18 พ.ค. เวลา 05:21 • หนังสือ

Scarlet O'hara หญิงสาวในยุคเปลี่ยนผ่านแห่งวิมานลอย

ในโลกวรรณกรรม ที่เหล่าตัวละครหญิงสาวมักจะมีอยู่แต่ในกรอบเดิมๆ อ่อนหวาน เรียบร้อย และรอคอยความรัก จนกระทั่งวันที่ 30 มิถุนายน ปี 1936 มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ (Margaret Mitchell) ได้ส่ง Gone with the Wind (วิมานลอย) เข้ามาเขย่าภาพจำเหล่านั้นด้วยตัวละครอย่าง Scarlet O'hara (สการ์เล็ตต์ โอฮารา) ด้วยบุคลิกที่ซับซ้อน กล้าหาญ ทะเยอทะยาน และขัดกับบรรทัดฐานสังคมยุคนั้นอย่างรุนแรง เธอคือหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางความเปลี่ยนแปลงของอเมริกา จากยุคเกษตรกรรมของภาคใต้ สู่ยุคสงครามกลางเมืองและการล่มสลายของค่านิยมเดิม
คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ นิยายเปิดเรื่องในปี 1861 ก่อนสงครามกลางเมืองไม่นาน สการ์เล็ตต์เป็นลูกสาวของเจ้าของไร่ผู้มั่งคั่งในรัฐจอร์เจีย เธอเติบโตในสังคมที่ให้ความสำคัญกับมารยาท ความสงบเสงี่ยม และการแต่งงานเป็นเกียรติยศสูงสุดของผู้หญิง ในวัยเพียง 16 ปี เธอสวย ฉลาด และรู้จักใช้เสน่ห์ของตนอย่างแยบยล แต่เธอกลับปฏิเสธความเรียบร้อยแบบที่สังคมคาดหวัง
สการ์เล็ตต์ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้ดีชื่อ แอชลีย์ วิลกส์ (Ashley Wilkes) และได้สารภาพรักกับเขา แต่ว่าแอชลีย์ได้ปฏิเสธ เพราะเขาได้หมั้นหมายกับ เมลานี แฮมิลตัน (Melanie Hamilton) หญิงสาวผู้เป็นดั่งตัวแทนของ "สตรีในอุดมคติ" ของสังคมยุคนั้น สการ์เล็ตต์ตอบโต้ด้วยการแต่งงานกับ ชาร์ลส์ แฮมิลตัน (Charles Hamilton) น้องชายของเมลานี เพื่อประชด เธอไม่ได้รักชาร์ลส์เลย แต่แค่ต้องการ “เอาชนะ” เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมและการเติบโตของชีวิตเธอ
เพราะเบื้องหลังความหรูหราเหล่านั้นคือความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ ภาคใต้ต้องการคงไว้ซึ่งระบบทาสเพื่อรักษาเศรษฐกิจไร่ฝ้าย ขณะที่ภาคเหนือซึ่งมีระบบอุตสาหกรรมเริ่มคัดค้านการใช้แรงงานทาสทั้งในทางศีลธรรมและเศรษฐกิจ ซึ่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์นี้ ได้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1861 เมื่อรัฐทางใต้ประกาศแยกตัวออกจากสหภาพและตั้งสมาพันธรัฐ (Confederacy) เป็นของตนเอง
เมื่อสงครามกลางเมืองปะทุขึ้น วิถีชีวิตผู้ดีภาคใต้ก็พังทลาย ไร่ทาราถูกปล้นสะดม เมืองแอตแลนต้าถูกเผา และแม่ของเธอได้เสียชีวิตลงจากโรคภัย สการ์เล็ตต์ต้องเอาชีวิตรอดจากความหิวโหย ความตาย และการสูญเสีย เธอกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยเป็นหญิงสาวที่ไม่เคยต้องแตะงานหนัก
ในโลกที่ผู้หญิงไม่ควรทำงาน ไม่ควรแต่งงานซ้ำซ้อน และไม่ควรเป็นผู้นำ สการ์เล็ตต์กลับ “ทำทุกอย่าง” ที่สังคมบอกว่าไม่ควร เพื่อการอยู่รอดของเธอและคนรอบข้าง ผ่านไปไม่นาน ชาร์ลส์ก็ได้ตายจากการถูกยิงในสงคราม ทิ้งให้สการ์เล็ตต์เป็นแม่หม้ายที่ยังอายุน้อยและไม่เคยได้รู้จักความรักที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม การเป็นแม่หม้ายทำให้เธอได้รับอิสระในทางสังคมมากขึ้น เช่น การแต่งกายสีดำ ไม่ต้องแต่งตัวหวานอ่อน และการได้รับความเห็นใจจากผู้คน ซึ่งเธอก็ได้ใช้ประโยชน์จากสถานะนี้
หลังสงครามเริ่มคลี่คลายลง เธอพบว่าพ่อของเธอได้เริ่มเสียสติ ไร่ทาราของครอบครัวกำลังจะล่มสลายไป และความรักผิดชอบอันหนักอึ้งอีกอย่าง คือการจ่ายภาษี เธอจึงใช้กลอุบาย สร้างเรื่องโกหก จนได้แต่งงานกับ แฟรงค์ เคนเนดี (Frank Kennedy) คู่หมั้นของน้องสาวตัวเอง เพราะเขามีเงินมากพอที่จะช่วยรักษาไร่ไว้ได้
แน่นอนว่าการแต่งงานครั้งนี้ไร้ความรักโดยสิ้นเชิง ซ้ำยังสร้างความไม่พอใจแก่น้องสาวของสการ์เล็ตต์อีกด้วย แต่สการ์เล็ตต์ก็ไม่ได้ปิดบังว่าเธอแต่งงานเพราะ "ผลประโยชน์” เธอมีความคิดว่า ในยุคที่โลกเก่ากำลังจะล่มสลายเช่นนี้ หากมัวแต่รอความเชื่อเหลืออยู่ฝ่ายเดียวคงไม่พอ ผู้หญิงอย่างเธอจึงได้เริ่มลงมือควบคุมชีวิตตัวเองบ้าง แม้ต้องเหยียบย่ำศีลธรรมที่สังคมตั้งขึ้นมาก็ตาม
ในช่วงที่แต่งกับแฟรงค์ เธอได้เริ่มทำธุรกิจเอง เพราะค่าใช้จ่ายมีมากขึ้น เธอเปิดโรงเลื่อย ใช้แรงงานอดีตนักโทษ และขับรถม้าไปดูโรงงานด้วยตัวเอง นับเป็นสิ่งที่ “หญิงดี ๆ” ไม่พึงกระทำในสายตาสังคมยุคนั้น และแฟรงค์เองก็ไม่เห็นด้วย แม้แต่ตอนที่เธอท้อง ก็ไม่มีอะไรสามารถหยุดเธอได้
สการ์เล็ตต์มีลูกชายชื่อ เวด แฮมิลตัน (Wade Hamilton) จากการแต่งงานครั้งแรกกับชาร์ลส์ และมีลูกสาวอีกคนชื่อ เอลล่า ลอเรน (Ella Lorena) จากการแต่งงานครั้งที่สองกับแฟรงค์ เคนเนดี
แม้เธอจะเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งสองชีวิตนี้มา แต่ก็เหมือนจะไม่ได้มีความผูกพันกับลูกๆเท่าใดนัก เธอมักปล่อยให้พี่เลี้ยงดูแล และไม่ได้ให้ความรักหรือความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เธอให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดและธุรกิจของเธอมากกว่าสิ่งอื่นใด และอาจจะมองลูกๆของเธอว่าเป็น "ภาระ" มากกว่า "ของขวัญ" ด้วยซ้ำ
ความห่างเหินเช่นนี้ สะท้อนภาพของหญิงสาวในยุคเปลี่ยนผ่าน ผู้ซึ่งต้องรับภาระที่มากเกินไป ในโลกที่ยังไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น
จนในที่สุด แฟรงค์ได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงระหว่างคนขาวและคนดำ ซึ่งสะท้อนสภาพสังคมหลังสงครามที่ยังคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเหยียดเชื้อชาติ
ช่วงเวลาก่อนหน้าและระหว่างที่เรื่องเหล่านี้ได้เกิดขึ้น
สการ์เล็ตต์ได้รู้จักกับชายอีกหนึ่งคนชื่อว่า เร็ตต์ บัตเลอร์ (Rhett Butler) ชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ ฉลาดหลักแหลม กล้าหาญ และหัวแข็ง เขาแตกต่างจากชายอื่นในยุคนั้น เพราะไม่ยึดติดกับศีลธรรมจอมปลอมของสังคมภาคใต้ และมักพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา เร็ตต์เป็นชายผู้เข้าใจและเท่าเทียมกับสการ์เล็ตต์ในแง่ความเฉลียวฉลาด การมองโลกตามความจริง และความกล้าที่จะฝืนกรอบสังคม เขารักเธอมานาน แต่ก็รู้ว่าสการ์เล็ตต์ยังไม่ลืมแอชลีย์
หลังการเสียชีวิตของแฟรงค์ได้ผ่านไป การแต่งงานครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายของสการ์เล็ตต์ก็ได้เกิดขึ้นกับชายที่ชื่อว่า เร็ตต์ บัตเลอร์
การแต่งงานของทั้ง 2 คนนี้ ถือเป็นจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครที่ทั้งรักและขัดแย้งกันตลอดเรื่อง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่เคยเรียบง่าย เต็มไปด้วยแรงดึงดูด ความเย้ยหยัน ความภาคภูมิใจ และความไม่ยอมเปิดใจ
เร็ตต์รักสการ์เล็ตต์มานาน แต่เขารู้ดีว่าเธอหลงใหลแอชลีย์อยู่เสมอ เขาจึงไม่ยอมแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา และมักใช้ท่าทีประชดประชัน ปิดบังความเจ็บปวด ขณะที่สการ์เล็ตต์เองก็ไม่เคยยอมรับว่ารักเร็ตต์ แม้ในใจจะรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับเขาก็ตาม เร็ตต์มีทั้งทรัพย์สิน ความมั่นคง และความมั่นใจที่สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานของสการ์เล็ตต์ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความแตกต่างทางความคิดและอารมณ์ก็ได้เริ่มกัดกินความสัมพันธ์
ลูกสาวคนสุดท้องของสการ์เล็ตต์เกิดจากการแต่งงานกับ เร็ตต์ บัตเลอร์ มีชื่อเต็มว่า ยูจีนี วิคตอเรีย บัตเลอร์ (Eugenie Victoria Butler) แต่เร็ตต์เรียกเธอด้วยชื่อเล่นว่า Bonnie Blue จากชื่อธงของสมาพันธรัฐ บอนนี่เป็นเด็กน้อยที่สวย ฉลาด และกล้าหาญ เธอกลายเป็นดวงใจของทั้งเร็ตต์และสการ์เล็ตต์ โดยเฉพาะเร็ตต์ที่รักลูกสาวคนนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าทุกสิ่งในชีวิต
สการ์เล็ตต์เองแม้จะไม่แสดงความเป็นแม่อย่างชัดเจนกับลูกสองคนก่อนหน้า แต่กับบอนนี่ เธอเริ่มเปลี่ยนไป เธอหลงรักความน่ารักของลูกสาวคนนี้ และปัญหาในครอบครัวก็ได้เริ่มคลี่คลายเล็กน้อย ซึ่งมีบอนนี่เป็นจุดศูนย์กลาง
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียบอนนี่จากอุบัติเหตุขี่ม้า กลายเป็นจุดแตกหักสำคัญ เสมือนศูนย์กลางครอบครัวได้พังทลาย ทั้งสองได้มีปากเสียงกันอย่างหนัก สการ์เล็ตต์พูดต่อว่าเร็ตต์ จนทำให้เร็ตต์จมอยู่ในความเศร้า สการ์เล็ตต์ก็สะเทือนใจในเรื่องที่เกิดขึ้น สุดท้ายรอยร้าวของความสัมพันธ์ก็ขยายใหญ่จนปริแตกออก
ท้ายที่สุด เมื่อสการ์เล็ตต์เริ่มสำนึก และได้ตระหนักว่าเธอรักเร็ตต์จริง ๆ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เธอพยายามที่จะคุยกับเร็ตต์ ไม่ว่าเธอจะพยายามพูดอย่างไรก็ตาม เร็ตต์ก็เลือกที่จะจากไป
Frankly, my dear, I don't give a damn.
พูดตามตรงนะ ที่รัก... ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว
Rhett Butler
การแต่งงานของทั้งสองจึงสะท้อนให้เห็นว่า ความรักเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากขาดการสื่อสาร ความเข้าใจ และการเปิดใจอย่างแท้จริง เป็นโศกนาฏกรรมทางอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความจริงของชีวิต มากกว่านิยายโรแมนติกทั่วไป
นอกจากเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสการ์เล็ตต์กับเร็ตต์แล้ว ในเชิงวรรณกรรม สการ์เล็ตต์ โอฮารา ยังเปรียบเสมือนภาพแทนของ “ผู้หญิงยุคใหม่” ที่กำลังลุกขึ้นจากซากปรักหักพังของค่านิยมเก่า เธอไม่ใช่แบบอย่างของความดีงามตามอุดมคติ แต่คือแบบจำลองของหญิงสาวที่ “เลือกจะเป็น” แทนที่จะ “ยอมรับสิ่งที่ถูกกำหนด”
ภายใต้ฉากหลังของสงครามกลางเมืองอเมริกา Gone with the Wind มิได้เล่าเพียงเรื่องการล่มสลายของโลกภาคใต้ แต่ยังเป็นการเล่าเรื่องหญิงสาวผู้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
ภาพ : Clark Gable, Vivien Leigh 1939
นี่เหมือนจะเป็นบทความที่ยาวและเนื้อหาเยอะที่สุดในตอนนี้ หากมีตรงไหนผิดพลาด สามารถบอกผู้เขียนได้ในช่องความคิดเห็นนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา