10 มิ.ย. เวลา 12:30 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🧠 โลกในหัวของคุณ ตอนที่ 1: วิทยาศาสตร์ไขปริศนากำเนิด ‘จินตนาการ’ พลังที่ทำให้มนุษย์ครองโลก

จินตนาการ... พลังที่ทำให้เราหลุดออกจากกรอบของ 'ขณะจิต' พาเราดิ่งลึกลงไปในอดีต พุ่งทะยานไปสู่อนาคต หรือแม้แต่ท่องไปในดินแดนที่ไม่มีอยู่จริง นักคิดบางคนถึงกับยกให้มันเป็นความสามารถพิเศษที่สุดของมนุษย์ เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และในขณะเดียวกัน ก็นำไปสู่ความล้มเหลวอันน่าเจ็บปวดได้เช่นกัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เราจึงเริ่มเข้าใจธรรมชาติของจินตนาการมากขึ้น ตั้งแต่เครือข่ายเส้นใยประสาทที่รังสรรค์มันขึ้นมา ไปจนถึงความแตกต่างในประสบการณ์ของแต่ละคน จากแนวคิดที่ลึกลับจับต้องไม่ได้ วันนี้ข้อมูลเชิงลึกจากประสาทวิทยาและจิตวิทยาได้เปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นกระบวนการที่สามารถสังเกตได้ และมีตัวตนในระบบประสาทอย่างชัดเจน
ตลอดซีรีส์ 3 ตอนนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจว่าสมองสร้างจินตนาการขึ้นมาได้อย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปตามวัยแบบไหน และโลกในหัวของคุณนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีควบคุมพลังนี้เพื่อฝึกฝนทักษะใหม่และบรรลุเป้าหมายในชีวิต เพราะบางที 'จินตนาการ' ที่ถูกใช้อย่างถูกวิธี อาจเป็นสิ่งเดียวที่คุณต้องการ เพื่อชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดีขึ้น
💡 จินตนาการมาจากไหน? (WHERE DOES IMAGINATION COME FROM?)
หากคุณคิดว่าในสมองจะมี “สมองส่วนจินตนาการ” แยกไว้โดยเฉพาะ คุณอาจต้องคิดใหม่ครับ เพราะจากการสแกนสมอง เราไม่เคยพบส่วนดังกล่าวเลย แต่จินตนาการคือผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันจากทุกส่วนของสมองและทั่วทั้งร่างกาย
แม้เราจะรู้ว่าจินตนาการมีหลากหลายรูปแบบและแต่ละคนก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดนักประสาทวิทยาก็เริ่มมีความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นว่าองค์ประกอบต่างๆ ของมันทำงานอย่างไรในสมอง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสแกนสมองอย่าง fMRI (functional magnetic resonance imaging) ได้เผยให้เห็นว่าสมองของเราจัดระเบียบตัวเองเป็นเครือข่าย (Networks) ที่สำคัญหลายเครือข่าย
ซึ่งจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันภายในและระหว่างเครือข่าย ทำให้สมองสามารถสลับ "โหมด" การทำงานให้เหมาะสมกับภารกิจต่างๆ รวมถึงการจินตนาการด้วย โดยมีทีมงานหลักอยู่ 3 เครือข่ายด้วยกัน
1. Default Mode Network (DMN) - “นักฝันกลางวัน”
เครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับจินตนาการมากที่สุดนี้ ถูกค้นพบโดยบังเอิญในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อนักประสาทวิทยาสังเกตเห็นรูปแบบการทำงานของสมองที่แสดงเด่นขึ้นมาในขณะที่ผู้เข้าร่วมทดลองถูกปล่อยให้นอนรอเฉยๆ ในเครื่อง fMRI ระหว่างการทดลองแต่ละช่วง (between tasks) พวกเขาพบว่าสมองส่วนที่เกี่ยวกับความทรงจำ อารมณ์ และการทบทวนตัวเองกลับทำงานอย่างคึกคักเมื่อเราไม่ได้จดจ่อกับงานใดงานหนึ่งเป็นพิเศษ
นี่คือสภาวะที่จิตใจของเรามุ่งเข้าสู่ภายใน หรือที่เราเรียกว่าการปล่อยใจให้ล่องลอย การคิดถึงอดีต การฝันถึงอนาคต หรือการฝันกลางวันนั่นเอง
2. Salience Network - “ผู้จัดการโครงการ”
อย่างไรก็ตาม การครุ่นคิดของ DMN จะไม่สามารถขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกได้เลยหากขาดเครือข่ายนี้ครับ Salience Network ทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการโครงการที่เชื่อมโยงสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์, ความสนใจ และแรงจูงใจเข้าไว้ด้วยกัน มันคอยกลั่นกรองสิ่งเร้าภายนอกและเสียงรบกวนภายใน เพื่อตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่ "สำคัญ" ในแง่ของจินตนาการ มันจะคอยคัดกรองและชี้ให้เห็นไอเดียหรือความทรงจำที่สำคัญ น่าประหลาดใจ หรือเร่งด่วนเกินกว่าจะเพิกเฉยได้
เครือข่ายนี้ยังเป็นจุดที่ร่างกายเข้ามามีอิทธิพลต่อจินตนาการของเราด้วย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองส่วน อินซูลา (insula) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ประมวลผลความรู้สึกทางกายที่เชื่อมโยงกับสภาวะอารมณ์ เมื่อความรู้สึกเหล่านี้ถูกกระตุ้นโดยจินตนาการหรือความทรงจำ (เช่น นึกถึงเรื่องน่ากลัวแล้วหัวใจเต้นแรง) มันจะทำให้จินตนาการของเรารู้สึกสมจริงและจับใจยิ่งขึ้น
3. Central Executive Network - “ซีอีโอผู้ลงมือทำ”
Evangelia Chrysikou นักวิจัยด้านความคิดสร้างสรรค์จากมหาวิทยาลัยเดรกเซล (Drexel University) รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “จินตนาการไม่เท่ากับความคิดสร้างสรรค์” เพราะการจะสร้างสรรค์ในความหมายทางประสาทวิทยา คือการสร้างไอเดียใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายในโลกจริง
ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ สมองต้องเรียกใช้เครือข่ายที่สาม นั่นคือ Central Executive Network มันจะเชื่อมโยงสมองส่วนหน้าเข้ากับสมองส่วนหลังที่เรียกว่า พาริเอทัลคอร์เท็กซ์ (parietal cortex) เพื่อช่วยควบคุมและรักษาความสนใจ ทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายในใจและ พิจารณาหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ
งานวิจัยของ Chrysikou และคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าคนที่ได้คะแนนความคิดสร้างสรรค์สูง มักจะมีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายทั้งสามนี้ที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป ซึ่งอาจทำให้พวกเขาสามารถสลับโหมดระหว่างการสร้างไอเดีย, การสังเกตเห็น และการประเมินผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วเราจะกระตุ้นให้ระบบเหล่านี้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้นได้อย่างไร? คำตอบง่ายๆ คือการหาเวลาให้จิตใจได้ "เหม่อลอย" หรือแม้แต่การลุกขึ้นไป "เดินเล่น" ก็ช่วยได้ งานวิจัยโดยนักวิจัยที่ Stanford University ในแคลิฟอร์เนีย พบว่าการเดินระยะสั้นๆ เพิ่มการสร้างไอเดียสร้างสรรค์ได้ถึง 60% ทั้งในขณะนั้นและช่วงเวลาสั้นๆ
หลังจากนั้น และเมื่อคุณเริ่มเคลื่อนไหวและจินตนาการแล้ว ลองมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่คุณให้ความสำคัญ เพราะยิ่งคุณ "แคร์" กับการหาทางออกมากเท่าไหร่ Salience Network ก็จะยิ่งช่วยให้คุณสังเกตเห็นแรงบันดาลใจที่ผุดขึ้นมาได้ง่ายขึ้น และจะค้นพบแรงจูงใจที่จะลงมือทำมัน
🗿 วิวัฒนาการของดวงตาในใจเรา (THE EVOLUTION OF OUR MIND’S EYE)
"ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความสามารถของมนุษย์ในการคิดไปไกลกว่าสิ่งที่เป็นรูปธรรม หรือสิ่งที่สัมผัสได้ในทันที" Agustín Fuentes นักมานุษยวิทยากายภาพจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา และผู้เขียนหนังสือ The Creative Spark: How imagination made humans exceptional กล่าว "แล้วมันมาจากไหน? แน่นอนว่า มันวิวัฒนาการขึ้นมา"
สัตว์ชนิดอื่นก็มีจินตนาการในระดับหนึ่ง หลายชนิดสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ เช่น แมงมุมพอร์เทีย (Portia jumping spiders) สามารถวางแผนการโจมตีเหยื่อที่ซับซ้อนได้ จินตนาการของเราก็คือเวอร์ชันที่ถูกพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้นจากพื้นฐานเดียวกันนี้
เราเห็นร่องรอยได้จากฟอสซิลของบรรพบุรุษโฮมินิน (hominin) โดยเฉพาะในเครื่องมือหินที่พวกเขาสร้างขึ้น Fuentes ชี้ว่า 'การเปลี่ยนก้อนหินธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ ต้องอาศัยการจินตนาการในแบบที่เราไม่เห็นหลักฐานในสิ่งมีชีวิตอื่น"
เครื่องมือหินที่เก่าแก่ที่สุดที่เรารู้จักมีอายุ 3.3 ล้านปี มาจาก โลเมกวี (Lomekwi) ในประเทศเคนยา ซึ่งนั่นคือช่วงเวลาก่อนที่สปีชีส์ของเรา หรือแม้แต่ สกุล โฮโม (Homo) ของเราจะวิวัฒนาการขึ้นมาเสียอีก ต่อมาบรรพบุรุษโฮมินินก็เริ่มสร้าง "ความหมาย" เช่น การใช้ดินสีแดง (red ochre) ทาตัวและผนังถ้ำ หรือการแกะสลักสัญลักษณ์ต่างๆ
แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนา “ภาษา” Fuentes กล่าวว่ามันคือ “การเปลี่ยนแปลงเฟส” (phase shift) ที่ปลดปล่อยพลังจินตนาการของเราอย่างมหาศาล "วิธีการที่เราต้องใช้ในการถ่ายทอด จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น ได้เปิดประตูไปสู่สิ่งอื่นๆ อีกมากมาย" เขากล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำให้เราสามารถ "ส่งต่อ" ความคิดของเราให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของเราอย่างชิมแปนซีก็ยังทำได้ยาก
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นประเด็นที่กว้างขึ้นว่า “โดยเนื้อแท้แล้ว จินตนาการคือกระบวนการทางสังคม” Fuentes ย้ำ “เรามักจะพูดถึงจินตนาการของคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงศิลปินหรืออัจฉริยะ... จินตนาการของเราไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยลำพัง แต่เป็นการหลอมรวมประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเรา และประสบการณ์ของคนอื่นๆ อีกมากมาย”
🏠 แล้วเรื่องนี้สำคัญกับประเทศไทยอย่างไร?
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และต้องการนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศ การเข้าใจ "ราก" และ "กลไก" ของจินตนาการ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปครับ หลักจิตวิทยาเบื้องหลังการทำงานของสมองบอกเราว่า ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากการเคี่ยวเข็ญ แต่เกิดจากการมีพื้นที่ว่างให้ "เหม่อ"
การสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่และคนทำงานมีเวลาพักเบรกเพื่อปล่อยให้สมองเครือข่าย DMN ได้ทำงานอย่างอิสระ หรือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างให้ทดลองและล้มเหลวได้ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพด้านนวัตกรรมและศิลปะของประเทศได้อย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อน
ใครอ่านรวดเดียวไม่จบ ไม่เป็นไรเลย! 📌 กดเซฟไว้ก่อนได้ แล้วถ้าอยากชวนเพื่อนมาไขปริศนานี้ด้วยกัน ก็แชร์ต่อได้เลยครับ! 😉
🎯 สรุปง่ายๆ
✅ จินตนาการไม่ใช่เวทมนตร์: แต่เป็นผลลัพธ์จากการทำงานประสานกันของเครือข่ายสมอง 3 ส่วน คือ DMN (นักฝัน), Salience Network (ผู้จัดการ) และ Executive Network (ซีอีโอ)
✅ เป็นความสามารถที่ทำให้เราเป็นมนุษย์: หลักฐานย้อนไปถึงเครื่องมือหิน 3.3 ล้านปีในเคนยา และมี "ภาษา" เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุด ทำให้เราส่งต่อความคิดและสร้างวัฒนธรรมได้
✅ จินตนาการคือพลังของสังคม: มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลำพังในหัวใครคนหนึ่ง แต่เป็นการหลอมรวมประสบการณ์ของเราและเรื่องเล่าของคนอื่น ๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่
💖 มาช่วยกันขับเคลื่อน "Witly" กันครับ!
หากเรื่องราวของวันนี้มีประโยชน์ แล้วทำให้คุณอยากรู้เรื่องอื่นๆ อีก ผมก็ดีใจมากเลยครับถ้าคุณจะช่วยสนับสนุน "ค่ากาแฟ" เล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ผมมีกำลังใจค้นคว้าแล้วก็เอาเรื่องราววิทยาศาสตร์น่ารู้แบบนี้มาเล่าให้ฟังกันอีกเรื่อยๆ และยังได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนได้รู้เรื่องสนุกๆ มากขึ้นด้วยครับ
💬 หลังจากได้รู้ที่มาที่ไปอันยิ่งใหญ่ของมันแล้ว คุณมองจินตนาการของตัวเองเปลี่ยนไปไหมครับ? แล้วถ้าให้ลองนึกย้อนกลับไป อะไรคือ "เครื่องมือหิน" ชิ้นแรกที่คุณเคยสร้างจากจินตนาการในวัยเด็ก? ลองแชร์กันในคอมเมนต์ได้เลยครับ
💬 ตอนต่อไปในวันพฤหัสบดี... เราจะมาเจาะลึกกันว่า จินตนาการของเราเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัยอย่างไร และโลกในหัวของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน คุณอาจจะค้นพบว่าตัวเองมีจินตนาการในรูปแบบที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน!
🔎 อ้างอิง
1. New Scientist. (2025). THE WORLD INSIDE YOUR HEAD. (3545), 30-31.
2. Williams, C. (2025). WHERE DOES IMAGINATION COME FROM? New Scientist, (3545), 32.
3. Marshall, M. (2025). THE EVOLUTION OF OUR MINE'S EYE. New Scientist, (3545), 33.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา