7 ก.ย. 2023 เวลา 10:30 • หนังสือ

ถอดทักษะชีวิต จากหนังสือ The Power of Nunchi (นุนชี่ พลังแห่งการสังเกตชีวิต)

ก่อนจะเริ่มอ่านบทความ ผมมีคำถามให้คุณลองทายเล่นๆ
โดยถามว่า “หากคุณเป็นพนักงานหน้าใหม่ แล้วพบว่า มีพนักงานอาวุโสคนหนึ่งกำลังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำยอดเป้าหมายแก่พนักงาน คุณจะทำอย่างไร”
1.) แทรกเข้าไปในกลุ่ม แล้วแนะนำตัวให้เขารู้จักพร้อมกับให้คำแนะนำที่ดีกว่า
2.) ฟังตามคนอื่น
3.) ฟังตามคนอื่น แล้วหลังฟังเสร็จก็หาโอกาสเหมาะสม แล้วเขาไปแนะนำตัวเขา
ซึ่งถ้าคุณตอบ ข้อ 1 คุณจะกลายเป็นคนจะดูแย่ในสายตาพวกเขา ถ้าตอบข้อ 2 ถือว่า คุณทำได้ดี และถ้าคุณตอบ 3 นั้นหมายความว่าคุณมาถูกทางแล้วในการเรียนรู้ศาสตร์ของนุนชี่
นี้แหละครับ ‘พลังแห่งนุนชี่’ ที่เปรียบเสมือนหนึ่งทักษะชีวิตที่ช่วยให้ประเทศเกาหลีกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีผลงานที่การันตีมากมาย ตั้งแต่วงการเทคโนโลยีที่ผลิตเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Samsung และ LG ไปจนถึงวงการบันเทิงอย่าง K-pop ที่โด่งดังติดอันดับท็อปของโลก ซึ่งไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าเขาไม่มี ‘นุนชี่’
โดย ‘นุนชี่’ เป็นการใช้สายตาในการสังเกตและคาดเดาความคิดและความรู้สึกผู้อื่น หรือเรียกอีกอย่างว่า เป็นการทำความเข้าใจความคิดและความรู้สึกในการอ่านใจคน เพื่อให้ตัวเราสร้างความกลมกลืน ไว้ใจ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนอื่นๆ ซึ่งนี้ก็เปรียบเสมือนพลังวิเศษของชาวเกาหลีที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่
ในหนังสือ The Power Of Nunchi หรือชื่อไทยเรียกว่า นุนชี่ พลังแห่งการสังเกตชีวิต เป็นอีกหนังสือหนึ่งเล่ม ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพลังของนุนชี่ ผ่านประสบการณ์ชีวิตของนักข่าวและนักเขียนลูกครึ่งอเมริกา - เกาหลีอย่าง ยูนี ฮง (Euny Hong) ที่ผลงานเขียนของเธอได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังในอเมริกา ไม่ว่าจะ New York Time, The Wall Street Journal
ซึ่งเราได้พบเนื้อหาน่าสนใจ คือ ‘กฎนุนชี่ 8 ข้อ’ ที่สามารถเอาไปดัดแปลงหรือใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งแต่ละกฎจะมีอะไรบ้างนั้น มาถอดเนื้อหาและทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน
กฎข้อที่ 1 ปล่อยใจให้ว่าง
ในระหว่างสังเกตนั้น ผู้คนมักจะเผลอตั้งสมมุติฐานต่อผู้อื่นและสถานการณ์ต่างๆ จนกลายเป็นอุปสรรคในการสังเกตสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและการวางตัวอย่างเหมาะสม เช่น หากเราเข้าไปในบริษัท แล้วเห็นเพื่อนร่วมงานดูเครียดๆ อยู่ คุณเลยชวนเพื่อนๆ ไปซื้อกาแฟด้วยกัน โดยไม่รู้เลยว่า เพื่อนร่วมงานกำลังเร่งรีบกับการเตรียมนำเสนอโปรเจคในที่ประชุม ซึ่งมันจะส่งผลด้านลบถึงมุมมองที่คนอื่นมีต่อเราได้
ฉะนั้นแล้ว ก่อนจะทำอะไร เราต้องทำใจให้ว่าง โดยใช้เวลาสองนาทีหลับตาและโฟกัสไปที่ลมหายใจของตัวเอง เช็คความรู้สึกของตัวเองก่อนเสมอว่า ความรู้สึกนี้จะส่งผลกระทบอย่างไร เมื่อฉันเดินเข้าไป และจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ หรือคุณจะนั่งสมาธิ เพื่อช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีสติ
กฎข้อที่ 2 อย่าตกหลุมพรางของความอคติจากการเฝ้าระวัง
แนวคิดความอคติจากการเฝ้าสังเกต (Obsever Effect) บอกว่า คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้จากการเฝ้าสังเกต เหมือนกับเวลาที่มีใครสักคนเข้ามาในห้อง เพียงแค่การมีอยู่ของเขาก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงการมีตัวตน
โดยในหนังสือได้ยกตัวอย่าง ประสบการณ์ของยูนี ฮง ไปงานเลี้ยงของเพื่อนสาย แล้วพยายามแก้ตัวถึงเหตุผลที่มาสาย จนลืมใช้นุนชี่สังเกตว่า ผู้คนในงานเลี้ยงดูเงียบผิดปกติ จนมารู้ตอนหลังว่า มีคนในงานเลี้ยงป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้เธอรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่า แทนที่จะทำตัวเด่น (จากการมาสายหรือส่งเสียงดังอะไรก็ตาม) คุณควรให้เกียรติบรรยากาศในห้องก่อน โดยการประเมินบรรยากาศในห้องว่า ในห้องนั้นมีปฏิกิริยาที่ผิดปกติหรือเปล่าและอย่าพึ่งพะวงเรื่องของตัวเองจนเกินไป
กฎข้อที่ 3 จำไว้เสมอ เมื่อคุณเข้ามาในห้อง คนที่อยู่ในห้องนั้นอยู่มานานกว่าคุณ
เมื่อคุณเข้ามาในห้อง ไม่ว่าจะในฐานะเป็นพนักงานใหม่เข้าประชุมหรือมาถึงบริษัท ให้สังเกตพวกเขาและแนะนำตัวให้กับคนที่คุณเจอและถ้าเป็นไปได้ คุณอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกับพวกเขาจนเกินไป เพื่อเก็บข้อมูลและสังเกตว่าเขาเป็นคนอย่างไร และที่สำคัญ อย่าทำตัวโดดเด่นเด็ดขาด เพราะการกระทำนี้อาจจะไม่ทำให้ผู้คนชอบคุณอย่างที่คุณคิด
กฎข้อนี้ จะสอดคล้องกับ First Impression ที่เป็นสิ่งสำคัญแรกๆ เมื่อคุณก้าวเข้ามา เพราะนั้นอาจจะเป็นตัวตัดสินคุณได้ว่า คุณเป็นคนอย่างไร ดังนั้น ค่อยมีสติรับรู้ว่า ในห้องนี้จะเปลี่ยนแปลงเมื่อใดและจะเปลี่ยนแปลงในทางไหนให้คุณดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศ
กฎข้อที่ 4 อย่าทิ้งโอกาสจากการอยู่เงียบๆ
ความเงียบมักจะถูกมองว่า เป็นพฤติกรรมของผู้ตาม (Beta Behaviour) อยู่เสมอ โดยไม่รู้เลยว่าความเงียบในอีกด้านหนึ่งนั้น สามารถทำให้เราได้เปรียบกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการเจรจาต่อรอง คุณจะได้เปรียบเป็นอย่างมาก
ยกตัวอย่าง การซื้อบ้าน โดยในขณะที่กำลังเจรจาต่อรองกับนายหน้านั้น คุณต้องทำตัวเงียบขรึมเข้าไว้ เพราะในระหว่างนั้นจะมีคำถามที่คุณจะเอะใจอยู่เสมอ อย่างคำว่า “คุณมีลูกไหม” ซึ่งคุณอาจจะสามารถตอบได้ แต่ตอบพอเข้าใจว่า “อ๋อ ครับ/ค่ะ” เพราะเขาอ้างว่า “แถวนี้มีโรงเรียนดีๆ อยู่” นั้นจะเป็นทริคของการเพิ่มค่าคอมมิชชั่นให้กับเจ้าของบ้านที่ต้องการขาย
โดยการพูดน้อยจะทำให้คู่สนทนาเกิดความกังวล ประหม่า และรู้ว่า คุณไม่ได้เป็นคนที่ประทับใจอะไรง่ายๆ (ยิ่งคุณลักษณะดูเงียบขรึม ก็ยิ่งส่งผลดีเข้าไปอีก) ทำให้อีกฝ่ายเผยข้อมูลออกมามากขึ้น เพื่อให้ได้จุดประสงค์ที่เราต้องการ นี้จึงเป็นข้อดีของความเงียบ
กฎข้อที่ 5 มารยาทคือสิ่งสำคัญ
มารยาทกับนุนชี่นั้น มีความคล้ายกันอีกอย่างก็คือ การทำตัวกลมกลืนกับสถานการณ์เพื่อให้คนรอบข้างเกิดความสบายใจร่วมกัน อย่างการระมัดระวังไม่ให้อาหารกระเซ็นเลอะเสื้อ การต่อแถวรอคิว ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้อื่น รวมถึงการไม่คุยและเช็คโทรศัพท์ในระหว่างประชุม ก็เป็นสิ่งเตือนใจให้นึกถึงผู้คนรอบข้างหรือบรรยากาศ อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยกำหนดกติกาให้กับแขกคนอื่นๆ อีกด้วย
กฎข้อที่ 6 อ่านความหมายที่ซ่อนอยู่จากคำพูด
ส่วนใหญ่ ผู้คนจะคิดว่า การสื่อสารจากคำพูด เป็นการสะท้อนตัวตนหรือความรู้สึกจากข้างใน แต่นั้น ก็เป็นเพียงแค่ปกหนังสือที่ยังไม่ได้ใช้เวลาอ่านเนื้อหาข้างในเท่านั้น เพราะคำพูดนั้น บางทีก็ไม่ได้สะท้อนความคิดและความรู้สึกของพวกเขาโดยตรง
แม้คุณกล่าวโทษผู้คนที่ไม่ยอมบอกคุณอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าบอกแต่แรกว่า คุณกินมังสวิรัติ ฉันจะได้ไม่ต้องซื้อกับข้าวที่มีเนื้ออีก แต่พวกเขาอาจจะเคยชินกับการพูดอ้อมๆ หรือการแสดงออกต่างๆ โดยไม่ต้องเอ่ยปาก เพื่อให้คุณสบายใจและรักษาน้ำใจคุณ ดังนั้น คุณจึงต้องเรียนรู้บทบาทและศึกษาคำใบ้จากอวัจนภาษาของอีกฝ่ายแทน
กฎข้อที่ 7 แม้ไม่ได้ตั้งใจทำ แต่มันส่งผลกระทบพอๆ กับตั้งใจกระทำอยู่ดี
ในหนังสือได้ยกตัวอย่าง คาเรน หญิงสาวที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ที่จะให้กำลังใจคนรอบข้างที่กำลังจะลดน้ำหนัก หรือพยายามเป็นเทรนเนอร์สอนเรื่องสุขภาพให้กับคนอื่นอยู่เสมอ แต่ทำไม คนรอบตัวคาเรนถึงค่อยๆ หายไป โดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่า คำพูดให้กำลังใจและคำแนะนำของเธอนั้น กลับกลายเป็นการตัดสินการใช้ชีวิตของคนอื่น
บางที คุณอาจจะต้องคิดก่อนพูด อย่างคำว่า “ช่วงนี้ดูผอมขึ้นนะ” มาเป็น “ช่วงนี้คุณดูดีขึ้นเยอะนะ” เนื่องจากคำว่า “ผอม” อาจจะกลายเป็นการตัดสินรูปร่างในตัวเขาหรืออาจจะมีสาเหตุอื่นอย่างเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างการสูญเสียก็ได้ ถึงแม้ว่า เราจะกระทำหรือกล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่การที่เรารู้ว่า ‘ทำใครสักคนรู้สึกแย่’ ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นของการพัฒนานุนชี่แล้ว
กฎข้อที่ 8 จงปราดเปรียวและว่องไวเข้าไว้
ความเร็ว เป็นหัวใจหลักของนุนชี่ โดยคนเกาหลีจะไม่บอกว่า คุณมีนุนชี่ที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาจะบอกว่า คุณมีนุนชี่ที่ว่องไว ซึ่งนุนชี่ที่ว่องไวนั้น เกิดจากคุณสามารถประเมินสถานการณ์ได้ทันที เมื่อคุณเข้ามาในห้องหรือปรับเปลี่ยนการประเมินอยู่เรื่อยๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่าง นวนิยายเรื่อง The Adventures of Tom Sawyer ที่ตัวละครเอกอย่าง ทอม ซอว์เยอร์ ได้ใช้นุนชี่ในการหนีจากการทาสีรั้วบ้านของป้าพอลลี่ โดยใช้จิตวิทยาย้อนกลับ (Reverse Psychology) ที่หลอกเพื่อนว่า เขาจะพลาดกิจกรรมที่แสนสนุกแน่ หากเขาต้องทาสีรั้วบ้าน ทำให้เพื่อนๆ มาทำงานนี้แทนเขา แม้นั้นจะเป็นการใช้นุนชี่ที่ผิดก็ตาม แต่ไหวพริบของเขา ทำให้รอดจากเหตุการณ์ต่างๆ มาได้
และนี้ก็คือ กฎนุนชี่ 8 ข้อ จะเห็นได้ว่า การใช้ทักษะนุนชี่ จะต้องใช้สมาธิและสติ ในการสังเกต คาดเดา ประเมินสถานการณ์ เพื่อให้เรากลมกลืนและสร้างสัมพันธ์ให้กับผู้คนได้ ซึ่งทักษะนี้สามารถต่อยอดหรือดัดแปลงให้เข้ากับชีวิตประจำวันคุณโดยที่คุณไม่ให้เสียภาพลักษณ์และไม่ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ
และนี้ก็เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนของหนังสือThe Power of Nunchi (นุนชี่ พลังแห่งการสังเกตชีวิต) ซึ่งในเนื้อหานี้ ยังมีหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น ตัวบล็อกนุนชี่ นุนชี่กับที่ทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย หากอ่านบทความนี้แล้วสนใจอยากหนังสือเล่มนี้ต่อ ก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปหรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้
Writer By Purin Ausawateerageat
Resource : หนังสือ The Power of Nunchi นุนชี่ พลังแห่งการสังเกตชีวิต ผู้เขียน ยูนี ฮง ผู้แปล ณิชารีย์ ผาติทิต สำนักพิมพ์ Being
โฆษณา