Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นักลงพุง
•
ติดตาม
28 พ.ย. 2023 เวลา 11:00 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนที่ 14: มินิธุดงค์
หลวงพี่สรวิชญ์ยืนรออยู่แล้วที่ศาลาค่ายลูกเสือ พระท่านที่มีธุระต้องกลับไปก่อน ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บของกลับ จึงเหลือพระที่จะไปธุดงค์ด้วยกันเพียงแค่ไม่กี่รูปเท่านั้น ก็จะมีหลวงพี่สรวิชญ์เป็นหัวหน้า เพราะพระอาจารย์จักรีไปไม่ได้ แล้วก็มีหลวงพี่หรั่ง น้องเณรโจ๊ก หลวงพี่บูมจากเมืองภูเก็ต และผมที่เป็นพระบวชใหม่ขอติดตามไปด้วย
หลวงพี่สรวิชญ์ก็มาบรีฟให้พวกเราฟังว่าต้องมีอะไรติดตัวไปบ้าง นอกจากอัฐบริขารที่ต้องมีติดตัวแล้ว สิ่งที่สำคัญเลยคือกลดหรือร่มของพระ ที่สามารถครอบมุ้งแล้วใช้กางนอนในป่าได้ พวกเราพระใหม่ไม่มี หลวงพี่สรวิชญ์เลยเมตตาเข้าไปในศาลา แล้วหยิบมาให้พวกเราคนละอัน
หลังจากที่เช็คของทุกอย่างให้เรียบร้อยดีแล้ว หลวงพี่สรวิชญ์ก็เรียกให้เราออกเดินทาง เพราะยิ่งช้าอากาศจะยิ่งร้อน ทำให้เดินเป็นระยะทางได้น้อย ผมก็สะพายย่ามข้างซ้าย สะพายบาตรข้างขวา ถอดรองเท้าไว้ที่ศาลาแล้วก็ออกเดินทาง
ไม่ทันไรหลวงพี่สรวิชญ์หันมามอง จะถอดรองเท้าทำไม ไม่กลัวเท้าพองรึไง ไปใส่มาเดี๋ยวนี้ อ้าวผมก็นึกว่าพระธุดงค์เขาไม่ใส่รองเท้ากันเสียอีก หลวงพี่ก็หัวเราะอยากถอดก็ตามใจ แต่ให้พกรองเท้าเผื่อไปด้วยละกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน ผมก็เลยเอาร้องเท้าเก็บใส่ในย่าม แล้วก็เดินเท้าเปล่าออกจากวัดไปแบบนั้น
ไอ้โซ่หมาประจำค่ายลูกเสือมันตามมาด้วยแฮะ มันชอบเดินนำหน้าเราประดุจจะบอกว่าให้ตามมันมา มันไม่พาไปหลงแน่นอน ซึ่งมันวิ่งเข้ารกเข้าพงไปแล้ว พวกผมหรือจะบ้าตามไป ไอ้โซ่เอ้ย หลอกพระหลอกเจ้ามันบาปนะเห้ย
เราเดินตัดผ่านสวนยางกันไปเพื่อหลบแดด ถนนเป็นทรายไม่แข็งไม่นิ่มไม่ร้อนด้วยเลยเดินได้สบายแม้จะเดินเท้าเปล่าก็ตาม และเท่าที่ผมสังเกตก็มีผมคนเดียวที่บ้าเดินเท้าเปล่าด้วยนะ คนอื่นๆ ใส่รองเท้าทั้งนั้น ผมนี่มันแน่จริงๆ 😏
พอหลุดสวนยางออกมาเจอถนนใหญ่ลาดยางเท่านั้นแหละ แม่เจ้าประคุณเอ้ยยย นึกว่าเดินบนถ่านเถอะ ร้อนไม่ไหว เหมือนเอาเท้าไปนาบกับเตารีดตลอดเวลา แต่ก็นะผมมันแน่มาตลอด จะใส่รองเท้าตอนนี้ก็เสียหน้าแย่ เลยกัดฟันเดินเท้าเปล่าต่อไป
