่ยวผิงขอให้ยอมรับเจ้าหน้าที่ข้าราชการจากจีนปีละ 3000 คน มาดูงานทุกปี
ลีกวนยูมองว่าได้จีนเป็นพันธมิตรก็ดี
แต่ขอให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนหยุดการส่งวิทยุคลื่นสั้นเพื่อมาปลุกระดมคนจีนในสิงคโปร์ให้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์
เติ้งเสี่ยวผิงไม่ได้ตอบ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงจากวิทยุคลื่นสั้นจากจีนสู่สิงคโปร์อีกต่อไป
ทั้งหมดนี้ คือ กลไกพื้นฐานสำคัญที่ทำใหัวันนี้ สิงคโปร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าอย่างสูง มีรายได้ประชากรต่อหัวมากกว่าไทยถึง 8 เท่า นั่นเอง
ที่มา : สรุปมาจาก ลี กวนยู พลิกสิงคโปร์สู่ยุคใหม่ จาก'กุ้งพิษ' สู่ 'เม่น' | 8 Minute History EP.133
โฆษณา