24 มิ.ย. 2023 เวลา 00:00

การนั่ง (เหมือนนั่งสมาธิ) ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ?

สืบเนื่องจากบุคคลเดิมเมื่อตอนที่แล้ว ได้เกิดความสงสัยใคร่รู้ในธรรม โดยถามว่า แล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในคืนวันวิสาขบูชาในท่านั่งใต้ต้นโพธิ์ล่ะ ไม่ใช่การนั่งสมาธิหรือ นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้านั่งสมาธิก่อนหรือ พระองค์ท่านจึงบรรลุธรรม เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้านี่คือภาพนี้
ภาพที่มีบุคคลรังสรรค์ขึ้น เป็นภาพที่เจนตาเจนใจหมู่ชาวพุทธโดยทั่วไป ดูเหมือนว่าพระพุทธเจ้ากำลังปฏิบัติการนั่งสมาธิอยู่ กำลังแสดงการนั่งสมาธิอยู่ กำลังบัญญัติการนั่งสมาธิอยู่ กำลังประกาศการนั่งสมาธิอยู่ ผู้คนทั่วไปจะเห็นดังนั้น
แต่ดังที่ได้บอกแล้วว่า การนั่งสมาธิไม่มีในพุทธศาสนา พระศาสดาไม่เคยแสดง พระศาสดาไม่เคยปฏิบัติ พระศาสดาไม่เคยบัญญัติ พระศาสดาไม่เคยประกาศ การนั่งสมาธิด้วยพระสูตรใดๆเลย
ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบคำถาม ในตอนที่แล้วได้พูดถึง ได้แสดงธรรมในพระพุทธเจ้าถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้บุคคลบรรลุธรรม โดยอาศัยโสตานุคตสูตรข้อ 191 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 21 มาแสดงแล้วในตอนที่แล้ว
ว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่เว้นใครเลย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าจนมาถึงทุกคนที่บรรลุธรรมได้นั้น จะต้องกระทำเหตุกระทำปัจจัย คือจะต้องฟังธรรมในนวังคสัตถุศาสน์ อันประกอบไปด้วย
สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตก อัพภูติธรรม เวทัลละ นั้น
โดย โสตานุคตานัง ภิกขเว ธัมมานัง ฟังธรรมนี้มาก่อนเนืองๆ
วจสา ปริจิตานัง จำธรรมนี้จนติดปาก
มนสานุเปกขิตานัง จำธรรมนี้จนขึ้นใจ
ทิฏฐิยา สุปปฏิวิทธานัง แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ ในธรรมนั้น
1
ในชาตินั้น บุคคลผู้นั้นในชาติเบื้องต้น ชาติแรก ชาติหนึ่งชาติเดียวนั้น บุคคลผู้นั้นจะไม่บรรลุธรรมเลย เมื่อตายไปเธอก็จะหลงลืม เมื่อตายไปเธอก็จะหลงลืม แต่จะมีเหตุปัจจัยให้เธอได้ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ อย่างเช่นพระพุทธเจ้านี้ ท่านพบพระพุทธเจ้าจริงๆ 27 พระองค์ และใกล้ๆ พระองค์ท่านก็พบพระพุทธเจ้า วิปัสสี สิขี เวสสภู กกุสันโธ โกนาคมโน กัสสโป พบหมดเลย แม้กระทั่งพบตัวพระองค์เองตอนสุดท้าย
เราต้องเห็นว่า ท่านได้ฟังธรรมเนืองๆมาก่อนจำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ แต่ไม่บรรลุธรรม นี่คือสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง ในวิชาความรู้ที่จะออกจากวัฏสงสาร จะออกได้ต้องบรรลุธรรมโดยวิธีเดียวเท่านั้น
แล้วพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นสมัยมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ หรือสมณโคดมนี้ ท่านก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตจึงบรรลุธรรม ในเมื่ออายุ 35 พรรษาหรือ 35 ปี แล้วก็อยู่กับธรรมะนั้นอีก 45 ปีจึงปรินิพพานเมื่อ 80 ปี
1
หามาสี่อสงไขยกับอีกแสนกัปกว่าจะบรรลุธรรม พอบรรลุธรรมก็อยู่ช่วงสั้นๆนั่นแหละ 40 กว่าปีนั่นแหละ ดังเราเห็น แต่บอกให้ฟังว่า พระองค์ท่านบรรลุธรรมโดยการฟังธรรมเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาก่อน ไม่ได้เกิดจากการนั่งสมาธินี้
นั่นในตอนที่แล้ว ได้แสดงแล้ว
ลำดับต่อไปนี้ จะแสดงธรรมเดียวกัน แต่เป็นในคุณสมบัติอีกสิ่งหนึ่ง ว่าธรรมนี้ คือธรรมอันเป็นเหตุให้พระพุทธได้ตรัสรู้ บรรลุอุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณ คือธรรมเดียวกันนี้ ธรรมที่เป็นเหตุให้พระองค์ท่านตรัสรู้ในเบื้องต้นจากโสตานุตตานังก็ธรรมนี้
และในมหาศักยมุนีโคตมสูตรนี้ก็เป็นธรรมเดียวกัน จะนำมาแสดงให้ได้ดูดังนี้ มหาศักยมุนีโคตมสูตร ข้อ 26 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 16 ขึ้นต้นว่า
1
ดูกรภิกษทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริติดังนี้ว่า โลกถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรมอันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้ เมื่อไรเล่าความออกจากทุก คืนชรามรณะนี้จะปรากฏ
ทุกคนอ่านแล้วคงจะพอจะรู้ตามได้ สมัยนี้พระพุทธเจ้านั้นยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่ได้ตรัสรู้ พระองค์ท่านก็ได้เห็นแล้วว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ตาย จุติ และอุบัติ เห็นการเวียนเกิดเวียนตายแล้ว แต่ไม่รู้สาเหตุว่า อะไรมาเวียนเกิด อะไรมาเวียนตาย และจะออกจากทุกข์คือการเวียนเกิดเวียนตาย คือชรามรณะ โสกะปริเทวะนี้ ได้อย่างไรก็ยังไม่รู้
จนได้เกิดความปริมตกต่อไปว่า เมื่อไรเล่าความออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้จะปรากฏหนอ ทำยังไงเราถึงจะแก้ปัญหาเรื่องความแก่ความเจ็บความตายนี้ได้ นี่คือสมัยเบื้องต้นเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ต้องเห็นตามดังนี้
นี่แหละเหตุปัจจัยกำลังประชุมพร้อมกัน เพื่อให้พระองค์นั้น ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรมอลมริยญาณทัสสนวิเสส ก้าวล่วงจากความเป็นโพธิสัตว์นี้ เข้าสู่ความเป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วหลังจากนั้นพระองค์ก็ประกาศว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตตกดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอมีอยู่ชรามรณะจึงมี ชารามรณะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ชรามรณะจึงมี
แล้วหลังจากนั้นก็ถามว่า อะไรเป็นเหตุให้ชาติมีอยู่ พระพุทธเจ้าจึงเห็นต่อไปว่า เมื่อภพมีอยู่ชาติจึงมี แล้วหลังจากนั้นก็ถามต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้ภพมีอยู่ จึงได้เห็นว่าเพราะอุปทานมีอยู่ภพจึงมี แล้วตามรู้ต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้อุปาทานจึงมี เพราะตัณหามีอยู่อุปาทานจึงมี
แล้วตามต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้ตัณหามีอยู่ เพราะเวทนามีอยู่ตัณหาจึงมี แล้วตามรู้ตรงต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้เวทนามี เพราะผัสสะมีอยู่เวทนาจึงมี ตามรู้ลงไปอีกว่า แล้วอะไรให้เป็นเหตุให้ผัสสะเกิดขึ้นล่ะ เพราะสฬายตนะมีอยู่ผัสสะจึงมี ตามรู้ลงต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้สฬายตนะมี ได้คำตอบว่าเพราะนามรูปมีสฬายตนะจึงมี
1
ตามต่อไปว่า แล้วอะไรเป็นเหตุให้นามรูปมีอยู่ เพราะวิญญาณมีอยู่นามรูปจึงมี ตามรู้ต่อไปอีกว่า แล้วอะไรมีอยู่วิญญาณจึงมี ได้รับคำตอบว่า เพราะสังขารมีอยู่วิญญาณจึงมี ตามรู้ลงไปอีกว่า แลัวอะไรเป็นเหตุให้สังขารมี เพราะอวิชามีอยู่สังขารจึงมี
สรุปจบว่า สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ สฬายตนะมีเพราะผัสสะ ผัสสะมีจึงเกิดขึ้นสิ่งนั้นไปจนถึงชรามรณะ
ความเกิดขึ้นแต่เบื้องต้นคือไล่ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส ไล่ขึ้นไปตามลำดับของปฏิจจสมุปบาท
พระองค์สรุปจบว่า ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลจึงมี หรือย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เราในธรรมที่ไม่เคยฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้
คือ เห็นเหตุแห่งความเกิดขึ้นของกองทุกข์ ที่ต้องมาชรามรณะโสกะปิเทวะทุกขะโทมนัสไม่สิ้นสุดแล้ว ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายคข้างกิดดังที่ไล่มานี้ เป็นอาการของจิต มโน วิญญาณ ที่จะเห็นได้ด้วยบทธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท ที่ไล่มาเมื่อสักครู่นี้
ให้ดูตรงนี้ก่อน ได้บังเกิดแก่เราในธรรมที่ไม่เคยฟังมาก่อน เราจะสงสัยว่า แล้วพระศาสดาไม่เคยฟังธรรมนี้หรือ ไม่ใช่ ตรงที่ไม่ได้ฟัง คือชาตินี้ ชาติที่เป็นสมณโคดมนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ธรรมนี้ มีพระองค์ท่านที่รู้ธรรมนี้เพียงคนเดียว โดยการระลึกขึ้นมาได้ จากอานิสงส์ประการที่ 1
ในการฟังธรรมเนื่องๆ จำผิดปาก จำขึ้นใจนั้น ไม่ได้ฟังธรรมนี้จากใครเลย ในพระชาติที่เป็นที่ชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะ หรือสมณโคดมนี้ ระลึกบทธรรมได้เอง ที่ไม่เคยฟังมาก่อนก็คือระลึกขึ้นได้เอง ไม่เคยฟังมาก่อนก็เฉพาะชาตินี้ แต่ชาติก่อนๆนั้น ฟังเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาแล้ว 4 อสงไขยกับแสนกัป ให้เห็นตรงนี้
แล้วหลังจากนี้นี่คือฝ่ายข้างเกิน ฝ่ายข้างเกิด คือฝ่ายข้างเกิดทุกข์ หรือเหตุเกิดทุกข์ ในตอนนี้เห็นอริยสัจ 4 ในส่วนที่เป็นเบื้องต้น คือเห็นเหตุเกิด คือเห็นทุกข์กับสมุทัยแล้ว
มาดูต่อว่า แล้วหลังจากนั้น พระองค์ท่านเห็นฝ่ายข้างดับอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับชรามรณะจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มีชราจึงไม่มี
แล้วก็ดูต่อไปว่า อะไรทำให้ชาติไม่มี เพราะภพไม่มีชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับชาติจึงดับ เพราะเมื่อภพไม่มีหรือภพดับชาติจึงดับ แล้วทำยังไงภพถึงจะไม่มี เพราะไม่มีอุปาทานภพจึงไม่มี แล้วอะไรทำให้อุปาทานไม่มี เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ ตรงนี้ใช้คำว่าดับนะ
แล้วอะไรทำให้ตัณหาดับ เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ แล้วอะไรทำให้เวทนาดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ ตามรู้ลงต่อไปว่า อะไรดับจึงทำให้ผัสสะดับ ก็ได้รับความรู้ว่า เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ ตามรู้ลงต่อไปว่า สฬายตนะดับได้อย่างไร เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ แล้วอะไรไม่มี
2
แล้วหลังจากนั้น เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ หลังจากนั้นจึงตามรู้ว่า วิญญาณดับเพราะอะไรดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ตามรู้ลงไปจนสุดท้ายว่า เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ หรือสังขารจึงไม่มี
ก็ไล่ให้เราฟังว่า เพราะอวิชชาดับสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับสฬายตนะดับ เพราะสฬสยตนะดับผัสสะดับ เพราะผัสสะดับเวทนาดับ เพราะเวทนาดับตัณหาดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานดับ เพราะอุปาทานดับภพดับ เพราะภพดับชาติดับ เพราะชาติดับชรามรณะโสกปริเทวะก็ดับ
พระองค์จึงตรัสต่อไปว่า ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยฟังมาก่อน ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ
นี่คือเหตุแห่งความดับทุกข์ ที่ได้แสดงโดยสรุปให้ได้ทราบ คำว่า ธรรมที่ไม่เคยฟังมาก่อนไม่สงสัยแล้วนะ จะเห็นว่าพระองค์ท่านตรัสว่า ฝ่ายข้างเกิดหรือเหตุเกิดทุกข์ ฝ่ายข้างดับหรือเหตุดับทุกข์
โดยสรุปให้ดูตรงอริยสัจ 4 จะมีทุกข์กับสมุทัย ทุกข์กับสมุทัยนี้คือเหตุเกิดทุกข์ นิโรธกับมรรคนี่คือความดับทุกข์ ก็คือเหตุดับทุกข์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีคุณมีโทษอุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง 6 ตามความเป็นจริง โดยสรุปคือสมถะและวิปัสสนา หรือการกระทำฌานออก
เพราะฉะนั้น เราจะเห็นต้นเหตุแห่งกองทุกข์นี่
คือ จิต มโน วิญญาณ ของเรา
ซึ่งเราจะเห็น จิต มโน วิญญาณ ได้ด้วย
อาการคือ อาการที่ปรากฏ
ลิงค คือ เพศ เพศหญิงเป็นแบบนี้เพศชายเป็นแบบนี้
นิมิตคือเครื่องหมาย เครื่องหมายของสัตว์นรกเป็นแบบนี้ เดรัจฉานเป็นอย่างนี้ เปรตเป็นอย่างนี้ มนุษย์เป็นอย่างนี้ เทวดาเป็นอย่างนี้
เห็นอุเทส เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ละเรื่อง แต่ละเรื่อง เห็นอุเทส
เราจะเห็น อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต ของมโม ของวิญญาณ ของเราได้ด้วยธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท ที่พระศาสดาได้ตรัสรู้นี่เอง พระองค์ท่านเห็นอย่างไร เราก็เห็นด้วยอย่างนั้น
ท่านเป็นคนตรัสรู้ แต่เราเป็นคนรู้ตามด้วยปัญญา
เป็นธรรมเดียวกัน ท่านปรินิพพานเราก็ปรินิพพาน
ท่านรู้ เรารู้ทั้งหมด ไม่มีผิดเพี้ยนจากกันแม้แต่นิดเดียว
เพราะฉะนั้นโดยสรุปให้รับทราบ ก็คือ ธรรมอันเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นั้น คืออริยสัจ 4 เมื่อสักครู่นี้ ที่ไล่ไปในมหาศักยมุนีโคตมสูตรนั้น คือธรรมที่ชื่อว่าอริยสัจ 4 นี้ ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างดับ เห็นอย่างนี้
ฝ่ายข้างเกิด คือ ทุกข์ สมุทัย
ฝ่ายข้างดับ คือ นิโรธกับมรรค
เราเห็นชัดแล้ว
เห็นได้ด้วยปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น ใครยังท่องปฏิจจสมุปบาทยังไม่ได้ ท่องให้ได้ก่อน เพราะเมื่อแสดงธรรมต่อกันก็จะต้องพูดคุยกันเรื่องนี้ แล้วจะทำให้ตัวเองนั้น ได้เห็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต ของมโน ของวิญญาณ ของตนเอง
และจะได้รู้กระบวนแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออริยสัจ 4 นี้ว่าทุกข์คืออย่างไร ว่าสมุทัยคืออย่างไร ว่านิโรธคืออย่างไร ว่ามรรคนี้คืออย่างไร ถ้าแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายเหตุเกิดทุกข์ และฝ่ายเหตุดับทุกข์เป็นอย่างไร
เขามีคุณอย่างไร เขามีโทษอย่างไร เห็นอุบายเครื่องออกจากผัสสายตนะทั้ง 6 ตามความเป็นจริง ที่ทุกข์เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และเห็นความดับทุกข์ ในทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้จะดับลงได้อย่างไร ต้องเป็นผู้รู้ในธรรมที่ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาทก่อน
ไม่รู้คนนั้นจะลำบาก คนนั้นจะยุ่งยากในการที่จะถูกซักไซ้ไล่เรียง ถูกสอบถาม หรือสืบค้นหา อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต ของมโน ของวิญญาณ ของตนเอง กายของเรานี้เพียงจะอาศัยเท่านั้น แต่ตัวที่จะนำกรรมของเราไปนั้น ทำกรรมแล้วส่งผล มีกรรมแล้วส่งผลไปน่ะ เป็นจิต เป็นมโน เป็นวิญญาณ
เราเห็นชัดเจนแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งสมาธิ ในคืนวันวิสาขบูชา
ท่านั่งนี้ ไม่ใช่การนั่งสมาธิ แต่เป็นการกระทำความแยบคายไว้ในใจของพระองค์ท่าน ให้เห็นถึง อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต ของมโน ของวิญญาณนี้
พระองค์ท่านได้ตรัสรู้ในเรื่องอริยสัจ 4 จากที่พระองค์ท่าน ฟังธรรมมาก่อนเนืองๆ จำติดปาก จำขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิมาก่อนทั้งสิ้น ไม่ได้มานั่งสมาธิเอา
อ้างอิง
มหาศักยมุนีโคตมสูตร ข้อ 26 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 16

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา