25 พ.ย. 2023 เวลา 11:00 • นิยาย เรื่องสั้น

ตอนที่ 13: สวนหลังบ้านของพระอาจารย์จักรี

จะว่าไปแล้วจิตใจของมนุษย์เราก็แปลกดีนะครับ ช่วงไหนที่เรากำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์เวลามันก็จะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผิดกับตอนที่เรามีความสุข เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนอยากจะมีเวลาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ การเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมที่ค่ายลูกเสือก็เช่นนั้นเลยครับ
ในช่วง 7 วันแรกที่แสนทรมาน กว่าจะผ่านไปได้แต่ละวันมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน แต่พอเครื่องเริ่มติดบวกกับพบประสบการณ์อันแสนมหัศจรรย์ แป๊บๆ เวลาก็มาถึงวันสุดท้ายแล้ว
วันสุดท้ายเป็นวันที่สนุกที่สุด เพราะเราจะไม่มีการปฏิบัติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น พระอาจารย์จักรีท่านมีโปรแกรม จะพาพวกเราไปทัวร์ "สวนหลังบ้าน" ของท่าน โดยเราจะออกไปตั้งแต่ตอนเช้า และจะกลับมาอีกทีก็ตอนเย็น ดูท่าจะไม่ใช่สวนหลังบ้าน แบบ "บ้านๆ" เป็นแน่
เอาตามตรงผมจำไม่ค่อยได้แล้วนะครับ ว่าเราเริ่มจากจุดไหนกันก่อน แต่ถ้าจำไม่ผิด เราจะเริ่มกันจากออกไปจากค่ายลูกเสือ แล้วเลี้ยวขวาเพื่อขึ้นเขานางเอ ซึ่งเป็นภูเขาลูกที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้น อยู่นอกเขตของวัด
ทางขึ้นเขายังค่อนข้างดิบๆ ไม่ได้มีบันไดอะไรอย่างเป็นทางการ เหมือนเป็นทางที่เกิดจากการเดินซ้ำๆ ของชาวบ้านเท่านั้น ช่วงไหนที่คนไม่ค่อยมา ทางแทบจะถูกปิดตายด้วยซ้ำ ต้องอาศัยการจำจากคนที่มาบ่อยๆ
คนทั่วไปสามารถขึ้นมาได้เหมือนกันนะครับ แต่ด้วยความที่ทางขึ้นยังดิบๆ อยู่ คนก็เลยขึ้นมากันน้อย แม้ระยะทางไม่สูงชันมาก แต่ถ้าเราไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็มีหอบบ้างแน่นอน แต่ช่วงนั้นผมเดินจงกรมหนักมาก การขึ้นเขาเลยค่อนข้างสบายไม่ลำบาก เดินขึ้นมาเรื่อยๆ สัก 15 - 20 นาทีก็มาถึงยอดแล้วล่ะครับ
บนยอดนั้นเราจะเห็นวิวของเมืองไชยาได้อย่างชัดเจน เห็นสวนโมกข์ฝั่งนานาชาติ เห็นบริเวณบ่อน้ำพุร้อนด้วย เห็นภูเขาที่พระอาจารย์ไปนั่งสมาธิในถ้ำ และเลยไปอีกไกลๆ เราจะมองเห็นทะเลได้อย่างชัดเจน นับว่าเป็นวิวสวนหลังบ้านที่สวยประทับใจไปเลยล่ะครับ
บนยอดเขาจะมีเพิงหลังเล็กๆ ที่มานั่งพักได้ บางคืนก็จะมีพระบางรูปขึ้นมานั่งสมาธิก็มี แต่ด้วยความเป็นพื้นที่เปิด ก็จะมีพบขวดเบียร์ กระป๋องโค้กที่ชาวบ้านมากินทิ้งไว้บ้าง
และบริเวณใกล้ๆ นั้นเอง พระอาจารย์จักรีก็พาไปดูเจดีย์โบราณ ไม่ทราบอายุและวันที่สร้างอย่างชัดเจน แต่เก่ามากๆ และเท่าที่ผมทราบ ก็จะมีเจดีย์และโบราณสถานแบบนี้ หาพบเจอได้อีกในจังหวัดสุราษฎร์ธานี บ่งบอกให้ทราบถึงความเป็นเมืองสำคัญมาแต่ครั้งอดีต
เราพักกันให้หายเหนื่อย พระอาจารย์ก็พาลงมาอีกทาง แต่คราวนี้เป็นทางที่ปูพื้นไว้อย่างดี แต่ถ้าจะขึ้นมาทางนี้ ระยะทางมันออกจะอ้อมไปเสียหน่อย จากนั้นเราก็ลัดเลาะขอบรั้วเข้าทางสวนยางของชาวบ้าน แวะทักทายบ้านคุณยายขายของชำ ยายก็เรียกนิมนต์ แล้วนำน้ำปานะมาถวาย เป็นอะไรที่ได้แรงอกมากๆ หายเหนื่อยทันที
พวกเราออกเดินทางกันต่อโดยคราวนี้พระอาจารย์จะพาลุยน้ำกัน จริงๆ เราจะเรียกส่วนนี้ว่าป่าพรุ ซึ่งเป็นป่าที่มีต้นไม้เยอะแยะ แต่จะพิเศษอยู่ตรงที่มันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ น้ำจะท่วมขังตลอดทั้งปี แต่ระดับน้ำไม่ได้ลึกมากหรอกครับ แค่ระดับเอวเท่านั้น ช่วงไหนมีขอนไม้ให้เดินก็สบายหน่อย ช่วงไหนไม่มีก็ลุยน้ำกันไป สนุกไปอีกแบบ
บางช่วงนี้เป็นอะไรที่แอดเวนเจอร์มากๆ เพราะเราต้องมุดใต้ไม้ใหญ่ที่ล้มลงมา บางช่วงต้องลงน้ำและลุยผ่านเข้าไปในดงต้นระกำ ใครที่คุ้นเคยกับต้นระกำหรือสละมาบ้างคงจะทราบกิตติศัพท์ของหนามมันเป็นอย่างดี ถ้าประมาทไม่มีสติมีสิทธิ์โดนตำทั้งตัวแน่ๆ ครับ
เกือบลืมไปแหนะครับ ที่ค่ายลูกเสือเราจะมีไอ้โซ่ หมาตัวสีดำน่าจะขวบสองขวบ มันจะตามพวกเราออกไปด้วย ทั้งขึ้นเขาลงห้วย มันปราดเปรียวมากๆ นับถือในความคล่องแคล่วของมันจริงๆ มันวิ่งได้ไม่มีเหน็ดเหนื่อยเลย
กว่าจะออกมาจากป่าพรุได้ก็บ่ายแก่แล้ว เราออกกันมาถึงถนนใหญ่แห่งหนึ่ง ห่างจากวัดสัก 4 - 5 โล จากนั้นพวกเราก็เดินกลับมายังค่ายลูกเสืออีกชั่วโมงกว่า แบบนี้ไม่ควรเรียกสวนหลังบ้านแล้วล่ะครับ เรียกว่าหมู่บ้านหรือตำบลยังได้ แม้จะเหนื่อยขาลาก แต่ก็สนุกเหลือเกิน
น้ำปานะวันนี้อลังการผิดกว่าปกติ เพราะมีให้ตั้ง 2 กาใหญ่ แถมมีมะขามป้อม ลูกสมอแช่อิ่มให้กินอีก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงอนุญาตให้ฉะนได้เพื่อเป็นยา ส่วนผมที่เหนื่อยมาทั้งวัน กินเป็นกับแกล้มน้ำปานะไปเลยสิครับ ปาร์ตี้น้ำปานะในเย็นวันนั้นเลยอร่อยเป็นพิเศษ
ระหว่างนั้นพระอาจารย์จักรีก็เล่าให้ฟัง ถึงการเดินธุดงค์ที่ท่านเคยไปมา ทั้งการเกือบจะหนาวตายที่ป่าดิบแถวเมืองกาญจน์ ทั้งขึ้นเหนือเลาะขอบชายแดนประเทศไทย จนไปโผล่ภาคอีสาน อะไรที่เคยอ่านจากหนังสือพระป่ามาก่อน ก็เพิ่งจะได้มีโอกาสเห็นพระที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเล่าให้ฟังเนี่ยแหละครับ ฟังสนุกกันจนลืมเวลาไปเลย
ระหว่างนั้นก็มีพระบางรูปถามว่า แล้วทุกวันนี้พระอาจารย์ยังออกไปเดินธุดงค์อีกบ้างรึเปล่า พระอาจารย์ก็บอกว่ายังมีออกไปทุกปีตราบที่ร่างกายมันจะพาไปไหว ถ้าใครอยากจะไปต้องมาอยู่พรรษาด้วยกันก่อน จะได้ดูว่าใครไปด้วยกันว่าจะไปไหวมั้ย ส่วนวันพรุ่งนี้หลวงพี่สรวิชญ์ก็จะพาเดินธุดงค์ใกล้ๆ ไปกลับ 4 วัน 3 คืน ใครไม่มีธุระอะไรและสนใจ จะลองไปมินิธุดงค์ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้ออก 8 โมงหลังฉันข้าวเสร็จ
บวชมาทั้งที ถ้าสึกออกไปนี่ ไม่รู้จะได้กลับมาอีกแล้วนะ - ในใจผมมันบอกงี้เลยนะ นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดบวช 3 เดือนแล้วด้วย โค้งสุดท้ายแล้ว เอาวะเป็นไงเป็นกัน เดินขึ้นภูกระดึงยังขึ้นมาแล้ว เดินธุดงค์มันจะซักเท่าไหร่กันเชียว
น่านนน ใจมันไม่เจียมอีกแล้วไอ้พระหนุ่มคนนี้ พรุ่งนี้จะได้เจอของจริง จะร้องไม่ออกจะกลับบ้านก็ไม่ได้นะบอกเลย 555
การเดิน "มินิธุดงค์" ของพระหนุ่มจากเมืองศิวิไลซ์จะเป็นเช่นไร จะเป็นภาระของหลวงพี่หรือไม่ จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางรึเปล่า อย่าลืมติดตามรับชม "ชนจิตฺโต" ในตอนหน้านะครับ
ขอบคุณครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา