12 มิ.ย. เวลา 09:42 • หนังสือ

บทกวีอิสระ ลมหายใจที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยการคล้องจอง

เมื่อพูดถึง "บทกวี" ภาพจำของหลายคน และตัวผู้เขียนเองในช่วงแรกเช่นกัน มักจะเป็นถ้อยคำที่คล้องจองกัน มีสัมผัสระหว่างวรรค สร้างจังหวะไพเราะในหู หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “คำคล้องจอง” หรือ “คำสัมผัส” แต่แท้จริงแล้ว “บทกวี” ไม่จำเป็นต้องพ้องเสียงเลยแม้แต่น้อย บทกวีไม่จำเป็นต้องมีฉันทลักษณ์ ไม่ต้องมีสัมผัสระหว่างวรรค ไม่ต้องคล้องจอง และยังคงสามารถสื่อความรู้สึก ลึกซึ้ง งดงาม และสั่นสะเทือนใจได้อย่างทรงพลัง
คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้ครับ บทกวีไม่ใช่แค่ “คำที่ไพเราะ” หรือ “กลอนที่คล้องจอง” แต่มันคือ ศิลปะของภาษาที่จับความรู้สึก ความคิด หรือภาพในใจ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีพลังเฉพาะตัว อาจใช้ภาพพจน์ ซ้ำคำ เว้นวรรค หรือแม้แต่ “ความเงียบ” ระหว่างถ้อยคำ เพื่อสื่อสารสิ่งที่ยากจะพูดตรง ๆ
จุดกำเนิดของบทกวีอาจสามารถย้อนไปได้ไกลถึงยุคก่อนการเขียน เมื่อมนุษย์เริ่มขับร้องเสียงเพื่อบอกเล่าเรื่องราว ความเชื่อ หรือความรู้สึก ผ่านท่วงทำนองและจังหวะเสียง นั่นคือบทกวีในรูปแบบแรก เพลงสวด เพลงพิธีกรรม และตำนานที่สืบทอดกันด้วยปากเปล่า การใช้เสียงซ้ำ การคล้องจอง และจังหวะ มีไว้เพื่อให้จำง่าย และสร้างพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่างในการสื่อสาร
เมื่อกาลเวลาผ่านไป บทกวีกลายเป็นวรรณศิลป์ เป็นเครื่องมือทางภาษาในการบันทึกอารมณ์ ความคิด และมุมมองของมนุษย์ในรูปแบบที่ “ไม่ตรงไปตรงมา” แต่เปี่ยมด้วยความหมาย
บทกวีของโฮเมอร์ เช่น Iliad และ Odyssey ก็ไม่ได้เน้นเรื่องการสัมผัสเสียงในแบบที่เราคุ้นเคย ขณะที่ในโลกตะวันออก เช่น กวีนิพนธ์จีนโบราณหรือบทกวีแบบฮาอิคุของญี่ปุ่น ก็เน้นการเลือกถ้อยคำที่กระชับ กระแทกใจ มากกว่าการคล้องจอง
แนวทางของการเขียนกวีเริ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 – 20 กวีจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า เหตุใดบทกวีต้องผูกติดกับกฎเกณฑ์ฉันทลักษณ์ พวกเขาเริ่มทดลองกับ “บทกวีอิสระ” (Free Verse) ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีสัมผัส ไม่ต้องมีจำนวนพยางค์ตายตัว หรือรูปแบบที่แน่นอน
คือหนึ่งในกวีผู้บุกเบิกบทกวีอิสระ คือ วอลท์ วิทแมน (Walt Whitman) บทกวีของเขาใน Leaves of Grass เปิดโลกให้เห็นว่าถ้อยคำธรรมดาก็สามารถกลายเป็นบทกวีได้ หากเรียงร้อยด้วยจังหวะของความรู้สึกแท้จริง
ต่อมา กวีอย่าง ที.เอส.เอเลียต (T.S. Eliot) , เอซรา พาวด์ (Ezra Pound) , อัลเลน กินส์เบิร์ก (Allen Ginsberg) หรือ ไรเนอร์ มาเรีย ริลเก้ (Rainer Maria Rilke) ต่างก็ผลักขอบเขตของบทกวีออกไปเรื่อย ๆ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการ “ไม่คล้องจอง” ไม่ได้ทำให้บทกวีด้อยลง กลับกัน มันช่วยเปิดอิสระในการสื่อสารความคิดที่ลึกซึ้ง ยากจะนิยาม และใกล้เคียงกับกระแสของจิตใจมากกว่า
การไม่พ้องเสียง ไม่ได้ทำให้บทกวีไร้จังหวะ เพราะจังหวะของบทกวีอาจเกิดจาก การวางคำอย่างมีจังหวะทางอารมณ์ การเว้นวรรค การแบ่งวรรคตอน การสลับเสียงหนักเบา หรือการนำถ้อยคำซ้ำมาใช้เพื่อเน้นความรู้สึก
บทกวีจึงใกล้ชิดกับ “เสียงของจิตใจ” มากกว่าการเขียนร้อยแก้วทั่วไป มันคือการฟังเสียงภายในแล้วถ่ายทอดออกมาในรูปถ้อยคำ ไม่จำเป็นต้องพยายาม “คล้อง” ให้เป็นรูปแบบใด หากมันสามารถ “สั่น” ใจคนอ่านได้
ตัวอย่างกวีที่ไม่มีการคล้องจอง แต่เน้นจังหวะหนัก-เบาของคำแทน
จาก The Odyssey แปลโดย โรเบิร์ต แฟกเกิลส์ (Robert Fagles)
Sing to me of the man, Muse, the man of twists and turns
driven time and again off course, once he had plundered
the hallowed heights of Troy.
Many cities of men he saw and learned their minds,
many pains he suffered, heartsick on the open sea,
fighting to save his life and bring his comrades home.
กวีนิพนธ์ยุคโบราณเช่นของโฮเมอร์จะพึ่ง เสียงหนัก–เบา ของพยางค์ในการสร้างจังหวะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องคล้องจองปลายวรรค ต่างจากกวีภาษาอังกฤษยุคกลางที่เริ่มนิยมใช้ Rhyme และกวีไทยที่มีระบบฉันทลักษณ์ชัดเจน ซึ่งในตัวอย่างนี้ โรเบิร์ตแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ดีเลยทีเดียว และยังคงการเน้นเสียงหนัก-เบาไว้ในบทกวี
บางครั้งบทกวีอาจแค่ประโยคเดียวที่ตั้งโดดเดี่ยวไว้ในหน้ากระดาษ บางครั้งมันอาจใช้ภาษาธรรมดา แต่เรียงวางจนเกิดพลังในใจผู้อ่าน หากเรามีถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก มีจังหวะของอารมณ์ มีภาพในใจที่อยากสื่อ บางครั้งแค่ประโยคธรรมดาๆ ก็อาจกลายเป็นบทกวีได้ โดยไม่ต้องมีคำสัมผัสแม้แต่คำเดียว
ภาพ : source unknown
อ้างอิง
Free Verse Poetry from the 19th Century to Now

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา