27 มี.ค. เวลา 16:01 • ประวัติศาสตร์

ถ้าหากเพื่อนๆได้รับบัฟจากพระผู้เป็นเจ้าให้ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ในสำนักราชวังราชวงศ์ยุโรปเก๋ๆ

งานการไม่ต้องทำ พร้อมสรรพสารพันไปด้วยข้าวปลาอาหารขนมของเล่น มีข้ารับใช้ข้าราชบริพารหาให้ทูลถวายทุกสิ่งแถมยังบุญพาวาสนาดี ได้ถูกเลือกให้ไปแต่งงานกับเจ้าชายองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยแห่งวังฝรั่งเศสที่ตอนนั้นก็ดูเหมือนจะร๊วยรวย ได้มีลูกน้อย 4 หน่อหน้าตาน่ารักจุ้มลุ้มจิ้มลิ้ม โอ๊ยชีวิตดีจนคิม คาร์แดเชี่ยนอยากวิ่งมากระชากมง
แต่ใดๆก็ตามดั๊นฟังได้จบแค่นั้น พระผู้เป็นเจ้ายังเล่าไม่สุด เธอก็รีบวิ่งร้อยเมตรพุ่งทะยานลงไปเกิดใหม่ในครรภ์พระมารดาแห่งราชอาณาจักรออสเตรียในทันทีโดยหารู้ไม่ว่าขณะที่พระเจ้ากำลังจะทรงบอกชีวิตตอนจบว่า แต่ลูกต้องยอมเสียสละศีรษะออกจากตัว ด้วยการถูกเครื่องประหารหัวสิงห์รุ่นใหม่สับขาดเลือดสาดกระจาย ก่อนที่ท่านเปาบุ้นจิ้นจะเอาไปใช้ในละครทีวี
ท่ามกลางลานที่ว่าการประจำเมืองที่กระหึ่มด้วยเสียงโห่ไล่ ก่นด่า สาปแช่ง สายตานับพันคู่ที่จ้องมองอย่างเคียดแค้นจากสารพัดเรื่องวายป่วงที่สะสมมาก่อนที่ลูกจะเกิดแต่ดันมาระเบิดหวยออกให้ลูกต้องสังเวยชีวิตเพื่อยุติความโกลาหล (ชั่วคราว) ที่ประชาชนแทบจะกินก้อนอิฐก้อนดินให้ได้มีอะไรลงท้องแทนเศษแกลบ และนั่นจะทำให้ลูกได้เป็นตำนานตลอดกาล (กาล กาล กาล…)
1
https://www.timetravel-vienna.at/en/the-sixteen-children-of-maria-theresa-eleven-daughters-and-five-sons/
ทีนี้ถ้าเราจะเปิดเรื่อง World’s Herstory Ep นี้ด้วย
โปรดัคชั่นของดิสนีย์ล่ะ กล้องก็คงจะแพนออกไปนอกหน้าต่างพระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palace) แห่งราชอาณาจักรเวียนนา (Vienna) ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1755 ที่ด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน บรรยากาศนิ่งสงบไม่มีเสียงกบ เสียง
จิ้งก่งจิ้งหรีดหวีดร้อง
1
https://www.schoenbrunn.at/en/
ราชินีผู้เลอโฉมสมฉายาองค์แม่แห่งออสเตรียนามว่า พระนางมาเรีย เธเรซ่า (Maria Theresa) พึ่งให้กำเนิดทารกเบบี้เกิร์ล แต่ไม่ได้ตั้งชื่อนางว่าสโนว์ไวท์ กลับให้ชื่อแบบจัดหนักราวกะหม่อมแม่ได้จ้างหมอลักษณ์ หมอกฤษณ์ หมอปลา หมอปลาย หมอไก่กาอาราเล่ (ซึ่งไม่ได้จบวิชาแพทยศาสตร์หรือเป็นศาสตราจารย์ด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยที่กระทรวงการศึกษาประเทศไหนรับรองทั้งสิ้น แต่ผู้คนบางกลุ่มเคารพนับถือเรียกว่าหมอซะงั้น — พูดแล้วขึ้น ฮิปโปเรียนแทบตายยังได้วุฒิแค่ป.6)
อ่ะๆ สูดลมหายใจให้เต็มปอด เกียมตัวจดตามครูนะคะ ทารกหญิงพระองค์เล็กนี้ได้รับพระนามตามภาษาเยอรมันว่า Maria Antonia Josepha Joanna von Österreich Lothringen — ยกมือขึ้นใครพูดชื่อพระนางถูกต้องเป๊ะๆตามแกรมมาร์และแอ็คเซ่นได้ในครั้งเดียว ยินดีด้วยค่ะคุณไม่ใช่คน แต่คุณคือเทพเจ้ากูเกิ้ลมาจุติ
1
https://www.habsburger.net/en/chapter/marie-antoinette-childhood-overshadowed-politics
ชีวิตวัยเด็กขององค์หญิงน้อยมาเรีย ว่ากันว่าก็ทรงเติบโตมาท่ามกลางความรัก ความกดดัน ความคาดหวังจากองค์แม่ใหญ่มาเรีย (ถึงตรงนี้ใครงงให้ออกไปสงบสตินอกห้อง ชื่อเค้าก็ซ้ำกันงี้แหละ ใครจะไปมีหัวครีเอทีฟเท่าหมอดูโหรหลวงประเทศสยามแลนด์ ตั้งชื่อใหม่ทีเจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎร์เงยหน้ามามองเลยว่าพี่รู้คำอ่านคำแปลชื่อตัวเองมั้ยนี่)
กลับมาจ้ะ องค์แม่ใหญ่ก็เคี่ยวเข็ญให้องค์ลูกๆ ทุกผู้ทุกนางได้มีการศึกษาดีๆ อย่าโดดเรียนหมั่นเพียรเขียนอ่าน ห้ามไปตั้งวงเล่นตี่จับหรือกระโดดโลดเต้นเป็นเมมเบอร์วง BNK 48 แม้แต่อย่าคิดจะหัดร้องเพลงโค๊ฟเวอร์วงแบล็คพิ้งค์ ถ้าองค์ลูกทุกพระองค์ของแม่ใหญ่ทำตัวดีเกินมนุษย์ มีสาระทุกลมหายใจ เรื่องมันก็คงจบแบบเย็นชืดเหมือนแกงจืดลืมใส่ผงรสดี…ใช่มั้ย
1
พี่ๆส่วนใหญ่ขององค์หญิงน้อยมาเรียก็ก้มหน้าก้มตาทำตาม เสด็จแม่สั่งหันซ้ายหันขวาปั้นหน้ารับแขกบ้านแขกเมือง ออกไปแต่งงานเข้าบ้านทั่วราชวงศ์ยุโรปแบบสมัยนั้นที่ฮิตกันก็ทำๆไป ในขณะที่ลูกปลาน้อยเซียวฮื่อยี้ของเรา (อ้าว คนละเรื่อง) ก็หาแคร์ไม่
https://royalcentral.co.uk/features/when-mozart-met-marie-antoinette-133508/
แม่สั่งขวานางหันซ้าย แม่บอกไปเข้าห้องเรียนภาษาอิตาเลี่ยนฝรั่งเศสหน่อยนะลูก ชีเธอก็โดดออกไปเรียนเปียโน ฟังเพลงคลาสสิกของบีโธเฟน (Ludwig van Beethoven) ร้องคาราโอเกะ มีข่าวปั๊บปี้เลิฟเล็กๆกับโมซาร์ต (Wolfgang Amadeus Mozart) แถมซ้อมเต้นแท็งโก้ซัลซ่าต่อจนองค์แม่เอือมระอา ต้องทรงนอนเอาพระบาทพาดพระพักตร์อยู่เสมอ
จำเนียรการผ่านไป (เรื่องมันโบราณไง ก็ต้องใช้คำนี้แหละ) องค์หญิงน้อยมาเรียมีพระชันษาได้ 14 ขวบปี องค์แม่ได้หมายพระทัยว่าอย่างน้อยลูกฉันก็มีแววสวยเหมือนฉันตอนสาวๆ (เอ่อ แม่คะ…) ฉันจะต้องหาเจ้าชายตัวท็อปจากเวที The Face ให้ลูกสาวไปแต่งงานด้วย นอกจากจะช่วย secure บัลลังก์และเสริมความ glorious ของอาณาจักรเราแล้ว ยังจะได้ช่วยสงบศึกสงครามระหว่างประเทศนานาในยุโรปอีกด้วย
2
https://en.chateauversailles.fr/discover/history/great-characters/louis-xvi
คิดได้ดังนั้นองค์แม่ใหญ่ก็ส่งราชทูตเข้าไปติดต่อยังสำนักราชวังแวร์ซายย์ (Versailles Palace) แช้มป์ประเทศคู่ปรับที่กินกันไม่ลงมาหลายสมัยตั้งแต่สมเด็จทวดองค์หลุยส์ที่ 14 ยังอยู่เป็นพ่อทุกสถาบันจนท่านได้ไปเข้าเฝ้าองค์จีซัสหลายสิบปีแล้ว ได้ข่าวว่าทิ้งมรดกมากมายไว้ให้องค์กษัตริย์ผู้ลูกหลุยส์ที่ 15 ในตอนนี้ แถมเผื่อแผ่ไปถึงองค์รัชทายาทเจ้าชายหลุยส์ที่ 16 เยอะเสียด้วย อุ๊ย ยิ่งคิดอกอิแม่ยิ่งพองฟูราวกับใส่ซิลิโคนข้างละ 450 ml เหมือนจะได้สวามีใหม่เสียเอง
และแล้วการจัดงานแต่งแบบงงๆของสองทายาททั้งบ้านฝรั่งเศสและบ้านออสเตรียก็ถูกจัดเตรียมขึ้น ด้วยความที่อีกด้านหนึ่งของนวนิยายชีวิตเรื่องนี้นั้น มันมีด้านดาร์คๆซ่อนไว้อีกเยอะ องค์พ่อฝั่งฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 หลังจากได้รับมรดกอันเป็นหนี้บักโกรกมหาศาลมาจากเสด็จปู่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ที่พี่หมื่นแฟนแม่การะเกดไปเข้าเฝ้าฯน่ะ — อืมพี่หมื่นโป๊บนั่นตัวละครในนิยายนะเพื่อนๆ
https://www.silpa-mag.com/quotes-in-history/article_15997
ท่านราชทูตตัวจริงไม่จกตา ที่ได้ไปเข้ารั้ววังแวร์ซายย์และถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นสัญลักษณ์แห่งการผูกมิตรระหว่างอโยธยากับฝรั่งเศส คือท่านเจ้าพระยาโกษาธิบดีปานพร้อมคณะทอล ดาร์ค & แฮนด์ซั่ม บอยแบนด์แห่งราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนะจ๊ะ นึกภาพตามยากก็นึกหน้าพี่นักแสดงช่องสามแทนไปก่อน ถ้ามีเวลาและอารมณ์ดีฮิปโปจะมาเล่าเรื่องแซ่บๆของท่านทูตสมัยนู้นให้ฟัง
1
เอาล่ะฝั่งผู้ชมและผู้เผือกอย่างเราก็น่าจะรู้โครงเรื่อง
ดราม่าที่เริ่มงวดขึ้นเรื่อยๆ สรุปง่ายๆไม่กี่บรรทัดให้ว่า ฝั่งแม่ใหญ่ออสเตรียนึกว่าลูกสาวองค์เล็กจะได้มาตกถังขนมปังบริยอช (อุ๊ปส์ แอบเผยความลับบางอย่างแล้วสิเรา — เอานิ้วจิ้มแก้ม) ได้แต่งเข้าราชสำนักที่ร๊วยรวยหรูหราฟู่ฟ่า
2
ฝ่ายองค์พ่อวังฝรั่งเศสก็ยิ้มกรุ้มกริ่มเอามือลูบหนวดไปมาคิดว่า ฮึแบบนี้ก็ดีน่ะสิ องค์รัชทายาทของข้าซึ่งดูยังไงมันก็ทั้งเนิร์ด ทั้งอินโทรเวิร์ด วันๆมีแต่เล่นซ่อมนาฬิกา ต่อเลโก้ ไม่คิดจะหาเมียรวยๆไว้ไปตีกับไอ้อังกฤษชนชาติฟิช แอนด์ ชิปส์ซะบ้าง ดีล่ะรีบจัดงานแต่งไปเลยละกัน เดี๋ยวนางองค์แม่ฝั่งนั้นจะรู้ทันว่าเราถังแตก อยากเอาลูกชายไปแลกกะละมังเสียเหลือเกิน
1
เมื่อการ์ดเชิญงานแต่งระดับภูมิภาคถูกส่งไปยังอาณาจักรต่างๆในยุโรปแบบไม่มีใครกด Not Going ความกดดันจะไปอยู่ที่ใครล่ะจ๊ะ องค์หญิงลูกก็ถูกปลุกขึ้นมาทุกเช้ามืด หนีไปเที่ยว RCA เหมือนเดิมก็ไม่ได้ (โหฮิปโป อายุเท่าไหร่เนี่ย ไม่บอกไปสิงในผับพาเลซ ยืนเต้นบนลำโพงกับพี่ช่าเลยล่ะ — เอ่อ ช่าบันทึกของตุ๊ดนะ)
https://etiquipedia.blogspot.com/2015/10/etiquette-and-french-civilities.html
ต้องลุกขึ้นมาขัดสีฉวีวรรณ ดัดฟัน บำรุงผิว เรียนรู้มารยาทของทางฝรั่งเศสซึ่งจริตจก้าน อติข่ง อติแข็ต (เค้าใช้คำว่า Etiquette นะ ไปเปิดวิกิดูได้ นี่ก็ลอกเขามา) มันสุดแสนโอเว่อร์เบอร์ใหญ่ จะเอาไม้แหลมจิ้มผลไม้เข้าปากแบบที่ทำในวังตนเองก็ไม่ได้ นี่ๆดูซิเสื้อผ้าใส่อะไรมาเนี่ย เลิกซื้อได้แล้วลูกของช้อปปี้ ลาซาด้าน่ะ
นี่เดี๋ยวพอแต่งงานนะก็ไปอ้อนพระสวามีให้สั่งตัดเสื้อผ้า Dior Haute Couture, ใส่เครื่องประดับ Tiffany & Co., รองเท้าน่ะต้องใส่ Christian Louboutin พื้นแดงสูงอย่างต่ำ 6 นิ้วนะ นำเทรนด์วงการแฟชั่นก่อนป้าออเดรย์ เฮปเบิร์น, ชมพู่ อารยา และยัยอาเรียน่า กรานเด้ไปเลย
นอกเสียจากเสด็จแม่ได้สั่ง เสี้ยม สอนให้ปริ๊นเซสมาเรียไปตะเกียกตะกายชุบตัว หาของแบรนด์เนมบางทีก็มาจากประตูน้ำบ้าง ตลาดนัดเลียบด่วนบ้างมาโปะๆก่อนเข้าวังเพราะบ้านเราตังค์ไม่ค่อยมี เดี๋ยวก็ได้สามีรวยแล้วจะกลัวทำไม
และวันส่งตัวว่าที่เจ้าสาวก็มาถึง องค์หญิงน้อยที่สุดแสนจะประหม่า โบ๊ะเสื้อผ้าหน้าผมแบบที่องค์แม่คิดไปเองว่ามันเก๋ มันชิค มันเทรนดี้เนี่ย มันพลาด มันพัง มันไม่เข้ากันสักอย่างเลยค่ะหม่อมแม๊ ชุดที่นางใส่ รองเท้าที่นางสวมมันสุดแสนจะหลวมโพรกเนื่องจากอาจจะไปหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าพี่สาว ทาแก้มให้ดูมีเลือดฝาด (ฝาดจนขม) ด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ รองพื้นก็โบกหนาจนหน้าเทาราวกับโดนช่างแต่งหน้าแกล้ง พอเถอะฉันสงสารชี
อ้อๆ จากนั้นขั้นตอนการเปลี่ยนชื่อให้เข้าปากคนในราชสำนักฝรั่งเศสที่จะได้เรียกนางง่ายๆ มันก็เริ่มตรงนี้แหละ เราๆถึงได้รู้จักพระนางในชื่อ Marie Antoinette นี่ไง และต่อไปนี้เราจะใช้ชื่อพระนางว่ามารี อังตัวเน็ตต์นะ
1
แถมให้พูดภาษาฝรั่งเศสแบบที่เจ้าหญิงผู้ได้รับการศึกษาที่ดีจะพึงทำได้นางก็ไม่ได้อีก ทั้งคนในวังฝรั่งเศสก็จับกลุ่มเมาน้ำลายดูถูกนางต่างๆนานา ซุบซิบนินทาว่านางทำไมถึงดูบ้านนอกเซาะกราวได้ขนาดนี้ นี่บ้านรวยจริงเหรอ ไหนอ่ะสินสอดทองหมั้นที่ว่าจะให้ ไหนจะโน่นนี่นั้น โอย นี่ถ้าพระนางฟังออกอาจจะขอโดดแม่น้ำแซนน์ลาโลกได้เลยนะเอาจริงๆ
https://www.parisology.net/marriage-louis-xvi-marie-antoinette
เมื่อเข้ามาอยู่ในราชสำนักหลังวันแต่งงาน — อันนี้จากบันทึกในพระราชวังแวร์ซายย์นะแปลเป็นไทยคร่าวๆ เติมสีตีแป้ง ผสมกับความผีเจาะปากของฮิปโปเพื่ออรรถรสอีกนิดหน่อย ใจความว่า “หลังจากที่งานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษกสยุมพรได้เริ่มขึ้นจนถึงเวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้จดทะเบียนสมรักสมรส ท้องฟ้าเหนือปราสาทแวร์ซายย์ที่มืดดำดั่งผืนผ้ากำมะหยี่ก็ส่งเสียงคำรามราวกับแผ่นเมฆจะถล่ม“
“พายุฝนไม่รู้โกรธใครมาจากไหนก็ได้ฟาดฟัดพัดพาอย่างหนักจนหน้าต่างบางบานได้หลุดร่วงออก เทียนไขหลายดวงถูกลมพัดทั้งดับทั้งล้ม ข้าราชบริพารต้องวิ่งวุ่นหาน้ำมาดับก่อนไฟจะลุกลาม เมื่อถึงคราวที่องค์เจ้าสาวต้องจรดน้ำหมึกจารึกในเอกสารทะเบียนงานแต่ง เธอก็พลาดพลั้งทำหมึกหกเลอะเทอะไปทั่ว เจรจาพาทีกับข้ารับใช้ในพระราชวังก็คุยกันไม่เข้าใจ“
โอ้โหฟังดูดีมั้ยล่ะท่าน ภาษาชาวบ้านอย่างฮิปโปก็คงบอกว่าลางมหาประลัย ส่อเค้าว่า my ship is gone ส่งลงมาขนาดนี้ไม่น่าจะดีเท่าไหร่นะแม่ ถอนตัวทันมั้ยเนี่ย
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ความกดทับกดขี่ข่มเหงหัวใจดวงน้อยๆของพระนางก็เริ่มหนักข้อขึ้น ด้วยความที่แต่งงานกันมา จะเจ็ดปี พระสวามีก็ไม่ได้มีทีท่าอยากจะเล่นกะตู้วู้หรือมีแนวโน้มที่จะผลิตรัชทายาทขึ้นมาได้ นางทั้งโดนเสด็จแม่เขียนจดหมายมาด่า โดนคนในวังจิกยิ่งกว่าไก่ ไม่ไหวแล้วว้อยฉันต้องปฏิวัติ!!! ด้วยความที่นางไม่ได้มีรถถังหรือกองกำลังติดอาวุธเหมือนผู้นำเผด็จการบางที่ (อย่า อย่านะฮิปโป เงียบปากเดี๋ยวนี้, แก๊งค์ซาฟารีเข้ามาสะกิด)
https://www.thecollector.com/marie-antoinette-controversial-fashion-queen/
นั่นแหละการปฏิวัติของนางคือเริ่มจากการแต่งหน้าแต่งตัวแต่งผม เอาจริงๆนางก็มีข้าราชบริพารที่มาจากออสเตรียคอยรับใช้และมีคนในวังฝรั่งเศสเอ็นดูช่วยเหลืออยู่บ้าง วันไหนอยากได้มุกห้อยสร้อยเส้ย ผ้าไหมสีสดจากจีน รองเท้านำเข้าจากอิตาลี อยากทำผมทรงตีโป่งราวลูกบอลลูน เอาให้สูงกว่าแบบเดิมที่ฝรั่งเศสมีและเรียกว่า Pouf นะไปหาดูได้ นางก็ทำแบบ Mega Pouf เลยจ้า เลกี้กาก้าถูกใจสิ่งนี้
ด้วยการสั่งให้ช่างทำผมตีกระบังฟาร่าแผงสิงโตซิมบ้าเจ้าป่าจากเรื่องไลอ้อนคิง ขนาดเจ๊แม่คลีโอพัตรา Ep ก่อนต้องร้องเจี๊ยก แล้วนางสั่งให้เอาคนโทแจกัน ใส่น้ำปักดอกไม้สดโบกทับไปที่พระเศียรเอาให้บังคนข้างหลังจนมิด แล้วนางก็อัพเลเวลจัดหนักจัดเต็ม แต่งตัวแต่ละวันไม่ซ้ำ theme จนคนในวัง รวมทั้งแขกเหรื่อที่มาเยือนจากที่เคยเม้ามอยนินทานางต่างก็ทำตามเป็นแถบ เหมือนนางเป็นนิตยสารโว้คเดินได้ยังไงยังงั้น
1
อ่ะพอจัดการหุบปากลูกอิขี้เม้าท์ได้เรียบร้อย นางก็เริ่มเล่นใหญ่เอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาลแทนพระอาทิตย์ซะงั้น (อืม องค์ทวดหลุยส์ที่ 14 จะมาเข้าฝันบอกให้นางเบาลงหน่อยมั้ยนะ รึว่า องค์หลุยส์ที่ 14 นี่แหละจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเป็นพระนางเสียเอง เพื่อต้องชดใช้หนี้กรรมที่ทรงก่อไว้มหาศาล โอ้ว งานนี้ต้องเชิญพี่ป๋อง กพลมาช่วยสืบ) จัดปาร์ตี้เล่นใหญ่เล่นโตในวังแทบทุกคืน
เงินในท้องพระคลังก็ร่อยหรอลงกว่าเก่า ฝ่ายพระสวามีก็ไม่หือไม่อือ นางขออะไรถ้าให้ได้ก็ให้ไปตัดรำคาญ เพราะองค์หลุยส์ที่ 16 เองก็แค่อยากอยู่ในวังซ่อมจักรยาน เล่นเครื่องมือกลของท่านไปเหมือนหนุ่มวิศวะที่ไม่ชอบแสงสีน่ะ (มีด้วยเหรอ 555)
https://en.chateauversailles.fr/discover/history/key-dates/first-visit-holy-roman-emperor-joseph-ii-1777
อ้าว ร้อนถึงองค์แม่ใหญ่แห่งวังออสเตรียสิ นี่ลูกสาวแต่งงานเข้าไปตั้งแต่เป็นเด็กหญิงจวบจนตอนนี้รังไข่ใกล้ฝ่อแล้ว (เอ่อ แม่คะ นางพึ่งยี่สิบนิดๆเองนะคะ รังไข่ฝ่อน่ะฮิปโปค่ะ) ไม่ได้ๆ ต้องส่งองค์ชายใหญ่ไปดูน้องเสียหน่อย เผื่อได้ไปช่วย เอิ่ม ให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการผลิตหลุยส์น้อยออกมาไวๆ
เสด็จแม่ก็ส่งองค์ชายผู้พี่ของพระนางมารี อังตัวเน็ตต์น่ะให้เข้าไปเยี่ยมน้องสาวกับน้องเขย เลียบๆเคียงๆถามว่า “นี่ เป็นไงมั่ง… ” เงียบ, เงียบกันทั้งตำหนัก (ขอเสียงประกอบเป็นเสียงจิ้งหรีดจากการ์ตูนชินจังหน่อย)
องค์หลุยส์ที่ 16 ทรงได้แต่ก้มพระพักตร์ เอาพระนิ้วเท้าเขี่ยพรมเล่น พี่ชายของเสด็จเมียเลยรู้ จุ๊ปากเบาๆสองสามทีก่อนบอกองค์หลุยส์ว่า ตามพี่มาทางนี้สิ — เอ่อหนังสือเล่มนี้จะได้ตีพิมพ์มั้ยเนี่ย แหมเค้าก็ไม่อะไรมากหรอก ก็ทรงตามหมอหลวงมาตรวจดูอาการทางพระวรกายองค์หลุยส์จนได้ทราบว่าท่านมีอาการปวด 🐘 เวลาต้องเข้าพระที่กับพระชายาน่ะ (แปลกันเอาเองเด้อพี่น้อง ฮิปโปบอกได้แค่นี้แหละเดี๋ยวโดน กบว.แบน)
https://www.palaces-of-europe.com/children-of-marie-antoinette.html
หมอหลวงจึงต้องทำการผ่าตัดเบบี้ช้าง ( รึ baby shark) ขององค์สวามี จากนั้นไม่นานเหมือนสวรรค์จะเลิกกลั่นแกล้ง พระนางมารี อังตัวเน็ตต์ก็ได้ตั้งครรภ์สืบเนื่องมาจนมีรัชทายาทรวมแล้ว 4 พระองค์ เมื่อก่อนมันก็ไม่มีติ๊กต่อก, X , Facebook, IG , เฮียสรยุทธ อ่ะเนอะ แล้วชาวบ้านร้านตลาดจะไปเอาข่าวสารการเมืองการวังมาจากไหน ก็มาจากภาพเขียนที่ทางสำนักราชวังคอยเอาไปติดไว้ตามศาลาว่าการไงล่ะ
จำได้มั้ยตั้งแต่วันเดบิวต์พระนางน่ะ จากเจ้าหญิงกะเร้อกะรังบ้านนอกคอกตื้น เติบใหญ่แต่งตัวสวย รวยปาร์ตี้ เปิดบูธดีเจสแคร็ตช์เพลง EDM ตื๊ดๆแทบทุกคืน เงินท้องพระคลังอย่าว่าตกถึงมือถึงท้องประชาชนเลย ชาวบ้านกลับโดนเก็บภาษีหนักหนาขึ้นไปอีก ที่เผ็ชที่สุดคือข่าวลือมากมายหลุดออกมาว่า
https://en.chateauversailles.fr/discover/history/key-dates/affair-diamond-necklace-1784-1785
ชาวบ้าน 1: เนี่ยๆ ไปได้ยินมาว่าพระราชินีนะ ไปซื้อเพชรหลายร้อยกะรัตเอามาใส่เล่น แถมทำสร้อยตุ้งติ้งมรกตกับทับทิมให้เหล่าบรรดาสุด๊อกทรงเลี้ยงอีกด้วย
https://lechefswife.com/baking-baguettes-for-beginners/
ชาวบ้าน 2: อะไรกัน พวกเราจนกรอบจนต้องกินเปลือกข้าวสาลีกันแล้วนะ ฉันทำงานสามวันถึงพึ่งได้ขนมปังกากๆมาก้อนเดียวเนี่ย
ชาวบ้าน 3: แล้วเธอรู้อะไรมั้ย ยัยราชินีเนี่ยเค้าว่ากันว่านะหล่อนกินแต่ของแพงๆ เหลือทิ้งๆขว้างๆ ดูรูปที่พึ่งติดอยู่ตรงลานประกาศข่าวสิ แหมทำเป็นแม่ที่แสนดี เลิกตีผมฟูเหมือนบังโคลนรถสปอร์ต ทำเป็นใส่เสื้อผ้าฝ้ายผ้าลินินแทนผ้าไหม ใส่หมวกฟาง ลูกนางแต่ละคนก็ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ หันมาดูลูกๆของเราซิจะกินแค่เมล็ดแตงโมยังไม่มีเลย
https://en.versailles-tourisme.com/the-petit-trianon.html
ชาวบ้าน 4: โอ๊ยโวยวายอะไรกัน ฉันมีเรื่องเด็ดกว่าพวกหล่อนเสียอีก ตอนนี้นะผัวฉันถูกเกณฑ์ไปสร้างปราสาทให้นางอีกอันอยู่ด้านหลังวังแวร์ซายย์น่ะ ชื่ออะไรนะ Le Petit Trianon น่ะ แหม๋ๆ ทำเหมือนพวกเศรษฐีชอบลง IG ว่าเบื่อแล้วชีวิตคนรวย ขออยู่แบบพอเพียงเลี้ยงเป็ดเลี้ยงปลา ปลูกดอกไม้บ้าบออะไรอีกเยอะแยะ ผัวฉันทำงานจนป่วยยังไม่ได้ค่าจ้างสักแดงเลย
https://history.state.gov/milestones/1776-1783/french-alliance#:~:text=Between%201778%20and%201782%20the,protected%20Washington's%20forces%20in%20Virginia.
ชาวบ้าน 5: ฉันน่าจะลำไยมากกว่าพวกหล่อน ทั้งลูกทั้งหลานโดนเกณฑ์ให้ไปเข้ากองทัพ ทำสงครามสร้างชาติร่วมกับไอ้ประเทศใหม่ที่ชื่ออเมริกา อเมริโกอะไรเนี่ย ถามจริงพวกเราได้อะไรกันบ้างมั้ย ฉันภาวนาทุกวันให้ลูกหลานได้เดินกลับมาบ้านนะอย่ามากับผ้าห่อศพ
จากนั้นชาวบ้าน 6,7,8 ไปจนถึงหลักร้อยก็เริ่มรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นๆ เรื่องราวก็ถูกเติมสีเติมไข่ — อาจจะไม่มีทั้งสีและไข่เพราะเขาลำบากกันมากจริงๆ ข่าวความเสื่อมเสียพวกนี้ขายดีจนลามออกไปทั่วแคว้นฝรั่งเศสจากชาวบ้านร้านตลาด ยิ่งกว่าการมัดรวมตัวพ่อตัวแม่แห่งวงการทอล์คโชว์ทัวร์ลงมารวมกันเป็นล้านเท่า (เห็นมะ ฮิปโปยังเว่อร์ได้ขนาดนี้ ชาติก่อนๆๆๆๆน่าจะเกิดเป็นแมลงสาบหลบอยู่ใต้พรมแวร์ซายย์และตลาดขายผัก)
ทีนี้เรามาถึงวลีเด็ดจากวิชาประวัติศาสตร์ 103 กับอ.ชาญวิทย์กันดีกว่านะ อ.ชาญวิทย์บอกประมาณว่า “นักเรียนครับ จำไว้นะครับ ประโยคสำคัญที่พระนางมารี อังตัวเน็ตต์กล่าวลอยๆออกไปขณะที่เสนาบดีเข้ามาทูลพระนางกับพระเจ้าหลุยส์เรื่องเหตุบ้านการเมืองคืออะไร”
https://www.livescience.com/let-the-eat-cake.html
แล้วอาจารย์ก็ให้พวกเราจับฉลากเล่นละครสะท้อนฉากนี้ออกมาเป็นงานกลุ่ม
เสนาบดี — รับโดยตี้ จากเด็กชายหน้ามนคนศรีสะเกษ ตอนนี้เป็นด๊อกเต้อร์สาวด้านเคมีอยู่สวีเดน : “พระองค์!! ตอนนี้ชาวบ้านลุกฮือตั้งขบวนประท้วงรอบแวร์ซายย์และกรุงปารีสเลย ราคาของกินของใช้ ขนมปังขึ้นราในตลาดยังแพงมากจนคนซื้อไม่ไหว เราจะทำยังไงกันดีพระเจ้าค่า” (แล้วนางก็หลบลงใต้โต๊ะ โบ๊ะแป้งเติมหน้า ปัดมาสคาร่า ทาลิปสติก ภายใน 2 วินาทีจึงเด้งขึ้นมาใหม่)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 — รับบทโดยบอล เพื่อนที่เงียบจริงทั้งในห้องและการแสดง : “อืม แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ” (บอล ซีนนี้เธอล่อไป 5 เทคนะรู้ตัวมั้ย)
พระนางมารี — จะใครซะอีก ฮิปโปสิจ๊ะตอแxลเบอร์นี้ รางวัลลูกโลกทองคำลอยมา : (จึ๊ปาก ทำท่าฝนเล็บ นั่งขาไขว่ห้าง ยกช็อกโกแล็ตร้อนทิพย์จากเกาะมาดากัสการ์ขึ้นมาจิบ บอกไปด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ เพราะวันนี้ยังไม่ได้เปิดแคตตาล็อกจากกุชชี่ เซลีนไว้ช้อปปิ้งเลย) “อ้าว ไม่มีขนมปังก็ให้เค้าไปกินเค้กสิ!”
โอ้วแม่จ้าวมะนาวดอง… สิ้นเสียงพากษ์และการแสดงของฮิปโปเท่านั้นแหละ กริบกันทั้งห้อง คือเพื่อนในห้องเรียนคงงงว่าแล้วมันแปลว่าอะไรวะ ฮิปโปเมายากันยุงมาป่ะเนี่ย แปลไทยเป็นไทยซิ
อ.ชาญวิทย์ผู้ชื่นชอบการเล่นละครเวทีเป็นพิเศษ ได้เวลาออนสเตจแล้ว ‘จารย์ ก็ได้สับเท้าขึ้นแคทวอล์คและไล่พวกเราเด็กหัวโปกกลับไปนั่งที่พร้อมอธิบายเจื้อยแจ้วว่า :
“ก็ประโยคนี้น่ะมันหมายถึงความที่พระนางไม่รู้ร้อนรู้หนาว คิดเองว่าอ้าว ถ้าขนมปังขึ้นรา ก็ไปกินขนมเค้กแทนสิ ในวังมีของกินตั้งเยอะแยะ มันสะท้อนว่าพระนางไม่เข้าใจอีกว่าการที่ประชาชนไม่มีขนมปังโสกังจะกิน ข้าวของแพงมหาศาลจนซื้อไม่ได้เนี่ย มันแปลว่าประเทศกำลังล่มจมแล้ว บลา บลา บลา”
1
จบคลาสไปแบบงงๆ และอ.ชาญวิทย์ผู้น่ารักก็ออกข้อสอบปลายภาคถามความหมายของวรรคทองนี้เสียด้วย… ใครสอบได้สอบตกตามที่ ‘จารย์ชาญวิทย์กล่าวไว้ก็ได้รู้ผลตอนเรียนจบเทอมนะ
https://www.euronews.com/2019/05/28/hundreds-party-like-marie-antoinette-at-versailles-costume-ball
กลับมาที่วังแวร์ซายย์และเมืองปารีส การประท้วงชุมนุมถึงขั้นสไตรค์ไม่ทำงานก็เริ่มเกิดขึ้น ทำงานก็ป่วยตาย ค่าจ้างไม่เคยได้ ลูกเมียก็จะกอดคอกันลาไปหาพระคริสต์เสียแล้ว สังคมคนเราไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการมีปัญหาเรื่องปากท้องและประชาชนก็ร้องขอแค่สวัสดิการพื้นฐานบ้านๆ เบๆอ่ะเนอะ
คือคิดนะว่าเออ องค์กษัตริย์จะช้อปปิ้ง เปิดปาร์ตี้สะละบะเห้อะไรก็ทำไปสิ ขอให้ประชาชนได้มีอยู่มีกินบ้างเค้าคงไม่ถึงขั้นร่วมมือร่วมใจกันพลิกโค่นราชวงศ์เบอร์นี้หรอก และแล้ววันที่ประวัติศาสตร์ทั่วยุโรปต้องจารึกจนตราบเท่าทุกวันนี้และคงอีกเป็นพันๆปีถ้าโลกไม่แตกตู๊มไปเสียก่อน (บอกเลยรีบซื้อหนังสือซีรีส์ทุกเล่มของฮิปโปไว้เป็นมรดกสืบทอด หรือจะโบกปูนฝังดินหลบนิวเคลียร์ไว้นะ กาวกว่านี้ไม่น่ามีละ วงเล็บปิดเลิกขายของแป๊บ)
วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 (เป็นเลขค.ศ. ที่จำได้ในไม่กี่ตัวตอนเรียนม.ปลาย) ทัพประชาชนและกำลังทหารบางส่วนก็ได้ลุกฮือก่อการปฏิวัติ จับคนในวังที่รับใช้องค์กษัตริย์องค์รานินีมาบั่นหัวเสียบประจานไปทั่วเมือง Omg นึกภาพพี่แร็กนาร์ขาโหดเข้ามาเป็นนักแสดงรับเชิญเลย มีการทำลายคุกหลวง Bastille (ถ้าไทยน่าจะคุกบางขวางป่ะ) ปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองออกมาร่วมกันต่อสู้เพื่อเสรีภาพ, ความเสมอภาค และภราดรภาพ ขอยกประโยคในหนังสือเรียนมานะ
A legacy of the Age of Enlightenment, the motto "Liberté, Egalité, Fraternité" first appeared during the French Revolution. Although it was often called into question, it finally established itself under the Third Republic. It was written into the 1958 Constitution and is nowadays part of the French national heritage.
เล่มนี้อ่ะ มีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย ไม่งั้นอ่านไม่ออกหรอก (ภาษาไหนก็อ่านไม่ออกเอาจริงๆ)
จากนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีก็ถูกจับเป็นนักโทษ ถูกคุมขังไว้ที่พระราชวัง Tuileries ตอนนี้ปราสาทไม่เหลือแล้ว กลายเป็นสวนสวยเชียวอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ลู๊ฟว์ในปารีสน่ะ (Jardin des Tuileries) เรื่องสวนตุยนี้แซ่บ มีตำนานผีชุดแดงที่ทำให้ผีทั่วมหาวิทยาลัยไทยควรไปศึกษางานก่อนกลับมาหลอกคน เดี๋ยวจะทำเรื่อง Spinoff มาให้อ่าน
https://frenchmoments.eu/palais-des-tuileries-paris/
แล้วการพิจารณาคดีก็เกิดขึ้นยืดเยื้อนานอีกสามสี่ปีแน่ะ ทั้งการหลบหนีโทษของสองพระองค์ราชาราชินี กะจะไปให้พี่ชายของพระนางมารีช่วยที่เขตชายแดนออสเตรียแผนก็ดันก็ล่ม โดนจับกลับมาอีก
ที่โหดร้ายสุดๆคือทางคณะปฏิวัติได้จัดการไต่สวนความผิดของพระนางมารีอย่างหนัก ถึงขั้นว่าให้องค์ชายน้อยของพระองค์วัยเพียงแปดชันษาชื่อเจ้าชาย หลุยส์ ชาร์ล ป้ายสีให้พระนางเสื่อมเสียถึงขั้นน่าจะตกนรกหมกไหม้หลายกัปหลายกัลป์ในการว่าความที่ศาลและจากการตัดสินของคณะลูกขุนเลยทีเดียว ไปหาอ่านกันนะ ลิ้งค์อยู่ใต้ภาพฮิปโปหดหู่เกิ๊น
https://www.historynaked.com/sad-life-louis-charles/
สรุป (สรุปเถอะฮิป รอมานานจนลูกจะบวช) วันที่ 21 มกราคม ปีค.ศ. 1793 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเครื่องมือชนิดใหม่ชื่อว่า Guillotine ตั้งชื่อตามคุณหมอท่านหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นคนคิดเครื่องนี้ด้วยซ้ำแต่ชื่อท่านดันฮิตติดแฮชแท็กเทรนด์ติ๊กต่อกและดาร์คเว็บสำหรับคนชอบเรื่องโหดๆ
เพราะท่านน่ะก็อยู่ในเหตุการณ์ประหารครั้งนี้ด้วย ท่านแค่ไม่สนับสนุนการประหารโดยการทรมานนักโทษแบบเดิมๆที่ทารุณมาก ไม่ว่าจะจับกดน้ำ, ผูกนักโทษกับขาม้า 4 ตัวแล้วดึง (กรี๊ด), แขวนคออย่างเหี้ยมโหด, จับเผาทั้งเป็น โอยยยย พอเถอะ
นั่นแหละคนก็เอาไปสับสนไงว่าเนี่ยหมอคนนี้เค้าอยากให้ใช้เครื่องประหารนี้นะก็พูดไป เอาคำพูดยัดใส่ปากหมอซะงั้น
https://www.theparisreview.org/blog/2018/04/06/the-bloody-family-history-of-the-guillotine/
แต่ก็นะ ถ้ามีใครเคยโดนกิโยตินสับฉึกแล้วกลับมาบอกได้บ้างว่าเจ็บมั้ย ทรมานน้อยลงรึป่าวก็ไม่ต้องบอกฮิปโป ไปบอกท่านผู้ไม่ซื้อหนังสือฮิปโปเถอะ (ปากกาพาซวย คนอ่านเกลียดหนักกว่าเดิม) ส่วนองค์ชายาพระราชินีมารี อังตัวเน็ตต์ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตแบบเดียวกับพระสวามี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ปีเดียวกันนั่นเอง เศร้าเนอะ
อ่ะๆ เปลี่ยนเรื่องเศร้ามาเป็นเรื่องป่วงๆที่เกิดจากการยำเรื่องราวในประวัติศาสตร์หลายเล่มหลายเรื่อง จนวลีที่อ.ชาญวิทย์ของเราได้นำมาออกข้อสอบปลายภาคตอนม. 4 นั่นเอง — เอาจริงๆไม่เคยโทษอาจารย์เลยนะ เพราะท่านก็เรียนมาแบบนั้น สมัยที่สื่อการสอน ห้องสมุดออนไลน์ทั่วโลกมันยังไม่มี
แล้วคิดดูสิว่าสมัยยุคกลาง ยุคมืด จนถึงยุคนี้ด้วยซ้ำ คนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลที่มีการพิสูจน์เปรียบเทียบข้อเท็จจริง มีหลักฐานหักล้างเค้าจะตามืดตามัว เชื่อเรื่องข่าวลือ พาให้เข้าใจผิดๆแล้วส่งต่อกันไปเป็นร้อยเป็นพันปีน่ะ
อ้าวแล้วคำพูดนี้มันมาไงแว้ จำได้มั้ยไอ้เรื่องเสื่อมเสียจากในวังน่ะมันกระจายข่าวง่ายไง แถมข้อความที่ว่ามันยังแปลผิดๆมาจากประโยคออริจินอลไปอี๊ก จดนะนักเรียน ประโยคเต็มๆคือ “Qu'ils mangent de la brioche” แปลว่า “ให้เค้ากินขนมปังบริยอชสิ” ต้นเรื่องมันมาจากมีมในหนังสือเรื่อง The Confessions of J.J. Rousseau ของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌ็อง ฌาร์ค รุซโซ (Jean-Jacques Rousseau)
https://en.wikipedia.org/wiki/Confessions_(Rousseau)
ซึ่งลุงฌ็องผู้นี้ได้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1765 สดับแล้วก็ 24 ปีก่อนเกิดการปฏิวัตินองเลือดนี้ สืบลงไปอีกตอนนั้นพระนางมารี อังตัวเน็ตต์อายุแค่ 9 ขวบ ตอนที่นางมีชื่อยาวๆที่เรายังอ่านไม่ออก นางพูดฝรั่งเศสก็ไม่ได้ แค่วิ่งเล่นอยู่ในวังเชินบรุนน์กับพระพี่เลี้ยงเสียด้วยซ้ำ
จากปากคนสู่ปลายปากกา คนชนะคือผู้เขียนประวัติศาสน์อ่ะเนอะ ฮิปโปจึงได้แรงบันดาลใจเอาเจ้าขนมปังบริยอชที่นุ่มนมชุ่มเนย น่าขยำเล่นเหมือนแก้มเด็กน้อยเนี่ย มาทำอาหารเช้าง่ายๆกัน (ถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้ติดบ้านอ่ะนะ)
Croque Madame : ไข่คุณนาย (ว้ายยยย)
https://www.nourishdeliciously.com/?p=29704
ส่วนประกอบและเครื่องปรุงสำหรับ 2 ท่าน (ถ้าทานเยอะก็ท่านเดียว)
• ขนมปังบริยอชแบบสไลซ์แล้ว 4 แผ่น (ไม่งั้นถ้ามันมาเหมือนท่อนอิฐบล็อกก็สไลซ์กันเองนะ หนาสักหนึ่งนิ้ว)
• แฮมอย่างดี 4 ชิ้น (ฮิปโปใช้ที่เป็น Black Forest Ham ถ้าใช้ของกากมันจะเค็มมาก ไม่อร่อย) ไม่งั้นใช้เบค่อนที่ทอดสุกกรอบแล้วแทนได้, แซลม่อนรมควันได้, อกไก่งวงสไลซ์ได้, ไก่ย่างวิเชียรฯเหลือ เอามาฉีกใส่ก็ได้ ตั้งชื่อเป็น Croque Vichein เริ่ดไปอีก ป้าข้างบ้านงงเลย
• อ้าวรวยมาก อยากทำคอนเท้นต์ จัดไปเพื่อน เอากุ้งล็อปสเตอร์ต้มแกะเอาแต่เนื้อ วางบนสเต๊กวากิว A5 ปรุงสุกแบบมีเดี้ยมแรร์ ไม่ต้องใส่เบลูก้าคาร์เวียร์จากอิหร่านนะ เสียของ คาวด้วย เสร็จแล้วเปลี่ยนชื่อ เป็น Croque + ชื่อเพื่อนเลยจ้ะ เอาให้โลกจำ
• ชีสสวิสจะแบบแผ่นหรือแบบขูดฝอยๆก็ได้ 1 ถ้วยตวง — ใช่อยากอร่อยอย่ากลัวอ้วน ถ้ากลัวก็เชิญทานน้ำพริก-ผักต้มโลด (ชอบใช้ Gruyère Cheese นะ แพงนิดนึงแต่อาหย่อย ตอนเป็นนักเรียนงบน้อยใช้มอสซาเรลล่าที่เหลือจากทำพิซซ่าแทนก็ได้อยู่แต่มันไม่สุดอ่ะค่ะพี่อ้อยพี่ฉอด)
• เนยแท้จากฝรั่งเศสหรือจะใช้ Irish Butter ก็ได้ เอาแบบ no salt นะ ค่อยมาใส่เกลือเอง — ถ้าไม่มีเนยแท้ใช้กะเทยแท้แทน ใช้ให้นางไปซื้อมานะไม่ใช่เอามือเพื่อนมานาบกะทะร้อน เดี๋ยวได้ทะเลาะกับกะเทยและกินกะทะแทน 🙄🙄
• แต่งรสด้วยเกลือหิมาลัย // พริกไทยหลากสี // สมุนไพรสูตรเมือง Provence อยู่แถวฝรั่งเศสตอนใต้ // มัสตาร์ตจากเมือง Dijon ของฝรั่งเศสเพิ่มความ Glamourous
วิธีทำ
1. นำกะทะเทฟล่อน 2 ใบ ที่ปราศจากสารเคมีตกค้างขึ้นตั้งเตา เปิดแก๊สด้วยอย่าซื่อมาก
2. กะทะใบแรก ใส่เนยลงไปนิดหน่อยพอได้ทอดไข่ดาว เติมเกลือ // พริกไทย // สมุนไพรแต่งกลิ่นแต่งรส ไม่ต้องกลับด้านไข่นะ ปิดเตาไว้ (ดาวฝรั่งนะ ไม่ใช่ดาวไทย!!! ใช้เนย 1 ช้อนชาต่อไข่ใบนึงก็พอ ไม่ต้องทอดในกะทะใบบัว ไม่ได้ทำกะเพราไก่ไข่ดาวเด้อ!!)
3. กะทะใบที่สองก็ตั้งพร้อมกันตอนเริ่มทอดไข่ดาวนั่นแหละพอกะทะร้อนนิดหน่อย ตักเนยสัญชาติยุโรปลงไปสัก 1 ช้อนโต๊ะ (อันนี้คอนเฟิร์ม รสชาติดีเข้มข้นกว่าเนยอเมริกันก้อนละ $2.99) วางขนมปังบริยอชชิ้นแรกลงไปจี่ ปาดมัสตาร์ตทับพอกรุบกริบ ระวังอย่าใช้ไฟแรงนางไหม้เร็วนะ จากนั้นวางแฮมที่เตรียมไว้ลงทับ แล้วเอาขนมปังบริยอชอีกชิ้นมาปิดด้านบน กลับด้านขนมปัง เติมเนยไปอีกช้อน (ถ้ามีกะทะแบนอันใหญ่พอใส่ขนมปังข้างกันได้สำหรับอีกที่ก็ทำพร้อมกันโลด)
4. พอเนยละลายขนมปังแก้มเด็กน้อยบริยอชของเราเหลืองทอง หอมกรอบกรุบกริบทั้งสองด้าน วางไข่ดาวมาดามของเราบนขนมปัง โปะชีสฉ่ำๆทับลงไป หรือจะโรยชีสก่อนค่อยวางไข่ดาวก็ได้ ทำเองกินเองอย่าไปกลัว
5. ถ้ามีเตาอบเตาติ๊ง ก็เอาเข้าเตาทั้งกะทะนั่นแหละ หากกะทะท่านทนไฟนะ ตั้งไฟ broil สัก 2-3 นาทีแล้วแต่ความชอบชีสยืดมากยืดน้อย ไข่จะให้สุกแค่ไหนก็ขั้นตอนนี้แหละ
6. ถ้าไม่มีเตาอบเตาติ๊ง ก็เอากะทะที่มีขนมปังอันประกอบร่างเรียบร้อย เปิดแก๊สไฟกลาง หยอดน้ำสะอาดไปสักช้อนชานึง ปิดฝาให้ไอน้ำทำให้ชีสละลาย และไข่มาดามก็จะสุกมากขึ้นนะ
7. เอ้า เสร็จละจัดจาน ทานคู่กับสลัดผักออร์แกนิกส์ เคียงด้วยมันฝรั่งทอด เครื่องดื่มซ่าๆ เย็นๆ อืมมม ความสุขที่คุณดื่มและรับประทานได้
Au revoir,
รักนะ, ฮิปเอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา