Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ
•
ติดตาม
19 พ.ค. เวลา 08:04 • หนังสือ
Don Quixote de la Mancha นักล่าฝันแห่งโลกความเป็นจริง
ในโลกที่หมุนไปด้วยความเร่งรีบ มีตรรกะ มีเหตุผล มีตัวเลขและความสำเร็จเป็นเครื่องวัดคุณค่า ชื่อของ Don Quixote de la Mancha กลับยังคงยืนหยัดอยู่ในใจผู้อ่านนับศตวรรษในฐานะสัญลักษณ์ของผู้ “กล้าฝัน” ท่ามกลางโลกแห่งความเป็นจริงที่เย้ยหยันทุกความเพ้อฝัน แม้จะถูกเขียนขึ้นเมื่อกว่า 400 ปีก่อนโดย มิเกล เด เซร์บันเตส (Miguel de Cervantes) แต่เรื่องราวของชายชราผู้สวมชุดเกราะสนิมเขรอะและขี่ม้าผอมแห้งออกผจญภัยในนาม “อัศวินแห่งความยุติธรรม” กลับยังคงสะท้อนหัวใจของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยได้อย่างน่าอัศจรรย์
คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ ดอน กิโฆเต้ (Don Quixote) ไม่ใช่ผู้ที่มีพลังพิเศษใดๆ ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าที่มีชื่อเสียง เขาเป็นเพียงชายสูงอายุธรรมดาที่หมกมุ่นกับนิยายเกี่ยวกับอัศวินยุคกลาง จนถึงขั้น “หลุด” ออกจากความจริง วันนึงเขาได้ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของอัศวิน เป้าหมายคือการต่อสู้เพื่อความดี ต่อต้านความชั่ว ปกป้องคนอ่อนแอ และถวายเกียรติให้หญิงสาวผู้ชื่อว่า “ดูลซีเนีย” (Dulcinea) ที่อาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริง หรืออาจเป็นเพียงหญิงชาวนาที่เขาพบเห็น และหลงใหลจนยกให้เป็นเทพธิดาก็เป็นได้
เขาสวมเกราะที่เขาเองประดิษฐ์ขึ้นจากเศษเหล็ก ขี่ม้าผอมที่ชื่อ โรซินันเต (Rocinante) และมีเพื่อนร่วมทางคือชาวนาชื่อ “ซานโช ปันซา” (Sancho Panza) ผู้แม้จะสงสัยในเหตุผลของเจ้านาย แต่ก็ร่วมเดินทางด้วยความซื่อสัตย์ และศรัทธาในหัวใจที่แน่วแน่ของเขา
การเดินทางของ ดอน กิโฆเต้ ไม่ได้เป็นเพียงการท่องโลกเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเหมือนในนิยายอัศวินที่เขาเคยอ่าน แต่เป็นการ “ต่อสู้” ของชายคนหนึ่งที่ยืนหยัดในความเชื่อของตนเอง ท่ามกลางโลกที่มองเขาเป็นเพียงคนบ้า การผจญภัยในเรื่องนี้จึงมีทั้งสีสันของความตลกขบขัน ความเศร้าสะเทือนใจ และความงดงามทางจิตวิญญาณที่ท้าทายขอบเขตระหว่าง “ความจริง” และ “จินตนาการ”
ภาพเหตุการณ์อันโด่งดัง ที่ ดอน กิโฆเต้ เผชิญหน้ากับกังหันลม ซึ่งเขาเข้าใจว่าเป็นยักษ์ร้าย คือฉากที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “การต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง” และมักถูกนำมาใช้ล้อเลียนผู้ที่ไล่ตามฝันที่ดูเป็นไปไม่ได้ ทว่า เมื่อมองลึกลงไป ความบ้าบิ่นของดอน กิโฆเต้ในฉากนี้อาจไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ หากแต่เป็นการตั้งคำถามถึงโลกที่ ไม่อนุญาตให้มนุษย์ฝันอีกต่อไปต่างหาก
โลกที่เขาอาศัยอยู่ และโลกที่เราทุกคนอยู่ในทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ความเฉยชา คนดีอาจไม่ชนะ คนที่มีอุดมคติมักถูกมองว่าเป็น “คนโลกสวย” หรือ “คนไม่รู้จักโต” ดอน กิโฆเต้รู้ดีว่าโลกนี้ไม่ใช่นิยายอัศวินอีกต่อไป แต่เขาเลือกที่จะดำรงอยู่ในจินตนาการนั้น เพราะโลกแห่งความฝันคือที่เดียวที่เขายังมีสิทธิ์จะเชื่อในความดีงาม แน่นอนว่า การมีความฝัน และจะทำมันให้เป็นจริงให้ได้เป็นเรื่องที่ดี แต่มันเข้ากับโลกความจริงหรือเปล่า ต่อมา
ดอน กิโฆเต้พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกนายจ้างเฆี่ยนตี จึงเข้าห้ามและสั่งให้ปล่อยตัว พร้อมขู่ว่าจะกลับมาตรวจสอบ เด็กหนุ่มถูกปล่อยตัวต่อหน้าต่อตาเขา แต่หลังจากดอน กิโฆเต้จากไป เด็กหนุ่มคนนั้นก็ถูกตีหนักกว่าเดิม หลังจากนั้นได้เดินทางจนไปเจอกับโรงเตี๊ยม แต่เขาเข้าใจไปว่ามันคือปราสาท และหญิงสาวสามัญชนคือสาวงามสูงศักดิ์ เขาพยายามจะ “พิทักษ์” เธออย่างอัศวิน แต่กลับสร้างความเข้าใจผิด ความวุ่นวาย และความเสียหายแก่ผู้อื่น
ดอน กิโฆเต้เชิดชูหญิงสาวชื่อ “ดูลซีเนีย แห่งโตโบโซ” ผู้ซึ่งเขาไม่เคยพูดคุยด้วยจริงจังเลย เขาแต่งตั้งเธอเป็น “เทพธิดา” ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการผจญภัย และมอบภารกิจต่างๆ เพื่อพิสูจน์ความภักดีในนามของเธอ แท้จริงแล้ว ดูลซีเนียอาจไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ ในความหมายของนิยาย แต่คืออุดมคติ คือ “ภาพฝัน” ของความรัก ความงดงาม ความบริสุทธิ์ และความหมายของการมีชีวิตอยู่ สำหรับดอน กิโฆเต้แล้ว ความรักไม่ใช่เรื่องของการครอบครอง แต่เป็นแรงผลักดันอันบริสุทธิ์ที่ทำให้เขากล้าต่อสู้เพื่อความดีก็เป็นได้
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนโลกความจริงกันโหดร้ายคือตอนที่ ดอน กิโฆเต้และซานโชถูกเชิญไปยัง “ปราสาท” ของขุนนางซึ่งต้องการแกล้งพวกเขา ทั้งสองถูกป้อนอาหารอย่างเย้ยหยัน ถูกตั้งภารกิจปลอม ถูกแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการเกาะที่ไม่มีอยู่จริง ความจริงใจของดอน กิโฆเต้ ก็ได้ตกเป็นเหยื่อของผู้ที่มองมันเป็นเรื่องตลก โลกแห่งเหตุผลสามารถ “ผลิตความฝันปลอม” เพื่อล้อเลียนผู้ที่ศรัทธาในของแท้ นี่เป็นหนึ่งในตอนที่ทั้งขบขันและเศร้าสะเทือนใจที่สุดของเรื่อง
ความฝันที่ยิ่งใหญ่มักมาพร้อมความเจ็บปวด การถูกปฏิเสธ การถูกมองว่าหลงผิด หรือแม้กระทั่งการสูญเสียความสัมพันธ์และศรัทธาจากผู้อื่น ดอน กิโฆเต้ผ่านสิ่งเหล่านี้ทุกอย่าง แต่เขายังไม่ยอมเลิกฝัน
หากดอน กิโฆเต้ เป็นน่าล่าฝัน ซานโช ปันซาก็คือผู้ที่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง เขาเป็นเพียงคนธรรมดาผู้เต็มไปด้วยสามัญสำนึก ถึงแม้เขาจะมองโลกตามความเป็นจริง แต่ก็เปิดใจรับฟังผู้เป็นเจ้านายของเขาอย่างดอน กิโฆเต้ และยอมร่วมเดินทางไปพร้อมกับเขา เป็นพยานของความฝัน เป็นคนที่แม้จะรู้ว่าดอน กิโฆเต้อาจบ้า แต่ก็ยังมองเห็น “อะไรบางอย่าง” ในความบ้านั้นที่คนอื่นมองไม่เห็น
ซึ่งสองคนนี้ เราอาจมองว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ความฝันกับความเป็นจริงสามารถอยู่ด้วยกันได้ แม้ผู้ฝันอาจไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้เพียงลำพัง แต่พวกเขา สามารถปลุกชีวิต ให้กับผู้คนรอบข้างได้
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ดอน กิโฆเต้ได้ล้มป่วย และในวาระสุดท้าย เขาได้ “ตื่นจากฝัน” และปฏิเสธอดีตของตนเอง พร้อมสารภาพว่าเขาเคยเพ้อฝันและขอให้คนรอบตัวให้อภัยแก่ตัวเขา ก่อนจะเสียชีวิต
คำถามของที่ผู้อ่าน Don Quixote de la Mancha ต้องเผชิญ ก็คือ "เขาบ้าหรือเปล่า" ด้วยความเพ้อฝันของเขา ความหลุดออกจากโลกความเป็นจริง ก็อาจจะไม่แปลกที่คนส่วนมากมองว่าเขาบ้า ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่แปลกขนาดนั้นก็ได้
ศิลปินที่สร้างผลงานเหนือยุคสมัย มักถูกเย้ยหยันก่อนจะได้รับการยกย่องในภายหลัง ผู้ประกอบการที่ยอมลาออกจากงานมั่นคงเพื่อวิสัยทัศน์บางอย่าง ก็ถูกมองว่า “ประมาท” หรือจริงๆแล้ว ตัวละครอย่างดอน กิโฆเต้ เป็นตัวแทนของ "คนที่เลือกศรัทธาในสิ่งที่ยังไม่มีใครกล้าเชื่อ"
โลกความจริงที่เต็มไปด้วยเหตุผลเช่นนี้ แท้จริงอาจจะไร้หัวใจ เรามักลดคุณค่าของความฝัน ความไร้เดียงสา และอุดมคติลง เพราะมันดู “ไม่จริง” หรือ “ไม่มีประโยชน์” ซึ่งคล้ายกับโลกของดอน กิโฆเต้ ที่ทุกคนพยายามจะพาเขากลับมาสู่ “โลกจริง” ด้วยการเยาะเย้ย ตำหนิ หรือแม้แต่ล้อเลียน
แล้วโลกที่ปราศจากความฝัน มันน่าอยู่จริงๆหรือ ถ้าไม่มีใครกล้าคิดต่าง กล้าฝัน หรือกล้าทำในสิ่งที่ผิดแผกออกไป โลกนี้จะยังเคลื่อนไปข้างหน้าได้หรือไม่ การมองว่า ดอน กิโฆเต้ เป็น “คนบ้า” อาจเป็นทางออกที่ง่ายกว่าการเดินตามความฝัน และเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ชวนหนักใจ
ดอน กิโฆเต้รู้ดีว่าเขาไม่ใช่อัศวินจริง รอสซินันเต้ไม่ใช่ม้าศึก ดูลซีเนียอาจไม่ได้เป็นหญิงสูงศักดิ์ แต่เขายังเลือกที่จะเชื่อ เพราะการเชื่อในสิ่งที่สูงส่งนั้น ทำให้เขายืนหยัดได้แม้โลกทั้งใบจะมองว่าเขาหลุดโลก นั่นอาจคือแก่นแท้ของ “ความหวัง” การลุกขึ้นแม้ไม่มีใครหนุนหลัง การมองเห็นสิ่งดีแม้โลกจะเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม การเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงยังเป็นไปได้ แม้ทุกคนจะบอกว่า “ไม่มีทาง”
บางทีการมีอยู่ของคนแบบดอน กิโฆเต้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้โลกเราพัฒนาเป็นโลกในแบบที่เป็นอยู่ก็ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนจะทำสำเร็จก็ตาม บางคนอาจพ่ายแพ้ในทางโลก แต่เขาอย่างน้อย พวกเขาเหล่านั้นก็ชนะในทางจิตวิญญาณ
คนทั่วไปมองเห็นสิ่งที่เป็นแล้วยอมรับมัน ส่วนดอน กิโฆเต้มองเห็นในสิ่งที่ควรจะเป็น แล้วออกเดินทางเพื่อสิ่งนั้น แล้วคุณเลือกที่จะเป็นแบบไหน?
ภาพ : Gustave Dore
ประวัติศาสตร์
หนังสือ
ความรู้รอบตัว
บันทึก
3
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Reader's Musing บันทึกของนักอ่าน
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย