26 มิ.ย. 2023 เวลา 09:00

การนั่งสมาธิ โดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ก็นิพพานได้ ดังนี้จริงหรือ ?

ลำดับต่อไปนี้จะแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่า การนั่งสมาธิโดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ก็ถึงนิพพานได้ดังนี้จริงหรือ? เหตุที่ต้องแสดงธรรมในข้อธรรมที่ว่า การนั่งสมาธิโดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ก็ถึงนิพพานได้ดังนี้จึงหรือ? ดังนี้นั้น
สืบเนื่องจากโดยลำดับที่ผ่านมา ได้แสดงธรรมในพระพุทธเจ้า ในข้อธรรมที่ว่า การนั่งสมาธิ ไม่มีในพุทธศาสนา การนั่งสมาธินี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นการกล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่ในคนยุคปัจจุบันนี้
นั่นเพราะว่าการนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าไม่เคยแสดง พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิบัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยประกาศ การนั่งสมาธิไว้ด้วยประสูตรใดๆเลย ดังนั้นการนั่งสมาธิจึงไม่มีพระสูตรในการปฏิบัติ หรือไม่มีพระสูตรแสดงผลการปฏิบัติว่า เบื้องต้นดังนี้ ท่ามกลางดังนี้ ที่สุดดังนี้ เอาไว้เลย ไม่มีเลย
ดังนั้นการนั่งสมาธิของคนในยุคหลังพุทธกาลมานี้ จึงไม่สามารถบอกได้ว่า นั่งอย่างไรจึงได้เห็นอริยสัจ 4 แล้ว นั่งอย่างไรจึงได้ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 แล้ว และนั่งอย่างใด จึงได้ความเป็นโสดาบันแล้ว จึงได้ความเป็นสกทาคามีแล้ว จึงได้ความเป็นอนาคามีแล้ว และนั่งอย่างใดจึงได้ความเป็นอรหันต์แล้ว ไม่มีเลย ดังนั้นการนั่งสมาธิจึงไม่มีในพุทธศาสนา
แต่หมู่มวลชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ เมื่อไม่สามารถรู้จริงแทนตลอดในอริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้าที่ประกาศเอาไว้แล้ว คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราเข้าไม่ถึงธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศเอาไว้เป็นเอกังสะ เป็นธรรมอันเดียวนี้ คืออริยสัจ 4 อันมีองค์ประกอบ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคน เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงธรรมนี้ เป็นเหตุให้เราได้บัญญัติธรรมขึ้นแทนอริยสัจ 4 โดยบัญญัติการนั่งสมาธิขึ้นแทน
ได้แสดงให้ได้รับทราบมาโดยลำดับแล้วว่า อริยสัจ 4
อันประกอบไปด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
พระพุทธเจ้าประกาศเอาไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร ข้อ 273 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 10
อีกเล่มหนึ่งจะอยู่ในเล่ม 12 มีอยู่ 2 ที่ ในพระไตรปิฎก ในพระสูตร
เพราะฉะนั้น หมู่ชาวพุทธของพวกเรา ไม่สามารถเข้าถึงพระสูตรที่ชื่อว่ามหาสติปัฏฐานสูตรนี้ได้ ซึ่งใครอยากรู้ว่ายากอย่างไรลองมาดูกัน มาดูในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้เถอะ มีบุคคลผู้ที่มีฐานะเดียวเท่านั้น จึงจะถึงพระสูตรนี้ได้ เห็นดังนั้น
และเมื่อพระสูตรที่ชื่อว่ามหาสติปัฏฐานสูตร เป็นพระสูตรหลัก เป็นเนื้อความแห่งรายละเอียดที่พระพุทธเจ้าแสดงเอาไว้ แสดงอริยสัจ 4 นี่แหละ หรือแสดงโพธิปักขิยธรรมอยู่ที่นี่ เป็นรายละเอียด
และหลังจากนั้นก็จะปรากฏพระสูตรที่เป็นบททำย่อ คืออานาปานสติสูตรนี้ อยู่ที่ข้อ 282 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 14 พระสูตรนี้ เป็นพระสูตรที่แสดงบททำย่อ เป็นการแสดงบทธรรมย่อของมหาสติปัฏฐานสูตรเมื่อสักครู่นี้ เป็นบทคำย่อ ไม่ใช่บทธรรมหลัก ถ้าบทธรรมหลักจะอยู่ที่มหาสติปัฏฐานสูตร ตรงอานาปานสติเป็นบททำย่อ
ในที่นี้จะปรากฏเพียงบอกว่า ภิกษุเจริญอานาปานสติแล้ว จะเป็นผู้พิจารณา เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม ซึ่งเป็นข้อย่อหลักๆ หมู่ชาวพุทธนั้นเมื่อไม่สามารถเข้าถึงมหาสติปัฏฐาน ก็จะมาสำคัญเอาอานาปานสติสูตรนี้ ซึ่งอานาปานสติสูตรนี้ จะยากกว่ามหาสติปัฏฐานสูตรอีก เพราะตรงนี้เป็นธรรมย่อ ย่อนี้จะยากกว่า เพราะถ้าไม่รู้รายละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว จะมารู้ย่อนั้นเป็นไปไม่ได้
และที่ย่อสุด ดังที่ได้แสดงให้ได้ดูแล้ว ที่ย่อสุดก็คือพระสูตรที่ชื่อว่ากายคตาสติสูตร อยู่ที่ข้อถัดมาก็คือ 292 อานาปานสติสูตรอยู่ที่ 282 กายคตาสติสูตรจะอยู่ที่ 292 พระสูตรนี้ก็จะเป็นพระสูตรแสดงบทธรรมย่อ ของมหาสติปัฏฐานสูตรนี่เอง
1
ย่อที่สุดคือที่นี่จะแสดง ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 เท่านั้น ใครไม่เห็นเนื้อความแห่งธรรมโดยรายละเอียดเบื้องต้น ก็จะทำให้เกิดความยาก ในการปฏิบัติธรรมในพระพุทธเจ้าไปทั้งสิ้น
ด้วยเหตุดังนี้ หมู่ชาวพุทธหลังพุทธกาลมานี้ ผู้ที่ไม่รู้จริงไม่แทงตลอดในธรรมที่พระพุทธเจ้าประกาศเอาไว้แล้ว คือมหาสติปัฏฐานสูตรนี่แหละ หรือไม่สามารถที่จะเข้าถึงอริยสัจ 4 โดยหลักนั่นเอง โดยไม่รู้ว่าทุกข์เกิดยังไง โดยไม่รู้ว่าสมุทัยนิเกิดยังไง โดยไม่รู้ว่าจะนิโรธอย่างไร เมื่อเห็นทุกข์แล้ว สมุทัยเมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์นี้แล้ว ทำความดับเลย นิโรธเลย นิโรธโดยใช้อะไรโดย ใช้มรรคมีองค์ 8 เป็นหลัก
แต่มรรคมีองค์ 8 นี้ไม่สามารถปฏิบัติธรรมเพียงลำพังเพื่อความดับทุกข์นี้ได้ พระพุทธเจ้าจึงประกาศเป็นโพธิปักขิยธรรมมาห้อมล้อมเอาไว้ เพื่อให้เป็นองค์คาพยพในการปฏิบัติ เคยยกตัวอย่าง เช่น ส้มตำ หรือตำมะละกอนั้น ถ้าจะทำเพียงมะละกออย่างเดียว ย่อมไม่เป็นส้มตำ เพราะฉะนั้นจึงจะต้องมีเครื่องเคียงเยอะแยะ จึงจะได้ชื่อว่าส้มตำ
มรรคมีองค์ 8 ก็เช่นเดียวกันปฏิบัติเพียงลำพังไม่ได้
พระพุทธเจ้าจึงแสดงเอาไว้ในสามคามสูตรบ้าง ในปาลิเลยยสูตรบ้าง ในสามคามสูตรนั้นจะบอกว่า
มยา ธัมมา อภิญญา เทสิตา
ธรรมะเหล่าใดที่เราแสดงด้วยความรู้อันยิ่ง
ในปาลิเลยยสูตรนั้นจะแสดงเอาไว้ว่า มยา ธัมโม วิจยโส เทสิตา
ธรรมะเหล่าใดที่เราแสดงด้วยความวิจัย คือเลือกเฟ้นให้อย่างยิ่ง ก็จะประกอบไปด้วย สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5
โพชฌงค์ 7 และ มรรคมีองค์ 8 นี่คือธรรมที่ชื่อว่ามรรคโดยย่อ ที่จริงแล้วจะต้องประกอบด้วยโพธิปักขิยธรรม เอามาทำความดับทุกข์ที่นิโรธ เป็นสมถะและวิปัสสนาที่นิโรธโดยการกระทำฌาน
เมื่อหมู่ชาวพุทธของพวกเราไม่สามารถเข้าถึงตรงนี้ ก็มาสำคัญเอาตรงนี้ สำคัญเอาพระสูตรที่ชื่อว่าอานาปานสติสูตร โดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว เพราะคำว่าอานาปานะ เป็นผู้ที่มีสติลำลึกถึงลมหายใจออก ลมหายใจเข้า หรือมีสติรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ก็เลยเอาที่ตรงนี้ เอาที่ตรงนี้ว่าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็ไปถึงนิพพานได้ เกิดในยุคนี้
1
จึงแสดงธรรมนี้ให้กับทุกคนในฐานะที่เราได้รู้แล้วว่า การนั่งสมาธิก็ไม่มีในพระพุทธศาสนาแล้ว แล้วยังมีหมู่ชาวพุทธของพวกเรา ที่มาบอกมาระบุเอาไว้ว่า การนั่งสมาธิโดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็ถึงนิพพานได้ดังนี้จริงหรือ ทำให้เกิดความต้องการที่จะแสดงธรรมนี้เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้เป็นเบื้องต้น
ไม่ได้คิดข่ม ไม่ได้หักล้าง ไม่ได้เอาแพ้เอาชนะ ไม่ได้ทำไปเพื่อลาภสักการะ แต่นี่ หมู่มวลชาวพุทธนั้นกำลังกระทำการเป็นมิจฉาทิฐิ และกล่าวถูกและทำคำสอนในพระสัมมาพุทธเจ้าอยู่ โดยพระศาสดาตรัสเอาไว้ว่า
มมัง วา ภิกขเว ปเร อวัณณัง ภาเสยยุง
ธัมมัสส วา อวัณณัง ภาเสยยุง
สังฆัสส วา อวัณณัง ภาเสยยุง
ตัตร ตุเมหหิ อภูตัง อภูตโต นิพเพเฐตัพพัง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในคำที่เขากล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น เธอควรกล่าวแก้ให้เห็นเป็นจริงว่า นั่นไม่จริงเพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่มีในเราเพราะเหตุนี้ และแม้คำนั้นก็หาไม่ได้ในเราเพราะเหตุนี้
หมู่ชาวพุทธบอกว่า การนั่งสมาธิเพียงเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ก็ถึงนิพพานได้ดังนี้ จึงตั้งหัวข้อว่า เป็นไปได้หรือ มีหรือ ครูคนใดอาจารย์คนใดแสดงเรื่องนี้อยู่ นี่เป็นความสะเพร่า เป็นการกล่าวติพระพุทธเจ้า กล่าวติพระธรรม กล่าวติพระสงฆ์ พระองค์ท่านประกาศอริยสัจ 4 เอาไว้ ให้ดูแล้วว่าหาคำว่านั่งสมาธิก็ไม่มี หาคำว่าอานาปานสติในโพธิปักขิยธรรมนี้ยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้นครูอาจารย์ท่านใดแสดงดังนี้ ครูอาจารย์ท่านนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิ เดี๋ยวจะให้ทราบทีหลังว่าคืออะไร เรามาตรวจสอบดูว่า ถ้าใครที่บอกว่า การนั่งสมาธิโดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็ถึงนิพพานได้ดังนี้ เราตรวจสอบโดยหลักเลย ตรวจสอบเลยว่า
ข้อ 1 พระพุทธเจ้าแสดงการนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าปฏิบัติการนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าแสดงการนั้งสมาธิ พระพุทธเจ้าได้บัญญัติการนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าได้ประกาศการนั่งสมาธิ ด้วยพระสูตรอะไร เอาไว้ที่ไหน เนื้อความแห่งธรรมนั้นว่าอย่างไร ให้เราดูเรื่องนี้
ประการที่ 2 ให้เราดูว่าครูบาอาจารย์ที่นั่งสมาธิแล้ว เขาได้ผลเบื้องต้นเป็นอย่างไร ท่ามกลางเป็นอย่างไร ที่สุดเป็นอย่างไรดังนี้ ใคร อาจารย์คนไหนที่นั่งสมาธิแล้วเกิดผลเบื้องต้น เกิดผลท่ามกลาง เกิดผลที่สุดแล้วมีไหม อยู่ที่ไหน มีใครบ้าง
หมู่ชาวพุทธจะต้องตามเรื่องนี้ ไปดู ถ้าเพียงแค่พูด ถ้าเพียงแค่ว่าไปเฉยๆ หรือปฏิบัติแล้วผลเบื้องต้นไม่มี ท่ามกลางไม่มี ที่สุดไม่มี ให้ชี้ว่าคนนี้มิจฉาทิฏฐิ กล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่
และประการที่ 3 ตัวบุคคลคนนั้นเอง ที่นั่งสมาธินั่นแหละ เป็นใครก็ตาม เมื่อท่านนั่งสมาธิแล้วปรากฏผลเป็นเบื้องต้นดังนี้ หรือท่ามกลางดังนี้หรือ ที่สุดดังนี้หรือ แล้วลำดับแรกที่พระศาสดาประกาศธรรมเอาไว้คืออริยสัจ 4 นั้น ท่านได้เห็นอริยสัจ 4 โดยถ้วนรอบแล้ว โดยการนั่งสมาธิเบื้องต้นหรือ ท่ามกลางหรือ ที่สุดหรือ ดังนี้ ให้เราติดตามตรวจสอบดังนี้
และหลังจากนั้นถามต่อไปว่า ท่านนั่งสมาธิ เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดอย่างไร ท่านได้ฌาน 1 ไหม ท่านได้ฌาน 2 ไหม ท่านได้ฌาน 3 อย่างไร ท่านได้ฌาน 4 อย่างไร จากการนั่งสมาธิที่ตรงไหน
และตามไปด้วยว่า เมื่อบุคคลหนึ่งบุคคลคนใดนั่งสมาธิแล้ว ท่านนั่งสมาธิได้ความเป็นโสดาบันอย่างไร ได้ความเป็นสกทาคามีอย่างไร ได้ความเป็นอนาคามีอย่างไร ได้ความเป็นอรหันต์แล้วดังนี้อย่างไร ให้ครูอาจารย์หรือให้บุคคลคนนั้นแสดงเรื่องการผลของการนั่งสมาธิมา
ซึ่งก็จะตรงทั้ง 3 ข้อ
ถ้าประการที่ 1 เห็นว่าพระพุทธเจ้าประกาศการนั่งสมาธิ เอาไว้ในที่พระสูตรอะไร ในที่ไหน ก็ถือว่ามี
ประการที่ 2 ถ้าคนนั่งสมาธิแล้วเกิดผลเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดดังนี้ ก็ให้ถือว่ามี
ประการที่ 3 ถ้าตัวเราเองนั่งสมาธิ หรือใครเองก็ตาม นั่งสมาธิแล้วปรากฏผลเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดดังนี้ เราเห็นอริยสัจ 4 โดยถ้วนรอบ แล้วได้ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 โดยถ้วนรอบ ได้ความเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์โดยถ้วนรอบแล้ว ก็ให้ถือว่ามี ให้ปฏิบัติตามนี้ ถ้ามีอยู่
แต่ถ้าไม่มีตามนี้ คือไม่มีว่า เมื่อนั่งสมาธิแล้วเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยแสดง ไม่มีพระสูตรใดเลยที่พระพุทธเจ้าแสดงเอาไว้ว่า นั่งเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวจากการนั่งสมาธิ ก็ถึงนิพพานได้ ถ้าไม่มีดังนี้ ให้ถือว่าครูอาจารย์คนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ กล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่
ประการที่ 2 ครูอาจารย์ท่านนั้นหรือใครก็ตาม หรือครูอาจารย์ของเขาก็ตาม นั่งสมาธิแล้ว เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด โดยการเฝ้าดูลมหายใจ เขาได้ผลอย่างไร ซึ่งจะตรงกับคนที่ปฏิบัติตามไหม ว่าตัวเราเอง ตัวท่านเอง หรือใครก็ตาม ที่นั่งสมาธิแล้ว ปรากฏผลเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดดังนี้แล้ว เห็นอริยสัจ 4 โดยถ้วนรอบ ได้ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 จนจบ ได้ความเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ดังนี้จนจบแล้ว
ถ้าไม่มี ให้เราทราบชัดว่า ครูคนนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ กล่าวตู่พระธรรมคำสอนในพระพุทธเจ้าอยู่ เราควรกล่าวแก้ให้เห็นเป็นจริงว่านี่ไม่มีเพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่มีในเราเพราะเหตุนี้ และคำนั้นก็หาไม่ได้ในเราเพราะเหตุนี้ การนั่งสมาธิโดยการเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ไม่มีในพุทธศาสนา ให้ทุกคนเห็นดังนี้ก่อน เอาจากจุดเล็กที่สุดนี้ก่อน และเราก็จะได้ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วย ถ้าเราเห็นว่าเขานั่งสมาธิ แต่เราไม่ตรวจสอบเราจะกลายเป็นผู้มิจฉาทิฏฐิไปกับเขา
เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่บอกว่าการนั่งสมาธิ โดยเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวดังนี้ เมื่อเราตรวจสอบแล้วในพระสูตรก็ไม่มี ครูอาจารย์ก็นั่งไม่ถึงผล ตัวเขาเองก็นั่งไม่ถึงผล คนนี้แหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ
คนเป็นมิจฉาทิฏฐิพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า
มิจฉาทิฏฐิสส โข อหัง โลหิจจ
ทวินนัง คตีนัง อัญญตรัง คติง วทามิ
นิรยัง วา ติรัจฉานโยนิง วา
ดูกรโลหิจจะ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เรากล่าวว่ามีคติเป็น 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ได้มาถึงเปรต เป็นแค่สัตว์นรกกับเดรัจฉาน ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิในธรรมของพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้าไม่อยู่ก็ตาม คำตรัสของพระพุทธเจ้านี้ เป็นจริงต่อคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิทุกคน
ถ้าคนที่กล่าวตู่ พระพุทธเจ้าจะบอกว่า
ปน ตุวัง โมฆปุริส
อัตตนา ทุคคหิเตน อเมห เจว อัพภาจิกขสิ
พหุญจ อปุญญัง ปสวสิ ตัญหิ เต
โมฆปุริส ภวิสสติ ทีฆรตัง อหิตาย ทุกขายาติ
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอกล่าวตู่เรา เราไม่ได้ตรัสก็ว่าเราตรัส เราไม่ได้ภาษิตก็ว่าเราภาษิต ดูกรโมฆบุรุษ เธอกล่าวตู่เรา ขุดตนเองด้วย จะประสบความมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยทิฏฐิของตนที่ถือเอาไว้ชั่วแล้วนั้น ดูกรโมฆบุรุษ ก็ความเห็นของเธอนั้น เป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน
มาชี้ให้ได้ดูดังนี้ การนั่งสมาธิโดยการเฝ้าดูลมหายใจเพียงอย่างเดียว ก็ถึงนิพพานได้ดังนี้ ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่เคยแสดง ครูอาจารย์ไหนๆที่นั่งสมาธิ หรือทำอานาปานสติ ก็ทำ เบื้องต้นท่ามกลางที่สุดไม่ได้
ใครมาทำตามคำสอนเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่เห็นอริยสัจ 4 ล้วนแล้วแต่ทำฌาน 1 2 3 4 ไม่ได้ ล้วนแล้วแต่ไม่รู้โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ใดๆ จากการนั่งสมาธิแล้วเฝ้าดูลมหายใจนี้เลย
ดังนั้นในหมู่ผู้ที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธเจ้าที่ได้นำแสดงนี้ จงใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ
อ้างอิง
มหาสติปัฏฐานสูตร ข้อ 273 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 10
อานาปานสติสูตร ข้อ 282 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 14
กายคตาสติสูตร ข้อ 292 เป็นต้นไป พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 14
พรมชาลสูตร ข้อ 1 พระไตรปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 9
โลหิจจสูตร ข้อ 356 พระไตรปิฏกฉบับหลวงเล่มที่ 9
มหาตัณหาสังขยสูตร ข้อ 442 พระไตปิฎกฉบับหลวงเล่มที่ 12

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา