27 มิ.ย. 2023 เวลา 10:00

นั่งสมาธิ แล้วจึงกระทำฌาน ดังนี้ (คนที่พูดเช่นนี้ได้ชื่อว่าโกหก ฯ)

ลำดับต่อไปนี้จะแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่า นั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้ คนที่พูดและกระทำเช่นนี้ได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิและกล่าวตู่คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งสิ้น เหตุที่ต้องแสดงธรรมว่า การนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้ คนที่พูดและกระทำเช่นนี้ได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่ในทั้งสิ้นดังนี้
สืบเนื่องมาจากโดยลำดับที่ผ่านมานั้น ได้แสดงธรรมในพระพุทธเจ้าให้ได้รับทราบมาโดยลำดับว่าการนั่งสมาธิ ไม่มีในพุทธศาสนา การนั่งสมาธิเป็นมิจฉาทิฏฐิและกล่าวตู่คำสอนของพระสัมพุทธเจ้า อยู่ในคนยุคปัจจุบันนี้ เพราะว่าการนั่งสมาธินี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยแสดง พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ และพระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศการนั่งสมาธิ ด้วยพระสูตรใดๆเลย
เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิจึงไม่มีพระสูตรในการปฏิบัติ หรือไม่มีพระสูตรแสดงผลจากการปฏิบัติว่า เบื้องต้นเป็นดังนี้ ท่ามกลางเป็นดังนี้ และที่สุดเป็นดังนี้เลย ไม่มี เมื่อไม่มีดังนี้ การนั่งสมาธิจึงไม่สามารถบอกได้ว่า นั่งอย่างไรจึงได้เห็นอริยสัจ 4 โดยถ้วนรอบแล้วนั่งอย่างไรจึงได้ฌาน1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 เป็นที่บริบูรณ์แล้ว และนั่งอย่างไรจึงได้โสดาบัน นั่งอย่างไรจึงได้สกทาคามี นั่งอย่างไรจึงได้ความเป็นพระอนาคามี และที่สุดนั่งอย่างไรจึงได้ความเป็นอรหันต์แล้วเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเราได้ทราบชัดว่า การนั่งสมาธิไม่มีในพุทธศาสนา เป็นมิจฉาทิฏฐิและกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ในยุคปัจจุบันนี้ แต่ในยุคการที่ผ่านมานี้ หลังพุทธกาลมานี้ พวกเราทั้งหลายมักจะได้ยินว่า การนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌาน ของครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบันนี้
โดยพฤติหรือคำพูดที่แสดงถึงพฤตินั้นว่า เรามานั่งสมาธิกัน เหมือนนั่งสมาธิแล้วจิตสงบแล้ว จึงกระทำฌานได้ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ดังนี้บ้างดังนี้ ทำให้เกิดความสงสัยว่า ก็เมื่อนั่งสมาธิไม่มีแล้วนี่ บุคคลเหล่านี้ยังมาบอกว่านั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้เป็นจริงหรือไม่
ตอบที่ตรงนี้เลยว่า คนที่บอกว่านั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้ คนที่พูดเช่นนี้ และกระทำเช่นนี้ได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่โดยทั้งสิ้น เหตุเพราะว่า จะยกเอามหาจัตตารีสกสูตร ข้อ 252 ที่อรหันตสาวกนำมารวบรวมไว้ ในพระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 14
โดยจะยกเนื้อความแห่งธรรมในพระสูตรจากข้อ 252 ถึง 253 ก็จะรู้แล้วว่าเมื่อนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานนั้น ได้หรือไม่อย่างไร เรามาดูกัน
จากปากคำของท่านพระอานนท์เป็นเบื้องต้นในเรื่องนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิ ของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ข้อ 253
กตโม จ ภิกขเว อริโย สัมมาสมาธิ สอุปนิโส สปริกขาโร เสยยถีทัง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ยา โข ภิกขเว อิเมหิ สัตตังเคหิ จิตตัสส เอกัคคตา ปริกขตา อยัง วุจจติ ภิกขเว อริโย สัมมาสมาธิ สอุปนิโส อิติปิ สปริกขาโร อิติปีติ
ท่านผู้รู้ได้แปลเอาไว้ว่า พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
ดูที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าประกาศชัดว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะของพระองค์ท่านนี้ ที่บอกว่า เรียกว่าสัมมาสมาธิตรงนี้ เกิดจากองค์ประกอบแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ แต่ประกอบอยู่ด้วยมรรคทั้ง 7 คือ เมื่อประกอบสัมมาทิฏฐิแล้ว สัมมาสังกัปปะแล้ว สัมมาวาจาแล้ว สัมมากัมมันตะแล้ว สัมมาอาชีวะแล้ว สัมมาวายามะแล้ว สัมมาสติแล้ว จนครบถ้วนทั้ง 7 องค์แห่งมรรคนี้
ปฏิบัติที่มรรค 7 องค์นี้ ปฏิบัติอยู่ก่อนนะ ทำการปฏิบัติก่อน ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสตินี้ก่อน จนบริบูรณ์แล้วตามคำที่บอกว่า
ยา โข ภิกขเว อิเมหิ สัตตังเคหิ
จิตตัสส เอกัคคตา ปริกขตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล คำว่าประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล ก็คือกระทำจนจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง จากการปฏิบัติมรรค 7 องค์นี้ เมื่อปฏิบัติมรรค 7 องค์นี้จึงได้สัมมาสมาธิ ปฏิบัติมรรค 7 องค์นี้ จนครบถ้วนจนบริบูรณ์แล้ว จึงได้สัมมาสมาธิ กลับกันไหม กลับหัวกลับหางกันไหม
ของคนในยุคปัจจุบันนี้ เมื่อไม่รู้จริงไม่แทงตลอดในพระสูตร ก็จะบอกว่า มานั่งสมาธิก่อน แล้วจึงกระทำฌาน กระทำฌานแล้วจึงจะได้สัมมาสมาธิ
แต่ของพระพุทธเจ้า ท่านปฏิบัติการกระทำฌานก่อน ตรงนี้ท่านกระทำฌานก่อน โดยการปฏิบัติมรรค 7 องค์นี้ วิธีการปฏิบัตินั้นเป็นการกระทำฌาน กระทำฌานจน สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ครบถ้วนบริบูรณ์จน จิตตัสส เอกัคคตา ปริกขตา อยัง วุจจติ ภิกขเว อริโย สัมมาสมาธิ
ความเป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้ เรียกว่าสัมมาสมาธิ ของท่านจะทำฌานก่อน จึงจะได้สัมมาสมาธิ ไม่ใช่ได้นั่งสมาธินี้นะ จึงได้สัมมาสมาธิ จะกลับกัน
แต่ของคนในยุคปัจจุบันนี้ จะนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌาน เดี๋ยวจะเอาพระสูตรที่ชื่อว่ามหาสติปัฏฐานสูตรมาอธิบายให้รับทราบ แต่ตอนนี้ให้เห็นก่อนว่า ของพระองค์ท่านต้องกระทำการปฏิบัติมัก 7 องค์ ด้วยการกระทำฌานก่อน แล้วจึงจะได้ความเป็นสัมมาสมาธิ นี่จากมหาจัตตารีสกสูตร ให้ทุกคนได้เห็นตามดังนี้ก่อน
ทีนี้มาดูองค์ประกอบที่ควบกันอยู่ จะนำมาดูให้ดูดังนี้ จากพระสูตรที่ชื่อว่า มหาสติปัฏฐานสูตร เริ่มต้นที่ข้อ 273 เป็นต้นไป ข้อนี้เป็นข้อ 299 ดูที่ตรงนี้จะประกอบกัน เมื่อไล่มาตามลำดับ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติแล้ว
เมื่ออธิบายสัมมาสมาธิที่นี้ เมื่อมาถึงสัมมาสมาธินี้ พระพุทธเจ้าจะประกาศว่า ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่นี่ได้ฌาน 1 กระทำฌาน 1 แล้ว
เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารดับไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ นี่ได้ฌาน 2 ทำฌาน 2 แล้ว
ลำดับต่อมาทำฌาน 3 คือ เธอมีอุเบกขา มีสติ สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
ลำดับต่อมาถึงฌาน 4 ว่า เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆเสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ อันนี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ กระทำฌานก่อนจึงได้สัมมาสมาธิ ต้องดับทุกข์ก่อน ต้องดับทุกข์ก่อนจึงได้สัมมาสมาธิ
ข้อธรรมที่เป็นสัมมาสมาธินี้ อธิบายการปฏิบัติมหาจัตตารีสกสูตรนี้ อธิบายการปฏิบัติมหาจัตตารีสกสูตรนี้ มหาจัตตารีสกสูตรก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ มีองค์ประกอบคือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล เรียกว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะ ตรงนี้สัมมาสมาธิของพระอริยะ
ก็ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงเอาไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็อันเดียวกัน การปฏิบัติเพื่อที่จะให้ได้สัมมาสมาธินี้ ต้องปฏิบัติด้วยฌาน1 ฌาน 2 ฌาน3 ฌาน 4 จนสิ้นก่อนจึงจะได้สัมมาสมาธิ
เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่า เมื่อนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้ คนที่พูดและกระทำเช่นนี้ ได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิและกล่าวตู่คำสอน ของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งสิ้น เพราะกลับหัวกลับหางกัน
ของพระพุทธเจ้าจะกระทำฌานก่อน โดยการปฏิบัติมรรถ 7 องค์ แล้วจะได้องค์ที่ 8 เอง แต่ของหมู่ชาวพุทธเราจะนั่งสมาธิ แล้วจึงกระทำฌาน ซึ่งคนที่พูดเช่นนี้ คนที่กระทำเช่นนี้ ได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิ และกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งสิ้น
ยืนยันว่าไม่ได้มาหักล้าง ไม่ได้มาล้มล้าง ไม่ได้มาเอาแพ้ ไม่ได้มาเอาชนะ ไม่ได้ทำไปเพื่อลาภสักการะใดๆ แต่ทราบชัดว่า ยุคนี้หมู่มวลชาวพุทธของพวกเรา ได้ตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าด้วยความเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่
ดังที่ประจำในพรหมชาลสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า
มมัง วา ภิกขเว ปเร อวัณณัง ภาเสยยุง
ธัมมัสส วา อวัณณัง ภาเสยยุง
สังฆัสส วา อวัณณัง ภาเสยยุง
ตัตร ตุเมหหิ อภูตัง อภูตโต นิพเพเฐตัพพัง
ในคำที่เขากล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น เธอควรกล่าวแก้ให้เห็นเป็นจริงว่า นั่นไม่จริงเพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่มีในเราเพราะเหตุนี้ และแม้คำนั้นก็หาไม่ได้ในเราเพราะเหตุนี้
ใครรู้แล้วไม่แก้ ไม่กระทำตามคำของท่าน คนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทราบฐานะของความเป็นมิจฉาทิฏฐิดี จึงมาทำหน้าที่ตรงนี้
ตอนนี้เห็นแล้วว่า หมู่ชาวพุทธเรา กล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่ เป็นมิจฉาทิฏฐิในเรื่องของการนั่งสมาธิ โดยหมู่ชาวพุทธเราแสดงการนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌาน แต่ของพระศาสดาดังที่นำมาให้เห็นเป็นหลักฐาน และบุคคลผู้ที่ได้ทราบธรรมนี้แล้ว จะกระทำฌานก่อน เขาเหล่านั้นจึงได้สมาธิหรือสัมมาสมาธิอยู่ เป็นสุขในปัจจุบันนี้ได้ กระทำมาตามลำดับแล้ว ใครเป็นผู้รู้ไม่ทำหน้าที่ดังนี้คนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อเห็นชัดแล้วว่า ถ้าคำบอกว่าการนั่งสมาธิแล้วจึงกระทำฌานดังนี้ ไม่มี ทำไม่ได้ และคนที่ทำเช่นนี้ คนนั้นที่พูดเช่นนี้ กระทำเช่นนี้ คนนั้นได้ชื่อว่าโกหก เป็นมิจฉาทิฏฐิและกล่าวตู่พระธรรมคำสอน ในพระพุทธเจ้าอยู่โดยทั้งสิ้น
อ้างอิง
จัตตารีสกสูตร ข้อ 252 ข้อ 253 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 14
มหาสติปัฏฐานสูตร ข้อ 273 เป็นต้นไป ข้อ 299 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 10
พรมชาลสูตร ข้อ 1 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 9

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา