17 ส.ค. 2023 เวลา 03:30 • ไลฟ์สไตล์

ทำเข้าใจความเห็นอกเห็นใจในรูปแบบของ Sympathy, Empathy และ Compassion

เมื่อเห็นผู้คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในมุมมองของคนนอกอย่างเราจะรู้สึก 'เห็นอกเห็นใจ' กับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่า Sympathy, Empathy และ Compassion คำเหล่านี้ จะถูกแปลความหมายเป็นไทยรวมๆ ว่า ความเห็นอกเห็นใจและสามารถใช้ในสถานการณ์ต่างๆ แทนกันได้ แต่ความหมาย การตอบสนองหรือแสดงอากัปกิริยานั้น กลับทำให้ความหมายของความเห็นอกเห็นใจนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฉะนั้น เราจึงจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจความเห็นอกเห็นใจทั้ง Sympathy, Empathy และ Compassion ว่า มีความแตกต่างหรือตอบสนองกันอย่างไร ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนเข้าใจไปพร้อมๆ กัน
[ ความแตกต่างระหว่าง Sympathy, Empathy และ Compassion ]
ความเห็นอกเห็นใจแบบ Sympathy คือ การรับรู้ว่าคนอื่นๆ นั้น รู้สึกอย่างไร โดยจะเป็นการรับรู้ แบ่งปัน หรือแสดงความเสียใจต่อความทุกข์หรือความโศกเศร้าที่เกิดขึ้น
ความเห็นอกเห็นใจแบบ Empathy คือ การดำดิ่งไปกับความรู้สึกของคนอื่นๆ และนึกภาพตนเองเมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยการตอบสนองต่อความรู้สึกนี้จะต้องเป็นประสบการณ์ที่เคยผ่านมาในชีวิต จึงจะเข้าใจสิ่งที่เข้าพบเจอได้อย่างลึกซึ้ง
ความเห็นอกเห็นใจแบบ Compassion คือ ความห่วงใยเมื่อผู้คนเจอสถานการณ์ที่ย่ำแย่ จนนำไปสู่การกระทำและพฤติกรรมการช่วยเหลือ ที่จะเสริมสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นทางสังคมในเชิงบวก
ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ จะแตกต่างกันตรงที่วิธีการแสดงออก การสัมผัส และการตอบสนองทางอารมณ์และสถานการณ์ โดย Sympathy จะมุ่งเน้นไปที่ความคิด Empathy จะมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกของอีกฝ่าย และ Compassion จะควบรวมทั้งความคิด ความรู้สึก และการกระทำ
[ แม้ความหมายแตกต่างกัน แต่ก็เป็นแรงกระตุ้นให้กันและกันได้ ]
แม้ความหมายมันจะต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมเลยก็คือ ความเห็นอกเห็นใจแบบ Sympathy และ Empathy นั้นเป็นศูนย์กลางของ Compassion ที่ทำให้เกิดการกระทำหรือการตอบสนองทางอารมณ์ได้ ถ้าเราไม่รับรู้และเข้าใจความรู้สึก ก็จะไม่มีแรงกระตุ้นในการช่วยเหลือหรือปล่อยให้ความทุกข์ของผู้อื่นกัดกินอารมณ์ความรู้สึกของเราต่อไปเรื่อยๆ
ยังไงเสีย ความเห็นอกเห็นใจเป็นตัวช่วยในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสังคมได้ ในการยกระดับจิตใจของผู้คนให้เกิดแรงกระตุ้นในการแสดงความช่วยเหลือ จนมันส่งผลต่อจิตใจต่อทุกคน ไม่ใช่แค่คนรอบตัวเท่านั้น
[ 5 วิธีการแสดงความเห็นอกเห็นใจที่ดี ]
1. ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดีก่อน
การฟังเป็นหัวใจหลักของความเห็นอกเห็นใจและเป็นหนึ่งทักษะที่ยากที่สุดในการพัฒนาเช่นกัน โดยเกิดจากปัญหาการแยกแยะคำพูดและเข้าใจในบริบทที่สื่อสาร จนมันส่งผลสู่การตอบสนองต่อสถานการณ์ที่อาจจะแย่ลงได้ ดังนั้น พยายามใช้สติในการฟัง เพื่อรับรู้ความคิดและประสบการณ์ที่จะปรับตัวให้สถานการณ์ได้ดีขึ้น
2. ตอบสนองอารมณ์ให้รู้ว่าเป็นห่วง
ข้อนี้เป็นการตอกย้ำว่า การพิจารณาบริบทในคำพูดจากการฟังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ มันจะส่งผลถึงอารมณ์ที่คุณแสดงออกมา ซึ่งการเจาะลึกผ่านตัวอักษรและการยอมรับคำพูดที่ปกปิกอารมณ์นั้น ทำให้เข้าใจผู้อื่นในเชิงลึกและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต
3. พยายามให้พวกเขารู้สึกเป็นคนสำคัญ
กุญแจสำคัญในการเห็นอกเห็นใจเลยคือ การตระหนักถึงคุณลักษณะเชิงบวกของบุคคลเหล่านั้น โดยที่เราไม่ตัดสินและตั้งข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับตัวเขา โดยการหลีกเลี่ยงการโทษตัวบุคคลแล้วมาตัดสินที่สถานการณ์แทน ซึ่งนั้นจะเปิดโอกาสให้ส่งเสริมคุณลักษณะในแง่บวกในตัวคุณ
4. อดทนกับพวกเขา
ผู้คนที่มีอารมณ์ด้านลบ จะมีความไว้เนื้อเชื่อใจคนยากเสมอ แม้เราจะเป็นผู้ฟังที่ดีและแสดงออกถึงความเป็นห่วงแล้วก็ตาม แต่เราจะต้องเสริมความอดทนไปด้วย แม้มันจะต้องใช้เวลาก็ตาม แต่เวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า คุณเป็นห่วงและใส่ใจแค่ไหน
หลังจากนั้นความไว้ใจที่จะกล้าเปิดเผยถึงสิ่งที่พวกเขาประสบ ก็จะเป็นโอกาสที่เราจะสนับสนุนความช่วยเหลือพวกเขาได้ตรงจุด แต่ต้องไม่ลืมนะว่า เราต้องปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเต็มใจ
5. ตอบสนองต่อความรู้สึกของพวกเขา
เมื่อถึงจุดที่เราสามารถทำความเข้าใจสถานะของพวกเขาได้ชัดเจนขึ้น เราควรจะกำหนดเงื่อนไขในการตอบสนองความรู้สึก แสดงความจริงใจและใส่ใจถึงสถานการณ์ที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญอยู่ด้วย เพื่อช่วยนำทางชีวิตและช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่จะเป็นไปได้
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าความเห็นอกเห็นใจแบบ Sympathy, Empathy และ Compassion ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราอยู่ดี มันไม่ผิดที่เราจะทำได้แค่เพียงเห็นใจเท่านั้น แม้เราจะพยายามดึงมือช่วยพวกเขาแค่ไหน แต่บางครั้ง ถ้าเราช่วยเขาไม่ได้จริงๆ การปล่อยวางและหลีกทางหรือแนะนำให้ผู้อื่นมาช่วยแทนมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเสียทีเดียว
'เพราะยังไงซะเราก็แค่บอกว่า เรารับรู้และรู้สึกต่อพวกเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกสำคัญแล้ว'
โฆษณา