สักพักผมจับเคล็ดลับได้ว่า บนถนนราดยาง ให้เดินบนเส้นถนนสีขาว เพราะมันไม่อมความร้อนเท่ากับพื้นยางมะตอยสีดำ เอ้อ ค่อยยังชั่ว ถึงร้อนน้อยกว่าแต่ก็ยังร้อนอยู่ดี แถมเดินมาเกือบชั่วโมงหลวงพี่ไม่มีท่าจะหยุดสักที จนได้เจอศาลาคนเศร้าริมทางนั่นแหละ หลวงพี่จึงได้บอกว่า เอ้าพักได้ เท่านั้นแหละคุณเอ้ย ผมมีความสุขขนาดไหนคุณรู้มั้ย 555
เรานั่งพักกัน หยิบขวดน้ำจากในย่ามมาจิบกันให้หายคอแห้ง หลวงพี่บอกว่าอย่ากินเยอะ ไม่งั้นน้ำมันจะลงขาแล้วขาพองได้ ที่นี้จะยิ่งแย่เดินไม่ไหว ผมไม่ดงไม่ดื้ออะไรแล้วล่ะครับหลวงพี่ ผมจะเชื่อหลวงพี่ทุกอย่าง ทุกคนหยิบน้ำมากินเป็นอย่างแรก ส่วนผมน่ะเหรอ ก็หยิบรองเท้ามาใส่สิครับจะรออะไร หลวงพี่หันมามองอย่างยิ้มๆ แต่ท่านไม่พูดอะไร แต่ผมรับรู้ได้ในใจ
กูบอกมึงแล้ว 5555
พักกันไม่ถึงกับให้หายเหนื่อยจนเครื่องเย็นไปเสียก่อน หลวงพี่ก็บอกให้เราไปต่อ เราจะเดินสลับกับพักทุกๆ 3-4 กิโลเมตร พอเที่ยงก็หลบข้างทางนอนงีบเอาแรง จะเดินตอนนี้มีได้ร้อนแดดตาย พอตะวันคล้อยบ่ายจึงได้ลุกเดินต่อ
เดินกันมาจนถึงเย็น หลวงพี่ก็บอกให้พอแค่นี้ คืนนี้เราจะพักกันที่โรงเรียนนี่แหละ พักโรงเรียนจะมีห้องน้ำ มีศาลา มีน้ำให้อาบ ถือว่าสบายกว่าไปนอนที่วัด เพราะบางวัดเขาอาจจะไม่ต้อนรับพระแปลกหน้า เพราะมีพระเขมรเดินมาเรี่ยไรขอเงิน โรงเรียน โรงพัก อนามัย เลยเป็นที่ๅ สบายและปลอดภัยเหมาะกับการพักเอาแรง
คืนนั้นหลังจากอาบน้ำ หลวงพี่ช่วยกลางกลดเสร็จ ผมก็หลับเป็นตายตั้งแต่ยังไม่ 2 ทุ่ม หลับลึกจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตี 4 ได้ยินหลวงพี่เริ่มเตรียมตัวเก็บของแล้ว ผมก็เลยลุกขึ้นบ้าง แต่อนิจจาวะตะสังขารา ร่างกายมันประท้วงครับคุณผู้อ่าน มันปวดมันเมื่อยทั้งตัว ระบมไปตั้งแต่บ่ายันตูด จะเลิกตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะมาถึงครึ่งทางเสียแล้ว ก็มีแต่ต้องลุกแล้วไปตายเอาดาบหน้าเท่านั้น
หลวงพี่บอกว่าที่เราต้องออกเดินกันตั้งแต่เช้า เพราะอากาศเย็นไม่ร้อนแดด เลยเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการทำระยะ เดินยิงกันยาวๆ แล้วไปค่อยผ่อนเอาตอนบ่ายๆ ผมก็เห็นด้วยเพราะถึงแม้จะปวดเมื่อยก็ยังเดินได้สบาย
วันนี้เริ่มจับจังหวะการเดินได้แล้ว เดินสบายกว่าเมื่อวานเยอะ อะไรที่เคยดื้อก็ว่านอนสอนง่ายไปทุกอย่าง หลวงพี่บอกหันซ้ายก็ซ้าย หันขวาก็ขวา ส่วนไอ้โซ่ยังลงไปเดินในพงข้างทาง ซึ่งเราก็ไม่บ้าตามมัน
เดินจนเข้าบ้านป่าในอำเภอวิภาวดีเอาช่วงบ่าย เดินขึ้นเขาลงห้วยอีกนิดนึง แล้วเราก็มาถึงจุดหมายที่ ตโปทาวัน สำนักสงฆ์เล็กๆ กลางใจปา ที่ชาวบ้านซื้อถวายให้กับสวนโมกข์ เพื่อเป็นที่ให้พระเข้ามาเสพย์ความวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรม
อากาศที่สวนโมกข์ว่าดีแล้ว แต่ที่ตโปทาวันนี้ดีกว่าเยอะ เย็นสบายตลอดปี ฝนตกได้ทุกเมื่อเพราะความชุ่มชื้นมีเยอะ แต่แปลกที่ไม่ค่อยมียุง แถมที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยคือลำธารข้างๆ วัด ที่พระจะลงไปอาบน้ำกัน ที่สำคัญคือ บางจุดเป็นน้ำพุร้อนด้วนฮะคุณผู้ชม
ใช่ครับที่นี่มีออนเซ็นด้วย วิธีการทำออนเซ็นของพระป่าก็คือ เอามือคลำๆ หาที่พื้น ว่าจุดไหนมีน้ำร้อนออกมา แล้วก็รวบรวมก้อนหินมาก่อเป็นอ่างเล็กๆ แล้วก็นั่งแช่กันอยู่ในนั้น อากาศข้างนอกหนาวอยู่ แต่ในบ่อนี่อุ่นสบาย ความปวดเมื่อยทั้งหลายก็ค่อยๆ บรรเทา
เราอยู่กันที่ตโปกัน 2 คืน เพื่อโปรดญาติโยมในระแวกนั้นด้วยเพราะห่างไกลวัด นานๆ จะมีพระมาเสียที แล้วเราจึงเดินกลับสวนโมกข์กันต่อ ถึงแม้ระยะทางจะไกลเท่ากับตอนมา แต่ด้วยประสบการณ์ที่พบพา การเดินทางเที่ยวกลับเลยกว่าเดิม
กลับมาถึงพระอาจารย์ถามว่าเป็นไง ชอบมั้ย ประทับใจรึเปล่า นี่แค่เดินมินิธุดงค์ไม่กี่วัน ถ้าอยากเดินธุดงค์จริงๆ ก็ต้องมาเข้าพรรษากันก่อน ซึ่งเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว เหลืออีกแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น
ใจผมก็เหมือนเดิมล่ะครับ บวชมาทั้งที ก็อยากจะเอาให้ดีที่สุด อยากอยู่ต่อเข้าพรรษา แล้วถ้ามีโอกาสก็อยากจะเดินธุดงค์อีก แต่ปัญหาคือ เราจะขออนุญาตแม่อยู่ต่อยังไงนี้สิ
แค่คิดก็เจ็บหัวแล้วครับโผ้มมม 😅
ขอบคุณเช่นทุกครั้งสำหรับการติดตามรับชมนะครับ ในตอนหน้าพระนัทจะต้องกลับไปที่วัดนครศรีฯ เพื่อขอต่อฟรีวีซ่า ไม่รู้จะได้รึเปล่า อย่าลืมเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
สวัสดีครับ
เรื่องเล่า
พุทธศาสนา
นิยาย
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ชนจิตฺโต
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย