Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
11 เม.ย. 2023 เวลา 08:41 • หนังสือ
#15 HWG. — บทที่ 🔟 (ส่วนที่ 1)
ตัวเธอคือต้นเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ รวมถึงความตายของเธอด้วย
▪️ผู้แปล : แอดมิน
🔸นี่เป็นงานแปลชิ้นที่ 2 ที่ผมตั้งใจแปลมากๆ หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗹 𝗔𝘁 𝗖𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗚𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲—𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵.
“ตัวเธอคือต้นเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ รวมถึงความตายของเธอด้วย”
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 𝟭𝟬
บทที่ 🔟
𝗡𝗲𝗮𝗹𝗲 : 𝗧𝗵𝗮𝘁'𝘀 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹. 𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗷𝘂𝘀𝘁 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗽𝘂𝘁. 𝗧𝗵𝗮𝗻𝗸 𝘆𝗼𝘂. 𝗔𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘄 𝗜'𝗱 𝗹𝗶𝗸𝗲 𝘁𝗼 𝗿𝗲𝘁𝘂𝗿𝗻 𝘁𝗼 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗶𝗳 𝗜 𝗺𝗮𝘆. 𝗦𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗯𝗶𝘁 𝗱𝗶𝘀𝘁𝘂𝗿𝗯𝗶𝗻𝗴.
N : นั่นมันเจ๋งสุดๆไปเลย เป็นการสรุปความเรื่องการสร้างสรรค์ได้เยี่ยมมากๆ ขอบคุณนะครับ แต่ตอนนี้ หากเป็นไปได้ ผมอยากให้เราย้อนกลับไปพูดคุยถึงบางเรื่องกันก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังกวนใจผมอยู่เล็กน้อย
𝗚𝗼𝗱 : "𝗣𝗹𝗲𝗮𝘀𝗲."
G : ว่ามาเลย
𝗡 : 𝗪𝗵𝗲𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝘁𝗼𝗹𝗱 𝗺𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗲𝗮𝗿𝗹𝘆 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗼𝘂𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵𝘀, 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗮𝗺𝗲 𝘂𝗽 𝗳𝗼𝗿 𝗺𝗲 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝘁𝗮𝘁𝗲𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗿𝘂𝗲, 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀, 𝗯𝘆 𝗱𝗲𝗳𝗶𝗻𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲. 𝗜'𝘃𝗲 𝗯𝗲𝗲𝗻 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗻𝗰𝗲.
N : ในตอนที่พระองค์บอกผมในช่วงต้นของการสนทนานี้ว่า #เราทุกคนล้วนเป็นสาเหตุของการตายของตัวเราเอง สิ่งแรกที่ผมนึกถึงเลยก็คือ หากข้อความนี้เป็นความจริง ก็แสดงว่าการตายทั้งหมด (ของทุกคนที่ไม่ว่าจะตายด้วยวิธีใดก็ตาม) ก็หมายถึง ‘การฆ่าตัวตาย’ น่ะสิ ผมคิดถึงเรื่องนั้นตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้
𝗚 : "𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝗰𝗰𝘂𝗿𝗮𝘁𝗲.
G : นั่นไม่ถูกต้อง (ตามความเป็นจริง)
"𝗧𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗰𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝗼𝗻𝗲 𝗶𝘀 𝗮𝘁 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗲𝗹𝗶𝗯𝗲𝗿𝗮𝘁𝗲𝗹𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘁 𝗮 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗹𝗲𝘃𝗲𝗹 𝘁𝗼 𝗱𝗼 𝘀𝗼. 𝗡𝗼𝗿 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗶𝘁 𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗼𝗻𝗴 𝘀𝗼 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗰𝗼𝗻𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗿 𝗰𝗶𝗿𝗰𝘂𝗺𝘀𝘁𝗮𝗻𝗰𝗲.
ความจริงที่ว่าทุกคนเป็นต้นเหตุในการที่ชีวิตของตนต้องสิ้นสุดลงนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจงใจเลือกที่จะทำเช่นนั้นในระดับจิตสำนึก และก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเลือกทำแบบนั้นเพื่อที่จะหลบหนีจากเงื่อนไขหรือสภาวการณ์บางอย่าง
"𝗖𝗮𝘂𝘀𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘁 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗲 𝘁𝘄𝗼 𝗲𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲𝗹𝘆 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀."
การเป็นต้นเหตุของบางสิ่ง และ “การตัดสินใจเลือกอย่างมีสติ (การมีเจตนาให้เป็นแบบนั้น)” เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁? 𝗜 𝗱𝗼𝗻'𝘁 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱.
N : ยังไงครับ❓ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย
𝗚 : "𝗬𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻 𝗯𝗲 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗮𝗻 𝗮𝗰𝗰𝗶𝗱𝗲𝗻𝘁, 𝗯𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗰𝗵𝗼𝗼𝘀𝗲 𝗶𝘁."
G : เธอสามารถเป็นต้นเหตุของการประสบอุบัติเหตุได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอตัดสินใจเลือกอย่างมีสติ (มีเจตนา) ที่จะประสบกับอุบัติเหตุ
𝗡 : 𝗔𝗵, 𝗜 𝘀𝗲𝗲 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝗲𝗮𝗻.
N : อ่า ผมเข้าใจสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อแล้วครับ
𝗚 : "𝗦𝗼 𝗹𝗲𝘁'𝘀 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗿 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 𝗰𝗼𝗺𝗺𝘂𝗻𝗶𝗰𝗮𝘁𝗲𝗱 𝗵𝗲𝗿𝗲. 𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗮𝗹𝗹 𝗔𝘁 𝗖𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲—𝗶𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵. 𝗠𝗼𝘀𝘁 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀."
G : เอาล่ะ ให้ฉันได้ให้ความชัดเจนกับเธออีกครั้ง เธอคือต้นเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ —รวมถึงการตายของเธอด้วย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างมีสติ
𝗡 : 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝗳 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀— 𝗮𝗻𝗱, 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗮𝘆, 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗱𝗶𝗮𝗹𝗼𝗴𝘂𝗲 𝗶𝘀 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀𝗹𝘆 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝗶𝘁— 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝘄𝗼𝘂𝗹𝗱𝗻'𝘁 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗲𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗲𝗻 𝗮 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗱𝗶𝗲𝘀, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗺𝗶𝘁𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲?
𝗜 𝗺𝗲𝗮𝗻, 𝗮𝗹𝗹 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗮𝗿𝗲, 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲𝘀𝗲 𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁𝘀, 𝗮𝘁 𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗺𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗹𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗻𝗼? 𝗛𝗮𝘃𝗲 𝗜 𝗺𝗶𝘀𝘀𝗲𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴?
N : แต่หากคนๆหนึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างมีสติ —และ บทสนทนานี้ก็กำลังทำให้ผู้คนตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างมีสติ— ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเมื่อมีใครสักคนตาย คนๆนั้นก็เป็นคนทำให้ตัวเองตายเองไม่ใช่หรือครับ❓ ผมหมายความว่า ทุกคนล้วนแต่เป็นต้นเหตุของการตายของตัวเอง หรือไม่ใช่❓(นั่นก็เปรียบได้กับการฆ่าตัวตาย เพราะตัวเองตระหนักรู้อย่างมีสติว่าตัวเองเป็นคนเลือกที่จะตายเอง) นี่ผมพลาดอะไรตรงไหนไปหรือเปล่าครับเนี่ย❓
𝗚 : "𝗧𝘄𝗼 𝗰𝗼𝗻𝗱𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗰𝗹𝗮𝘀𝘀𝗶𝗳𝘆 𝗮 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗮𝘀 𝗮 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲.
G : มีเงื่อนไขอยู่สองประการที่ใช้ในการจำแนกว่าความตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตาย
𝟭. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲 𝗮𝘄𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗳 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗱𝗼𝗶𝗻𝗴—𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀, 𝘆𝗼𝘂 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗮 𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗰𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲.
1. เธอต้องตระหนักรู้ว่าตัวเธอกำลังทำอะไรอยู่—นั่นคือ เธอต้องตัดสินใจเลือกอย่างมีสติว่าจะตาย
𝟮. 𝗬𝗼𝘂 𝗺𝘂𝘀𝘁 𝗯𝗲 𝗺𝗮𝗸𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗵𝗼𝗶𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗱𝗶𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗶𝗻𝗴, 𝗿𝗮𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝗻 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗹𝗲𝘁𝗶𝗻𝗴, 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲.
2. เธอต้องตัดสินใจเลือกที่จะตายเพื่อจุดประสงค์ในการหลบหนี แทนที่จะเลือกทำให้ (ภารกิจใน) ชีวิตนี้ของเธอเสร็จสิ้นสมบูรณ์
"𝗢𝗻𝗲 𝗽𝘂𝗿𝗽𝗼𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝘀 𝘁𝗼 𝗵𝗲𝗹𝗽 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗲𝘁 𝗶𝗻 𝘁𝗼𝘂𝗰𝗵 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗰𝗿𝗲𝗱𝗻𝗲𝘀𝘀 𝗼𝗳 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗹𝗶𝗳𝗲; 𝘁𝗼 𝗮𝘀𝘀𝗶𝘀𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗶𝗻 𝗰𝗼𝗺𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗶𝘀 𝗮 𝗴𝗶𝗳𝘁 𝗼𝗳 𝘂𝗻𝘀𝗽𝗲𝗮𝗸𝗮𝗯𝗹𝗲 𝗽𝗿𝗼𝗽𝗼𝗿𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀.
จุดประสงค์หนึ่งของการสนทนานี้ก็คือการช่วยให้เธอได้สัมผัสกับความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตทางกายภาพ เพื่อช่วยให้เธอเข้าใจว่าชีวิตที่ต้องมีร่างกายนั้นเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ที่ฉันได้จัดสรรมาให้กับเธอ
"𝗜 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝗲𝗮𝗿𝗹𝗶𝗲𝗿 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗱𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗶𝘀 𝗮 𝗽𝗼𝘄𝗲𝗿𝗳𝘂𝗹 𝗺𝗼𝗺𝗲𝗻𝘁 𝗼𝗳 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗶𝘁 𝗶𝘀. 𝗕𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗱𝗲𝘀𝗶𝗴𝗻𝗲𝗱 𝗳𝗼𝗿 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝗧𝗢 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗻𝗼𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗶𝗻𝗴 𝗙𝗥𝗢𝗠 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴."
ฉันได้บอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าความตายเป็นช่วงขณะแห่งการสร้างสรรค์อันทรงพลัง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความตายถูกออกแบบมาให้เธอใช้เพื่อ “ไปให้ถึง” บางสิ่งบางอย่าง ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เธอใช้เพื่อหลบหนี “จาก” บางสิ่งบางอย่าง
𝗡 : 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲'𝘀 𝘀𝗼 𝗺𝘂𝗰𝗵 𝗽𝗮𝗶𝗻 𝗮𝘁𝘁𝗮𝗰𝗵𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗜 𝗮𝗹𝗺𝗼𝘀𝘁 𝗱𝗶𝗱𝗻'𝘁 𝘄𝗮𝗻𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗿𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝘀𝘂𝗯𝗷𝗲𝗰𝘁 𝘂𝗽.
𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗮𝗶𝗻 𝗶𝘀 𝗳𝗲𝗹𝘁 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁, 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲, 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝘁𝗵𝗲 𝘁𝘂𝗿𝗺𝗼𝗶𝗹 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗹𝗲𝗱 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗱𝗲𝗰𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻 𝘁𝗼 𝗲𝗻𝗱 𝗵𝗶𝘀 𝗼𝗿 𝗵𝗲𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗻 𝗯𝘆 𝘁𝗵𝗲 𝗳𝗮𝗺𝗶𝗹𝘆 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻. 𝗖𝗮𝗻 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗯𝗲 𝗮𝗻𝘆 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝗼𝗳 𝗰𝗼𝗺𝗳𝗼𝗿𝘁 𝗶𝗻 𝗮𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗶𝘀—𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗻𝘆𝗼𝗻𝗲?
N : การฆ่าตัวตายนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากมายจนผมแทบไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลย แน่นอนว่า คนที่รู้สึกเจ็บปวดเป็นคนแรกเลยก็คือคนที่ต้องผ่านเหตุการณ์ในชีวิตที่นำไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตของเขาหรือเธอ และคนที่ต้องเจ็บปวดเป็นคนต่อมาก็คือครอบครัวของเขา มีเรื่องใดที่พอจะทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายนี้สบายใจขึ้นได้บ้างไหมครับ❓
𝗚 : "𝗖𝗼𝗺𝗳𝗼𝗿𝘁 𝗺𝗮𝘆 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝗸𝗻𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝘄𝗵𝗼 𝗵𝗮𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗺𝗶𝘁𝘁𝗲𝗱 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗿𝗶𝗴𝗵𝘁. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗼𝗸𝗮𝘆. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗼𝘃𝗲𝗱 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗳𝗼𝗿𝘀𝗮𝗸𝗲𝗻 𝗯𝘆 𝗚𝗼𝗱. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗶𝗹𝗹 𝘀𝗶𝗺𝗽𝗹𝘆 𝗻𝗼𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗮𝗰𝗵𝗶𝗲𝘃𝗲𝗱 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝘀𝗲𝘁 𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗼 𝗱𝗼.
𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝗺𝗽𝗼𝗿𝘁𝗮𝗻𝘁 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗻𝘆𝗼𝗻𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗹𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲 𝘁𝗼 𝘂𝗻𝗱𝗲𝗿𝘀𝘁𝗮𝗻𝗱."
G : ความสบายใจอาจเกิดจากการได้รู้ว่าบุคคลที่ฆ่าตัวตายนั้นสบายดี พวกเขาไม่เป็นไร พวกเขาเป็นที่รักและไม่เคยถูกพระเจ้าทอดทิ้ง พวกเขาก็แค่ไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจมาทำ (ที่โลก) แค่นั้นเอง นั่นเป็นสิ่งสําคัญสําหรับทุกคนที่กําลังคิดใคร่ครวญถึงเรื่องการฆ่าตัวตายจะต้องเข้าใจ
𝗡 : 𝗔𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗰𝗼𝗺𝗺𝗶𝘁 𝘀𝘂𝗶𝗰𝗶𝗱𝗲 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁 𝗽𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱 𝗶𝗻 𝗮𝗻𝘆 𝘄𝗮𝘆?
N : พระองค์กำลังบอกว่าคนที่ฆ่าตัวตายจะไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลยงั้นหรือครับ?
𝗚 : "𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘀𝘂𝗰𝗵 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗮𝘀 '𝗽𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵𝗺𝗲𝗻𝘁' 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿𝗹𝗶𝗳𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗮𝗿𝗲 𝗹𝗲𝗳𝘁 𝗯𝗲𝗵𝗶𝗻𝗱 𝘄𝗵𝗼 𝗮𝗿𝗲 𝗽𝘂𝗻𝗶𝘀𝗵𝗲𝗱. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝗮𝗻 𝗶𝗻𝗰𝗿𝗲𝗱𝗶𝗯𝗹𝗲 𝘀𝗵𝗼𝗰𝗸, 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘀𝗼𝗺𝗲 𝗻𝗲𝘃𝗲𝗿 𝗳𝘂𝗹𝗹𝘆 𝗿𝗲𝗰𝗼𝘃𝗲𝗿. 𝗔𝗹𝗹 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗺 𝗳𝗲𝗲𝗹 𝗮𝗻 𝗲𝗻𝗼𝗿𝗺𝗼𝘂𝘀 𝗹𝗼𝘀𝘀.
𝗠𝗮𝗻𝘆 𝘀𝗽𝗲𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗿𝗲𝘀𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗹𝗶𝘃𝗲𝘀 𝗯𝗹𝗮𝗺𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗲𝗺𝘀𝗲𝗹𝘃𝗲𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝘆 𝘄𝗼𝗻𝗱𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗱𝗶𝗱 𝘄𝗿𝗼𝗻𝗴, 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗴𝗼𝗻𝗶𝘇𝗲 𝗼𝘃𝗲𝗿 𝘄𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗰𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝘀𝗮𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗺𝗶𝗴𝗵𝘁 𝗵𝗮𝘃𝗲 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀.
G : ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “การลงโทษ” ในสิ่งที่เธอเรียกว่า ‘ชีวิตหลังความตาย’ หรอก คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังต่างหากคือคนที่ถูกลงโทษ พวกเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างร้ายแรง ซึ่งบางคนก็ไม่เคยฟื้นตัวจากอาการนั้นได้อีกเลย พวกเขาทุกคนรู้สึกถึงการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง หลายคนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยการโทษตัวเอง พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาทําอะไรผิด พวกเขารู้สึกเจ็บปวดว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมพูดอะไรบางอย่างในช่วงเวลานั้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
"𝗧𝗵𝗲 𝘀𝗮𝗱 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗼𝘀𝗲 𝘄𝗵𝗼 𝗲𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗼𝘄𝗻 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝗺𝗮𝗴𝗶𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗴𝗼𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗰𝗵𝗮𝗻𝗴𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴𝘀, 𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲𝘆 𝗮𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁.
สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ผู้ที่จบชีวิตของตนเองโดยคิดว่าตนเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
"𝗘𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗰𝗿𝗲𝗮𝘁𝗲 𝗮 𝘀𝗶𝘁𝘂𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘆𝗼𝘂 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲 𝗮𝗻𝘆𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴. 𝗜𝗳 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗸𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗲𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗶𝗻 𝗼𝗿𝗱𝗲𝗿 𝘁𝗼 𝗮𝘃𝗼𝗶𝗱 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝘆𝗼𝘂 𝘀𝗵𝗼𝘂𝗹𝗱 𝗸𝗻𝗼𝘄, 𝗜 𝘀𝗮𝘆 𝗮𝗴𝗮𝗶𝗻, 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗰𝗼𝗻𝘁𝗲𝗺𝗽𝗹𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝗱𝗼.
การจบชีวิตเพื่อหลบหนีบางสิ่งไม่ได้สร้างสถานการณ์ที่จะทำให้เธอสามารถหลบหนีจากสิ่งใดได้ หากเธอกำลังคิดที่จะจบชีวิตตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงบางอย่าง เธอก็ควรรู้ในสิ่งที่ฉันจะบอกกับเธออีกครั้งว่า เธอกำลังคิดใคร่ครวญในสิ่งที่เธอไม่สามารถทำได้
"𝗔 𝘄𝗶𝘀𝗵 𝘁𝗼 𝗮𝘃𝗼𝗶𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝗶𝘀 𝗽𝗮𝗶𝗻𝗳𝘂𝗹 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝗹 𝗽𝗮𝗿𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗵𝘂𝗺𝗮𝗻 𝗱𝗮𝗻𝗰𝗲. 𝗛𝗼𝘄𝗲𝘃𝗲𝗿, 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗽𝗮𝗿𝘁𝗶𝗰𝘂𝗹𝗮𝗿 𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗼𝗿 𝗵𝗶𝗺𝘀𝗲𝗹𝗳 𝗮𝘄𝗮𝘆 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗼𝘂𝗹 𝗵𝗮𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗲 𝘁𝗼 𝘁𝗵𝗲 𝗯𝗼𝗱𝘆 𝘁𝗼 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲, 𝗻𝗼𝘁 𝘁𝗼 𝗲𝘀𝗰𝗮𝗽𝗲.
ความปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องปกติ มันเป็นส่วนหนึ่งของการร่ายรำ (การใช้ชีวิต) ของมนุษย์★ อย่างไรก็ตาม วิญญาณมามีร่างกายนี้เพื่อมามีประสบการณ์ในโลกทางกายภาพ ไม่ใช่เพื่อหลบหนีจากประสบการณ์ในโลกทางกายภาพ
★ชีวิต คือ การร่ายรำ การร่ายรำ ก็คือ กระบวนการในการเคลื่อนที่ไปเพื่อมีประสบการณ์ไปชั่วนิรันดร ตรงนี้จึงหมายถึง การเวียนว่ายตายเกิด ได้ด้วยครับ คือการมีชีวิตในหลายชาติภพเพื่อมีประสบการณ์ไปชั่วนิรันดร์ –ผู้แปล–
1
"𝗕𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻 𝗵𝗮𝘀 𝗳𝗼𝘂𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗽𝗮𝗶𝗻𝗳𝘂𝗹 𝗮𝗻𝗱 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗶𝗰𝘂𝗹𝘁, 𝗵𝗲 𝗼𝗿 𝘀𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗲𝗸𝘀 𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗲𝗽 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝘃𝗼𝗶𝗱, 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗮𝗰𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘁𝗼 𝗳𝗲𝗮𝗿. 𝗕𝘂𝘁 𝗽𝗲𝗼𝗽𝗹𝗲 𝗰𝗮𝗻𝗻𝗼𝘁 𝘀𝘁𝗲𝗽 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗮 𝘃𝗼𝗶𝗱, 𝗯𝗲𝗰𝗮𝘂𝘀𝗲 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘃𝗼𝗶𝗱 𝘁𝗼 𝘀𝘁𝗲𝗽 𝗶𝗻𝘁𝗼. 𝗔 𝘃𝗼𝗶𝗱 𝗱𝗼𝗲𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗲𝘅𝗶𝘀𝘁.
แต่คนที่ฆ่าตัวตายอาจพบว่าประสบการณ์ในโลกทางกายภาพนั้นแสนจะเจ็บปวดและยากเย็นเกินไป เขาหรือเธอจึงพยายามก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ที่ซึ่งไม่มีอะไรให้ต้องเผชิญและไม่มีอะไรให้ต้องกลัว แต่คนเราไม่อาจก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่าได้ เพราะไม่มีความว่างเปล่าให้ก้าวเข้าไป ความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลยนั้นไม่มีอยู่จริง
1
"𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 𝘃𝗼𝗶𝗱 𝗮𝗻𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲. 𝗡𝗼𝘁 𝗮𝗻𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗮𝘁 𝗮𝗹𝗹. 𝗧𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝗻𝗼 '𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗻𝗼𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝗶𝘀.' 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗼, 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗶𝘀 𝗳𝗶𝗹𝗹𝗲𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴."
ไม่มีที่ใดในจักรวาลที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีที่ไหนเลย ไม่มีจริงๆ “ที่ที่ไม่มีอะไรเลย” นั้นไม่มีอยู่จริง ทุกที่ที่เธอไป เป็นพื้นที่ที่ถูกเติมเต็มไปด้วยบางสิ่งเสมอ
𝗡 : 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝗶𝘁? 𝗪𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 𝗳𝗶𝗹𝗹𝗲𝗱 𝘄𝗶𝘁𝗵?
N : มันคืออะไรครับ❓ พื้นที่นั้นเต็มไปด้วยอะไร❓
(มีต่อ)
หนังสือ
จิตวิญญาณ
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
HOME WITH GOD
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย