18 ส.ค. 2023 เวลา 09:26 • ไลฟ์สไตล์

Compassion Fatigue เมื่อความเห็นอกเห็นใจ กลับทำให้คุณเหนื่อยหน่ายได้

‘ในช่วงชีวิต คุณอาจจะไม่รู้ตัวว่า คุณเป็นผู้ดูแลหรือผู้รับผิดชอบต่อคนรอบตัว ที่พร้อมจะช่วยเหลือ เอื้ออาทร และหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเต็มใจ จนลืมคิดคำนึงถึงจิตใจของตัวเอง’
ในโลกอุดมคติ ความเห็นอกเห็นใจจะเป็นสิ่งที่ดีที่มนุษย์ทุกคนควรมอบให้กันและกัน เพื่อสร้างสังคมปรองดอง แต่หากมองในโลกของปัจจุบัน ที่มีสื่อสังคมออนไลน์ สถานการณ์รุนแรงต่างๆ อย่างภัยพิบัติและสงครามที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ สภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และผลกระทบหลังโรคระบาด ที่เราจะเห็นผู้คนไร้บ้านออกมาป้วนเปี้ยน ก็ล้วนส่งผลต่อสภาพจิตใจเราจากความเห็นอกเห็นใจได้
ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ก็เป็นเรื่องที่ดีในการกระตุ้นให้มองความเป็นสังคมหรือประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น แต่ก็ย้อนกลับไปปัญหาเดิมที่ว่า อะไรที่มากเกินไปก็เกิดผลเสียได้เช่นกัน อย่างความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ก็อาจจะทำให้เราอ่อนล้าและหลงลืมในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ ความปรารถนา รวมถึงช่วงเวลาพักผ่อนของเรา จนเกิดผลเสียต่อตัวเราที่เรียกว่า ‘ความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจ’
แล้วความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจมีความเป็นมา มีสัญญาณ และวิธีการเอาชนะอย่างไร มาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กับบทความนี้กันเลยครับ
[ ความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจคืออะไร ]
ความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจ หรือ Compassion Fatigue ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกในปี 1992 โดยคาร์ล่า จอยสัน (Carla Joinson) เพื่ออธิบายถึงผลกระทบด้านลบจากการได้สัมผัสพบเจอกับผู้ป่วยฉุกเฉินทุกวัน
โดยมีความหมายของคำนี้คือ ความอ่อนล้าจากการเปิดรับความรู้สึกและให้ความช่วยเหลือผู้อื่นจนส่งผลกระทบทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจของตนเอง ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดจากการพยายามสนองความต้องการหรือแบกรับภาระของผู้อื่นมากจนเกินไป จนอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเองถึงแม้จะช่วยเหลือพวกเขาได้หรือไม่ได้ก็ตาม
โดยปกติมักจะเชื่องโยงกับอาชีพและตำแหน่งงานที่อาจจะทำให้คนตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเป็นประจำ โดยเฉพาะอาชีพสายดูแล ช่วยเหลือ อย่างหมอ พยาบาล ครู โดยช่วงการระบาดปี 2020 มีการศึกษา Alberta Teachers Association พบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของอาชีพเหล่านี้ จะมีภาวะหมดไฟอันเป็นผลมาจากการใช้แรงงานทางอารมณ์และการดูแลคนอื่นๆ
ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มอาชีพผู้ดูแลเท่านั้น แต่มันอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ถูกซองขาวอย่างไม่ทันตั้งตัว การพบเจอคนไร้บ้านหรือขอทานที่มีสภาพร่างกายพิการทุกวัน การเสพข้อมูลข่าวสาร รวมไปถึงการช่วยงานผู้อื่น จนลืมหน้าที่ของตนเอง ก็เข้าข่ายความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจได้เหมือนกัน
[ สัญญาณของความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจ ]
สัญญาณของความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจก็จะมีดังต่อไปนี้
  • ขาดความอดทนหรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวมากกว่าปกติ
  • พฤติกรรมเปลี่ยนไปหรือความรู้สึกไม่เป็นตัวเอง
  • ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นๆ ในสภาพแวดล้อมของที่ทำงานได้
  • รู้สึกหนักใจและไม่สามารถจัดการกับงานที่คุณรับผิดชอบได้
  • สับสนในบุคลิกภาพและการทำงาน
  • มักจะเผลอมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมงาน
  • มีพฤติกรรมที่แยกตัวออกจากคนในสังคม
  • ไม่ขยันเหมือนแต่ก่อนหรือขาดแรงจูงใจ
  • มีอารมณ์โกรธกับคนในที่ทำงานอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะสร้างความแตกแยกเสมอ
[ วิธีการเอาชนะความเหนื่อยล้าจากความเห็นอกเห็นใจ ]
1. แยกแยะระหว่างความเหนื่อยหน่ายจากความเห็นอกเห็นใจและภาวะสุขภาพจิตของเรา
เวลาที่เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจใครนานๆ ก็อาจจะเกิดความคิดและพฤติกรรมเชิงลบอย่างต่อเนื่องได้ ซึ่งเราก็ควรจะตระหนักไว้ว่า เราก็มีพลังการตอบสนองทางอารมณ์ที่จำกัดเหมือนกัน โดยคุณอาจจะต้องฝึกดูแลตัวเองอย่างทำสมาธิหรือให้เวลากับงานอดิเรกของตัวเอง หากมันเกินจะแก้ไขจริงๆ ก็สามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตได้
2. ตรวจสอบความต้องการขั้นพื้นฐานของตนเอง
ในช่วงวันหยุดเราต้องสำรวจตัวเองว่า วันนั้นเราได้ทำอะไรบาง โดยใช้ความต้องการขั้นพื้นฐานเป็นตัววัดการปฏิบัติกิจกรรมหรืองานอดิเรกในช่วงวันหยุดอย่างเต็มที่ เช่น ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การรับประทานอาหารอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นต้น ซึ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากเราไม่สามารถให้ตัวเองได้รับความต้องการขั้นพื้นฐานได้ การดูแลคนอื่นจะเป็นเรื่องยากโดยทันที
3. สร้างขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว
โดยการกำหนดขอบเขตของตัวเอง อาจจะต้องขอแรงกับผู้คนรอบข้างด้วย ในการทำขอตกลงในเรื่องของการแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัว และสร้างเวลาพักให้มีค่า เช่นการออกไปเดินเล่นกลางแจ้ง นั่งทานอาหารกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ สามารถสร้างนิสัยที่จะช่วยปรับปรุงการเติมพลังไปดูแลผู้อื่นได้
การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั้น สามารถทำได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่การเห็นอกเห็นใจตัวเองนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทุกคนมองข้ามไปอย่างไม่รู้ตัว มันไม่ผิดที่คุณจะเป็นสายซับ แต่การที่เราแบกรับความทุกข์ของผู้อื่นไปเรื่อยๆ มันอาจจะทำลายความสมดุลของชีวิตเราได้ ฉะนั้น หากคุณรู้ตัวว่า คุณเหนื่อยหน่าย ลองหันกลับมามองตัวเองและดูแลเอาใจใส่ตัวเองจะดีกว่า
เพราะยังไงซะ สุขภาพจิตของเรานั้น ก็สำคัญด้วยเช่นกัน
โฆษณา