8 พ.ค. 2023 เวลา 14:00

ฟังธรรมอย่างไร ? จึงบรรลุธรรม

พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้านี้ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ
ข้อที่ 1 มีพระศาสดา หรือ มีผู้แสดงธรรมก่อน
ข้อที่ 2 คือมีข้อธรรมหรือมีธรรมนั้นๆ
ข้อที่ 3 มีผู้ฟัง
องค์ประชุม 3 นี้จึงจะเรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์
ถ้ามีแต่ศาสดาแสดงธรรมเอาไว้ ผู้ฟังไม่อยู่ด้วย ไม่ได้ร่วมแสดงธรรม ไม่ได้ฟังธรรม
ไม่ได้สนทนาธรรมตรงๆไม่ใช่ องค์นี้ไม่ใช่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เดี๋ยวเป็นอย่างไรจะชี้ให้ดูดังนี้
มีคนบอกว่าทุกวันนี้ตน หรือคนทั่วๆไปทุกวันนี้ สามารถรับฟังธรรมได้ง่ายมาก เพียงสนใจและมีโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
จากข้อธรรมนี้รู้สึกห่อเหี่ยว สลดใจ เพราะอากัปกิริยาที่คนนี้บอก หรือภาพที่เราเห็นปรากฏอยู่โดยทั่วไปนั้น ไม่ใช่องค์คุณแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์ แม้ใครจะบอกว่า มีข้อธรรมนะ มีครูบาอาจารย์หรือมีศาสดาเป็นผู้แสดงธรรมในข้อธรรมนี้ปรากฏอยู่ในสื่อ
เราเป็นผู้เข้าไปฟังจริง แต่ขณะนั้น ศาสดาไม่อยู่จริง มีข้อธรรมจริง
เราฟังธรรมจริง แต่องค์คุณไม่ครบองค์ คือเราไม่ได้เห็นศาสดาจริงๆ
ไม่ได้ฟังข้อธรรมนั้นจริงๆ และศาสดาก็ไม่เห็นตัวเราในวันนั้น ในขณะที่ฟังธรรมนั้น
เมื่อเข้าใจเนื้อความแห่งธรรมนั้นอย่างถูกต้อง ตนจะบอกกับศาสดากับครูอาจารย์ว่า บัดนี้ข้าพเจ้า หรือตัวดิฉันตัวกระผม ได้เข้าใจเนื้อความแห่งธรรมดังนี้ๆแล้วครับ ดังนี้ๆแล้วค่ะ เราก็พูดไม่ได้ ศาสดาก็ไม่รับรู้ ครูอาจารย์นั้นก็ไม่รับรู้
และในขณะเดียวกัน ศาสดานั้นก็ไม่สามารถย้อนถามกลับมาว่า
เอวัง ชานันตา เอวัง ปัสสันตา
เธอรู้เองเห็นเองแล้วใช่ไหม ในข้อธรรมนั้นๆ เธอจึงพูดเช่นนี้
ถ้าเธอเห็นเช่นนั้น เราก็เห็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน
ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรม หรือผู้ฟังธรรมและผู้แสดงธรรม
ไม่สามารถเห็นตรงกันได้ในข้อธรรมนั้นๆ นี่เป็นอากัป เป็นกิริยา เป็นพฤติ ที่ปรากฏอยู่โดยทั่วไปในยุคหลังพุทธกาลมานี้ นี่ไม่ใช่องค์คุณแห่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ที่บุคคลคนนั้นบอกนั้น
อื่นๆยังมีอีกตรงนี้ทำให้รู้สึกสลดใจ สังเวชใจ
เรามาดูข้อธรรมที่พระศาสดาประกาศเราไว้ในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ในเกวัฏฏสูตร ข้อ 341 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 9 พระศาสดาตรัสเอาไว้ว่า
กตมัญจ เกวัฏฏ อนุสาสนิปาฏิหาริยัง
อิธ เกวัฏฏ ภิกขุ เอวมนุสาสติ
เอวัง วิตักเกถ มา เอวัง วิตักกยิตถ
เอวัง มนสิกโรถ มา เอวัง มนสิกโรถ
อิทัง ปชหถ อิทัง อุปสัมปัชช วิหรถาติ
เกวัฏฏสูตร ข้อ 341 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 9
ดูกรเกวัฏฏะ ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นไฉน ?
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพร่ำสอนอย่างนี้ว่า
ท่านจงตรึกอย่างนี้ อย่าตรึกอย่างนั้น
จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น
จงละสิ่งนั้น จงเข้าถึงสิ่งนี้แล้วอยู่เถิด
นี้เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์
คือ จะต้องมีศาสดา มีข้อธรรม มีผู้ฟัง เมื่อฟังแล้ว ผู้ฟังรู้แจ้งในอรรถรู้แจ้งในธรรมแล้วสามารถยืนยันได้ว่า ข้าพระองค์ ข้าพเจ้า กระผม ดิฉัน รู้ข้อธรรมดังนี้ๆแล้วเจ้าค่ะ ผู้เป็นศาสดาก็ต้องย้ำถามว่า เธอรู้เองเห็นเองในข้อธรรมนั้นแล้วใช่ไหมจึงพูดเช่นนั้น ถ้าเธอรู้เองเห็นเองทั้งนั้นเราก็เห็นดังนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน จึงจะเรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์
จากความสลดใจนี่แหละภาพนี้ ภาพที่บุคคลนั้นบอกว่า ทุกวันนี้ตนหรือคนในทุกวันนี้สามารถรับฟังธรรมได้ง่ายมาก เพียงสนใจหรือมีโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
จากอากัปกิริยาดังกล่าวนี้
ยืนยันว่า หลังพุทธกาลมานี้ ไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด ทั้งครูอาจารย์และสาวก
ไม่บรรลุธรรมเลย จึงไม่ปรากฏคนบรรลุธรรมได้เลย จากอากัปกิริยาดังกล่าวนี้ ไม่มีเลย ยืนยัน
แม้บุคคลผู้นั้นจะบอกว่า ตนนั้นได้พบกับ พระสุปฏิปันโน ทั่วไป แต่ข้อที่ติดตามมาของบุคคลนั้นก็บอกว่า แม้ตนจะเป็นผู้ได้พบพระสุปฏิปันโน แต่เขาก็บอกว่า ไม่เคยฟังธรรมท่าน แสดงว่าบุคคลนั้นไม่ได้รู้ข้อธรรมใดๆจากครูอาจารย์เหล่านั้นเลย ซึ่งก็ผิดหลักอนุสาสนีปาฏิหาริย์อีก
แม้จะกล้าประกาศตนว่า ตนได้รู้จักพระสุปฏิปันโน ท่านบอกชื่อไว้เยอะแยะ แต่ชัดว่านั่นไม่ใช่สุปฏิปันโน นี่ข้อธรรมนี้เกิดความสลดใจดังนี้
ในปัจจยวัตตสูตร พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 20 ข้อ 482 พระศาสดาตัดเอาไว้ว่า
ตโย ภิกขเว อัตถวเส สัมปัสสมาเนน อลเมว ปเรสัง ธัมมัง เทเสตุง
ปัจจยวัตตสูตร ข้อ 482 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 20
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ 3 ประการ
ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงธรรมแก่คนอื่นๆ
อำนาจประโยชน์ 3 ประการเป็นไฉน
คือ ผู้แสดงธรรมรู้แจ้งอรรถด้วย รู้แจ้งธรรมด้วย 1
ผู้ฟังธรรมรู้แจ้งอรรถด้วย รู้แจ้งธรรมด้วย 1
ผู้แสดงธรรมและผู้ที่ฟังธรรมทั้งสองฝ่าย รู้แจ้งอรรถด้วย รู้แจ้งธรรมด้วย 1
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่พิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์ 3 ประการนี้แล
ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงธรรมแก่คนอื่นๆ
ดังนั้นถ้าย้อนกลับไปเบื้องต้น ถ้าครูอาจารย์คนใดคนหนึ่ง
ไม่ได้รู้แจ้งในอรรถ ไม่ได้รู้แจ้งในธรรมแล้ว
ถ้ามาแสดงธรรม ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่รู้แจ้งในอรรถ ไม่รู้แจ้งในธรรมด้วย
เพราะฉะนั้นทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรมทั้งสองฝ่าย
ก็จะไม่รู้แจ้งในอรรถ ไม่รู้แจ้งในธรรมด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย
พระพุทธเจ้า จึงประกาศชัดว่า ถ้าผู้ที่เห็นอำนาจเป็นประโยชน์ 3 ประการ
ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น เพราะว่า
1 ผู้แสดงธรรมจะต้องรู้แจ้งในอรรถ รู้แจ้งในธรรม
คนที่เป็นคนรู้แจ้งในอรรถ คนรู้แจ้งในธรรมเท่านั้น
จึงควรแสดงธรรม เพราะแสดงธรรมแล้วผู้ฟังจะต้องรู้แจ้งในอรรถด้วย รู้แจ้งในธรรมด้วย
ดังนั้นทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรม
จะต้องรู้แจ้งในอรรถ รู้แจ้งในธรรม ตรงกันตรงนี้จึงจะเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์
แสดงธรรมแก่กันนะ ไม่ใช่แสดงธรรมอยู่คนละฟากฟ้านะ
ต้องมาแสดงธรรมตรงๆต่อกัน ถ้าผู้ฟังธรรมฟังธรรมแล้วรู้แจ้งในอรรค รู้แจ้งในธรรมแล้ว ประกาศตนว่า ตนได้รู้แจ้งในอรรค รู้แจ้งในธรรมดังนี้ ผู้แสดงธรรมต้องรับรู้ตามว่า เธอรู้เองเห็นเองแล้วใช่ไหม เธอจึงพูดเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น ทั้งผู้แสดงธรรมและผู้ฟังธรรมรู้แจ้งในอรรถ รู้แจ้งในธรรมตรงกัน
บุคคลผู้นี้จึงควรอย่างยิ่งที่จะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พระพุทธเจ้าประกาศ
เพราะฉะนั้นบุคคลที่ว่า ตนได้ฟังธรรมจากพระสุปฏิปันโน ตนได้เห็นพระสุปฏิปันโน
ยังห่างไกลจากเรื่องนี้อยู่มากนัก เพราะได้สอบถามแล้ว เขาก็ไม่ได้บอกว่า ฟังธรรมจากคนนั้นว่าดังนี้ ฟังธรรมจากคนนี้ว่าดังนี้ แต่เขาจะสรุปว่า ตนได้ถือเอา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นหลัก แต่พอถามบางสิ่งบางอย่างสซักไซ้เข้าไป เขาก็ตอบไม่ได้
เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นความเหมาะสมในการฟังธรรมต่อกัน จึงเกิดความสลดใจขึ้น จึงนำธรรมนี้มาแสดง เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว
อ้างอิง
เกวัฏฏสูตร ข้อ 341 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 9
ปัจจยวัตตสูตร ข้อ 482 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 20

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา