Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Witly. - เปิดโลกวิทย์แบบเบา ๆ
•
ติดตาม
2 ก.ค. เวลา 11:30 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
🧠 PTSD รักษาหายไหม? | วิทยาศาสตร์การ 'แฮกสมอง' เพื่อฮีลบาดแผลทางใจ
ภาพของเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินที่บุกเข้าไปในซากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 คือภาพจำของความกล้าหาญที่ไม่เคยจางหาย... เรายกย่องพวกเขาในฐานะวีรบุรุษ แต่อาจไม่เคยรู้ว่าสงครามที่แท้จริงของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้น
มันคือสงครามกับ "บาดแผลในใจหลังเหตุการณ์รุนแรง" หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ซึ่งไม่ใช่แค่ความเศร้าหรือความกลัวที่จางหายไปตามกาลเวลา แต่มันคือภาวะที่วงจรในสมองทำงานผิดปกติ จนขังคนๆ หนึ่งไว้กับอดีตที่เลวร้าย
อาการ Flashback, ฝันร้าย, หรือความหวาดระแวงตลอดเวลา คือวิธีการที่บิดเบี้ยวของสมองที่พยายามจะปกป้องคุณไม่ให้เจ็บปวดซ้ำรอยเดิม มันคือกลไกการเอาตัวรอดที่ทำงานผิดพลาดอย่างรุนแรง สมองพยายามทำให้คุณจดจำทุกรายละเอียดของอันตราย เตรียมพร้อมให้คุณหนีหรือสู้ได้ทันที แต่มันกลับทำเกินพอดีจนกลายเป็นการทรมานตัวเอง
แต่วันนี้ เราจะไปไกลกว่าแค่การทำความเข้าใจอาการ เราจะผ่าเข้าไปดูใจกลางของสมองที่บอบช้ำ และค้นพบเส้นทางแห่งความหวังที่วิทยาศาสตร์ได้ปูทางไว้ให้ นั่นคือ “การรักษา” ที่สามารถซ่อมแซมและจัดเรียงวงจรสมองของเราใหม่ได้จริงๆ
👻 สมองที่ถูกหลอกหลอน - ประสาทวิทยาศาสตร์ของบาดแผลทางใจ
เพื่อที่จะเข้าใจว่าทำไมการรักษาถึงได้ผล เราต้องเข้าใจก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองของเราเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง บาดแผลทางใจไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึก แต่มันสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและการทำงานของสมองได้อย่างน่าทึ่ง
• ภาวะ "Amygdala Hijack": เมื่อสมองส่วนอารมณ์เข้ายึดครอง
ลึกเข้าไปในสมองของเรา มีโครงสร้างรูปอัลมอนด์ที่ชื่อว่า อะมิกดาลา (Amygdala) มันเปรียบเสมือน "ศูนย์บัญชาการความกลัว" หรือ "สัญญาณเตือนภัย" ของร่างกาย เมื่อเรารับรู้ถึงอันตราย (ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน หรือเป็นเพียงความทรงจำเลวร้ายที่ถูกกระตุ้นผ่านภาพ, เสียง, หรือกลิ่น)
อะมิกดาลาจะทำงานทันทีและเข้าควบคุมร่างกาย มันจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลและอะดรีนาลิน ทำให้เกิดอาการใจสั่น, เหงื่อออก, หายใจถี่, และกล้ามเนื้อตึงเครียด เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับสภาวะ "สู้หรือหนี" (Fight-or-Flight) ในผู้ป่วย PTSD สมองส่วนนี้จะไวต่อสิ่งกระตุ้นเป็นพิเศษและทำงานหนักเกินไป (Overactive)
• การ "ปิดสวิตช์" สมองส่วนเหตุผล
ปัญหาใหญ่ของ Amygdala Hijack คือ เมื่ออะมิกดาลาทำงานอย่างบ้าคลั่ง มันจะส่งผลให้การทำงานของ สมองส่วนหน้าผากส่วนหน้า (Prefrontal Cortex - PFC) โดยเฉพาะส่วน Medial PFC (mPFC) ซึ่งเปรียบเสมือน "ผู้บริหาร" หรือ "กัปตัน" ที่ควบคุมเหตุผล, ตรรกะ, และการยับยั้งความกลัว ถูก "ปิดสวิตช์" หรือลดประสิทธิภาพลงชั่วคราว ทำให้เราไม่สามารถใช้เหตุผลได้ว่า "ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว" และจมอยู่กับความกลัว
• ความทรงจำที่ไม่เคยเป็นอดีต
สมองอีกส่วนที่สำคัญคือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งทำหน้าที่สร้าง "ความทรงจำเชิงบริบท" (Contextual Memory) ที่ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น "เมื่อไหร่" และ "ที่ไหน" ในผู้ป่วย PTSD ฮิปโปแคมปัสมักจะทำงานน้อยลงหรือมีขนาดเล็กลง ทำให้ไม่สามารถ "บันทึก" หรือ "ประทับตรา" ความทรงจำที่เลวร้ายนั้นว่าเป็น "อดีต" ได้ ผลคือความทรงจำนั้นจะยังคง "สดใหม่" และพร้อมที่จะถูกกระตุ้นให้กลับมาในรูปแบบของ Flashback ราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นจริงอีกครั้ง
เมื่อ “ระบบเตือนภัย” (อะมิกดาลา) ร้องเตือนไม่หยุด, “ผู้บริหาร” (PFC) ไม่ยอมทำงาน, และ “ฝ่ายเอกสาร” (ฮิปโปแคมปัส) ไม่ยอมจัดเก็บไฟล์เข้าแฟ้มอดีต... ผลลัพธ์ก็คือภาวะ PTSD ที่เราเห็นนั่นเอง
🎭 สี่โฉมหน้าของความเจ็บปวด - ทำความเข้าใจกลุ่มอาการ PTSD
ตามเกณฑ์การวินิจฉัยล่าสุด (DSM-5) อาการของ PTSD ไม่ได้มีแค่การเห็นภาพซ้ำ แต่แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มอาการหลัก ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีครบทุกข้อ แต่ต้องมีอาการในแต่ละกลุ่มที่รบกวนการใช้ชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ
1. การถูกรบกวน (Intrusion Symptoms): คือการที่ความทรงจำของเหตุการณ์กลับมาโดยไม่ต้องการ เช่น
●
Flashbacks: รู้สึกเหมือนกำลังกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้งอย่างสมจริง
●
ฝันร้าย: ฝันถึงเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ
●
ความคิดที่ผุดขึ้นมาเอง: มีภาพหรือความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์แทรกเข้ามาในหัวโดยควบคุมไม่ได้
2. การหลีกเลี่ยง (Avoidance): คือการพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นให้คิดถึงเหตุการณ์นั้น
●
การหลีกเลี่ยงภายนอก: เช่น ไม่ไปในสถานที่ที่เคยเกิดเหตุ, ไม่ดูข่าว, ไม่คุยกับคนที่เกี่ยวข้อง
●
การหลีกเลี่ยงภายใน: เช่น พยายามไม่คิดถึง, ไม่พูดถึง, หรือไม่รู้สึกถึงอารมณ์ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์
3. การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและอารมณ์ในเชิงลบ (Negative Alterations in Cognition and Mood):
●
ความทรงจำที่บิดเบือน: จำรายละเอียดสำคัญของเหตุการณ์ไม่ได้
●
ความคิดลบต่อตนเองและโลก: รู้สึกผิด, โทษตัวเอง, มองว่าโลกนี้อันตรายไปหมด, ไม่สามารถไว้วางใจใครได้
●
อารมณ์ด้านลบเรื้อรัง: รู้สึกเศร้า, โกรธ, ละอายใจ, หรือชาด้าน ไม่สามารถรู้สึกถึงความสุขหรือความรักได้
4. การเปลี่ยนแปลงในภาวะตื่นตัวและการตอบสนอง (Alterations in Arousal and Reactivity):
●
ภาวะตื่นตัวตลอดเวลา (Hypervigilance): รู้สึกหวาดระแวง, คอยสอดส่องอันตรายรอบตัวตลอดเวลา
●
ตกใจง่ายเกินเหตุ (Exaggerated Startle Response): สะดุ้งตกใจรุนแรงกับเสียงหรือสิ่งที่ไม่คาดคิด
●
หงุดหงิดง่าย/โกรธง่าย: ควบคุมอารมณ์โกรธได้ยาก
●
พฤติกรรมเสี่ยง: เช่น การขับรถเร็ว, การใช้สารเสพติด
🔧 จัดวงจรสมองใหม่ - เจาะลึกการบำบัดที่มุ่งเน้นบาดแผลทางใจ
เมื่อเรารู้แล้วว่าสมองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การรักษาก็ไม่ใช่แค่ “การพูดคุยเพื่อให้สบายใจ” อีกต่อไป แต่มันคือกระบวนการ “ฝึกและจัดเรียงวงจรสมองใหม่” (Rewiring the Brain) โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการ "สอน" ให้สมองเรียนรู้ว่า "อดีตคืออดีต" และ "ปัจจุบันคือความปลอดภัย" การบำบัดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่ามีประสิทธิภาพสูง (Gold Standard) มีดังนี้:
1. Cognitive Processing Therapy (CPT): การบำบัดด้วยการประมวลผลทางความคิด
• หลักการ: CPT เป็นรูปแบบหนึ่งของ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ที่มุ่งเน้นไปที่การท้าทายและปรับเปลี่ยน "ความคิดที่ติดขัด" (Stuck Points) ที่เกิดจาก Trauma เช่น "มันเป็นความผิดของฉัน" หรือ "ฉันไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกแล้ว"
• วิธีการ: นักบำบัดจะช่วยให้ผู้ป่วยได้สำรวจความคิดเหล่านี้ผ่านการพูดคุยและการเขียน เพื่อชี้ให้เห็นว่าความคิดนั้นบิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างไร และช่วยสร้างความคิดใหม่ที่เป็นประโยชน์และสมเหตุสมผลกว่า ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้สมองส่วนหน้า (PFC) กลับมาทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่อย่างมีเหตุผล
2. Prolonged Exposure Therapy (PE): การบำบัดด้วยการเผชิญหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• หลักการ: PE ตั้งอยู่บนหลักการ "Habituation" หรือการสร้างความคุ้นชิน เพื่อลดปฏิกิริยาความกลัวของอะมิกดาลา
• วิธีการ: ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ผู้ป่วยจะได้ค่อยๆ "เผชิญหน้า" กับความทรงจำ (ผ่านการเล่าเรื่องในจินตนาการ หรือ Imaginal Exposure) และสิ่งกระตุ้นในชีวิตจริงที่เคยหลีกเลี่ยง (In Vivo Exposure) ซ้ำๆ เมื่อสมองได้เรียนรู้ว่าการเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้นำมาซึ่งอันตรายที่เคยกลัว "สัญญาณเตือนภัย" ของอะมิกดาลาก็จะค่อยๆ เบาลงและสงบลงในที่สุด
3. Eye Movement Desensitization and Reprocessing (EMDR): การบำบัดเพื่อลดความไหวของความทรงจำและประมวลผลใหม่
• หลักการ: ทฤษฎีเบื้องหลังเชื่อว่า การกระตุ้นสองข้าง (Bilateral Stimulation) เช่น การกรอกตาตามแสง, การฟังเสียงสลับซ้าย-ขวา, หรือการเคาะเบาๆ ที่เข่า อาจเลียนแบบการทำงานของสมองในช่วง REM sleep ซึ่งเป็นช่วงที่สมองประมวลผลความทรงจำทางอารมณ์ตามธรรมชาติ
• วิธีการ: นักบำบัดจะให้ผู้ป่วยจดจ่อกับความทรงจำที่เจ็บปวดไปพร้อมๆ กับการกระตุ้นสองข้าง เชื่อกันว่าวิธีนี้จะช่วยให้สมอง "ปลดล็อก" และ "ย่อย" ความทรงจำที่ติดค้างอยู่ และจัดเก็บมันใหม่ในรูปแบบที่ไม่สร้างความทุกข์ทรมานเท่าเดิม ทำให้เมื่อนึกถึงมันอีกครั้ง มันจะกลายเป็นเพียง "ความทรงจำ" ไม่ใช่ "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ"
🌈 มากกว่าการบำบัด - เส้นทางแห่งความหวังอื่นๆ
นอกจากการบำบัดทางจิตใจแล้ว ยังมีแนวทางการรักษาอื่นๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะการใช้ยาควบคู่ไปกับการบำบัด
• การรักษาด้วยยา (Medication): ยาในกลุ่ม SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) เช่น Sertraline (Zoloft) และ Paroxetine (Paxil) เป็นยาเพียงสองชนิดที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐฯ ให้ใช้เป็นยาหลักสำหรับรักษา PTSD โดยเฉพาะ ยาเหล่านี้จะช่วยเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน ซึ่งช่วยควบคุมอารมณ์, ลดความวิตกกังวล, และลดอาการซึมเศร้า ทำให้ผู้ป่วยมีสภาวะจิตใจที่มั่นคงพอที่จะเข้ารับการบำบัดทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• การรักษาแนวใหม่ที่กำลังวิจัย: วงการแพทย์กำลังศึกษาแนวทางการรักษาใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มที่ดีอย่างยิ่ง เช่น MDMA-assisted psychotherapy ซึ่งใช้สาร MDMA ในปริมาณควบคุมเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเปิดใจและเผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวดได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ และ Stellate Ganglion Block ซึ่งเป็นการฉีดยาชาเข้าไปที่กลุ่มปมประสาทบริเวณคอเพื่อ "รีเซ็ต" ระบบประสาทซิมพาเทติกที่ทำงานหนักเกินไป ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งในทหารผ่านศึกบางราย
🏡 บริบทของไทย - วัฒนธรรม "ใจสู้" และการเข้าถึงการรักษา
เรื่องราวของวีรบุรุษ 9/11 คือกระจกสะท้อนมาถึง "เจ้าหน้าที่ด่านหน้า" ของประเทศไทยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัย, พนักงานดับเพลิง, ตำรวจ, ทหาร, หรือบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน พวกเขาคือคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและความเป็นความตายในทุกๆ วัน
วัฒนธรรมไทยที่เน้น "ความอดทน" และ "ใจสู้" นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันอาจกลายเป็น "อุปสรรค" ที่ทำให้คน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ รู้สึกว่าการยอมรับว่าตนเองมีบาดแผลทางใจหรือการขอความช่วยเหลือทางจิตใจเป็นเรื่องของ "ความอ่อนแอ" ซึ่งตอกย้ำสมมติฐานของ แพทริเซีย เรซิก ที่ว่าเจ้าหน้าที่ด่านหน้ามักจะรอจนทนไม่ไหวจริงๆ ถึงจะยอมเข้ารับการรักษา
การสร้างความตระหนักรู้ว่า PTSD เป็น "บาดแผลจากการทำงาน" ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคล และการสร้างระบบสนับสนุนที่เข้าถึงง่ายและไม่มีมลทินในองค์กรเหล่านี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่สังคมไทยต้องร่วมกันแก้ไข การดูแลสุขภาพจิตของพวกเขาไม่ใช่แค่เรื่องของสวัสดิการ แต่คือ "หนี้ทางศีลธรรม" ที่สังคมติดค้างต่อผู้ที่เสียสละเพื่อเรา
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ประสาทวิทยาของ Trauma: บาดแผลทางใจเปลี่ยนแปลงสมองจริง โดยทำให้สมองส่วนเตือนภัย (Amygdala) ทำงานหนักเกินไป, สมองส่วนจัดเก็บความทรงจำ (Hippocampus) ทำงานผิดพลาด, และสมองส่วนเหตุผล (Prefrontal Cortex) ถูกกดการทำงาน
✅ อาการหลัก 4 กลุ่ม: อาการ PTSD ไม่ใช่แค่การเห็นภาพซ้ำ แต่ครอบคลุมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น, การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความคิดในเชิงลบ, และภาวะตื่นตัวหวาดระแวงตลอดเวลา
✅ การบำบัดคือการ "จัดวงจรสมองใหม่": หัวใจของการรักษาที่ได้ผล (เช่น CPT, PE, EMDR) คือการ "ฝึก" สมองให้เรียนรู้ว่าอันตรายได้ผ่านไปแล้ว และช่วยให้สมองจัดเก็บความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นให้กลายเป็น "อดีต" ได้อย่างสมบูรณ์
✅ มีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย: นอกจากการบำบัดทางจิตใจแล้ว การใช้ยาในกลุ่ม SSRIs ควบคู่กันไปก็สามารถช่วยควบคุมอาการและทำให้การบำบัดได้ผลดีขึ้น
✅ ปฐมพยาบาล vs. การรักษา: เทคนิคการดึงสติ (Grounding) เป็นเครื่องมือ "ปฐมพยาบาล" ที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับภาวะเรื้อรัง การพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษาที่ต้นตอคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
หลังจากได้เจาะลึกถึงกลไกของสมองและวิธีการรักษาที่หลากหลาย คุณคิดว่าอะไรคือ "อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด" ในสังคมไทย ที่ทำให้ผู้คน (โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ด่านหน้า) ไม่กล้าที่จะก้าวออกมาขอความช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิตครับ? และเราในฐานะคนในสังคมจะช่วยทลายกำแพงนั้นได้อย่างไร?
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Harvey, A. (2025). Coping with PTSD. Psychology Now, 8, 16-20.
💖 มาช่วยกันขับเคลื่อน "Witly" กันครับ!
การเดินทางเพื่อ "เยียวยา" บาดแผลทางใจที่มองไม่เห็นนั้น ต้องอาศัยทั้งความกล้าหาญ, ความเข้าใจ, และ "เครื่องมือ" ที่ถูกต้อง...
เป้าหมายของ Witly ก็เช่นกัน คือการมอบ "เครื่องมือทางปัญญา" ผ่านการเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและโลกรอบข้างได้ดีขึ้น
ทุกการสนับสนุนผ่าน "ค่ากาแฟ" ของคุณ คือพลังที่ช่วยให้เราสามารถสร้างสรรค์ "ชุดเครื่องมือ" แห่งความรู้และความหวังนี้ต่อไปได้ครับ
วิทยาศาสตร์
สุขภาพจิต
จิตวิทยา
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Psy.Know
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย