20 ก.ค. เวลา 10:19 • สุขภาพ

“ Apolipoprotein คืออะไร ” ความลับของเหล่าภาชนะบรรทุกไขมัน และความจริงที่อยู่เบื้องหลัง

  • แกะรอยไขมันในเลือด: รู้จัก Apolipoprotein 'แสตมป์' ชี้วัดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด 🏷️
เราทุกคนต่างคุ้นเคยกับการตรวจไขมันในเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) , ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) , ไขมันดี (HDL) หรือไขมันเลว (LDL) แต่เคยสงสัยไหมว่าไขมันเหล่านี้เดินทางในกระแสเลือดซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักได้อย่างไร?
คำตอบอยู่ที่ "ยานพาหนะ" ที่เรียกว่า ไลโปโปรตีน (Lipoprotein) และบนยานพาหนะแต่ละคัน จะมี "แสตมป์" หรือป้ายระบุตัวตนที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ อะโพลิโปโปรตีน (Apolipoprotein)
บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ "แสตมป์" เหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ไขมันเดินทางได้ แต่ยังเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของไขมัน และเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สำคัญอย่างยิ่ง
  • Apolipoprotein คืออะไร และมีหน้าที่อะไร?
Apolipoprotein (Apo) คือโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของไลโปโปรตีน เปรียบเสมือน "แสตมป์" หรือ "ป้ายทะเบียน" บนยานพาหนะขนส่งไขมัน มีหน้าที่หลัก 4 ประการคือ
1. รักษาโครงสร้าง (Structural Integrity)
เป็นเหมือนโครงสร้างของยานพาหนะ ช่วยห่อหุ้มไขมันที่ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic) ไว้ด้านใน และหันส่วนที่ชอบน้ำ (hydrophilic) ออกด้านนอก ทำให้ไลโปโปรตีนสามารถลอยตัวและเดินทางในกระแสเลือดได้
2. เป็นตัวนำส่ง (Receptor Ligand)
ทำหน้าที่เป็น "กุญแจ" ที่จะไปจับกับ "แม่กุญแจ" หรือตัวรับ (receptor) บนผิวเซลล์ต่างๆ เพื่อนำส่งไขมันเข้าไปในเซลล์ที่ต้องการใช้งาน
3. เป็นตัวกระตุ้นเอนไซม์ (Enzyme Cofactor)
ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญไขมัน เช่น การสลายไตรกลีเซอไรด์ หรือการสร้างไขมันดี
4. เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ (Enzyme Inhibitor)
ในทางกลับกัน ก็สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางชนิดได้เช่นกัน
  • "แสตมป์" บนยานพาหนะแต่ละชนิด: ใครติดแสตมป์อะไรบ้าง? 🏷️
ไลโปโปรตีนแต่ละชนิดมีต้นกำเนิด, หน้าที่, และ "แสตมป์" ประจำตัวที่แตกต่างกันไป
1. ไคโลไมครอน (Chylomicron)
-- ต้นกำเนิด: ลำไส้เล็ก (จากการดูดซึมไขมันในอาหาร)
-- หน้าที่หลัก: ขนส่ง "ไตรกลีเซอไรด์จากอาหารในลำไส้เล็ก" ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
-- Apolipoprotein Stamps--
  • ApoB-48: เป็นแสตมป์โครงสร้างหลัก ติดตัวมาตั้งแต่เกิดที่ลำไส้เล็ก และมีเพียง 1 โมเลกุลต่อ 1 chylomicron เท่านั้น
  • ApoC-II: รับมาจาก HDL ทำหน้าที่เป็น "กุญแจ" สำคัญในการกระตุ้นเอนไซม์ Lipoprotein Lipase (LPL) ที่ผนังหลอดเลือด เพื่อสลายไตรกลีเซอไรด์และส่งให้เซลล์นำไปใช้เป็นพลังงาน
  • ApoE: รับมาจาก HDL เช่นกัน ทำหน้าที่เป็น "กุญแจ" สำหรับให้ตับเก็บ Chylomicron remnant (ส่วนที่เหลือหลังสลายไตรกลีเซอไรด์) กลับไปทำลาย
Chylomicron พี่ใหญ่แห่งวงการขนส่งจากลำไส้
2. VLDL (Very Low-Density Lipoprotein)
-- ต้นกำเนิด: ตับ
-- หน้าที่หลัก: ขนส่ง "ไตรกลีเซอไรด์ที่ตับสร้างขึ้น" ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
-- Apolipoprotein Stamps --
  • ApoB-100: เป็นแสตมป์โครงสร้างหลักที่สำคัญที่สุด มีเพียง 1 โมเลกุลต่อ 1 VLDL particle และจะติดตัวไปตลอดจนกระทั่ง VLDL กลายเป็น IDL และ LDL
  • ApoC-II และ ApoE: รับมาจาก HDL เพื่อทำหน้าที่คล้ายกับใน Chylomicron
VLDL บรรทุกจัดเต็มออกจากโรงงานตับ
3. IDL (Intermediate-Density Lipoprotein)
-- ต้นกำเนิด: เกิดจากการสลาย VLDL ในกระแสเลือด
-- หน้าที่หลัก: เป็นอนุภาคที่อยู่ระหว่างกลาง ก่อนจะกลายเป็น LDL
-- Apolipoprotein Stamps --
  • ApoB-100: แสตมป์เดิมที่ติดตัวมา
  • ApoE: ยังคงอยู่เพื่อช่วยในการจับกับตัวรับที่ตับ
4. LDL (Low-Density Lipoprotein)
-- ต้นกำเนิด: เป็นผลผลิตสุดท้ายของ VLDL/IDL pathway
-- หน้าที่หลัก: ขนส่ง "คอเลสเตอรอล" ไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
-- Apolipoprotein Stamps --
  • ApoB-100: เป็นแสตมป์ เพียงชนิดเดียว ที่เหลืออยู่บน LDL ทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการจับกับ LDL receptor บนผิวเซลล์ เพื่อนำคอเลสเตอรอลเข้าสู่เซลล์
5. HDL (High-Density Lipoprotein)
-- ต้นกำเนิด: ตับและลำไส้เล็ก
-- หน้าที่หลัก: "ขนส่งคอเลสเตอรอลส่วนเกิน" จากเซลล์ต่างๆ กลับไปที่ตับ (Reverse Cholesterol Transport) และเป็น "คลัง" สำรอง ApoC และ ApoE ให้กับ Chylomicron และ VLDL
-- Apolipoprotein Stamps --
  • ApoA-I: เป็นแสตมป์โครงสร้างหลักและสำคัญที่สุด ทำหน้าที่กระตุ้นเอนไซม์ Lecithin-cholesterol acyltransferase (LCAT) ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเก็บคอเลสเตอรอล
  • ApoA-II: เป็นโปรตีนโครงสร้างสำคัญอีกตัวหนึ่ง
  • Apolipoprotein ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVS Risk) 🏷️
ไม่ใช่ Apolipoprotein ทุกตัวจะส่งผลเหมือนกัน บางตัวเพิ่มความเสี่ยง (Atherogenic) ในขณะที่บางตัวช่วยป้องกัน (Anti-atherogenic)
-- กลุ่มเพิ่มความเสี่ยง (Atherogenic): ApoB --
  • ApoB-100 คือตัวชี้วัดความเสี่ยงที่ดีที่สุด เพราะไลโปโปรตีนที่ก่อให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือดทุกชนิด (VLDL, IDL, LDL, และ Chylomicron remnants) จะมี ApoB-100 (หรือ ApoB-48) ติดอยู่เพียง 1 โมเลกุลเสมอ
  • ดังนั้น การวัดระดับ ApoB จึงเท่ากับ "การนับจำนวน" อนุภาคไขมันที่เป็นสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดทั้งหมด ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงได้แม่นยำกว่าการวัดแค่ปริมาณคอเลสเตอรอลใน LDL (LDL-C) เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานหรือ Metabolic syndrome ที่มักมี LDL อนุภาคเล็กแต่มีจำนวนมาก (Small dense LDL) ซึ่งแม้ระดับ LDL-C อาจไม่สูง แต่ระดับ ApoB จะสูงและบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่แท้จริง
LDL-C มีทั้งใหญ่ (LbLDL) และเล็ก (sdLDL) เมื่อเราชั่งน้ำหนัก ในขณะที่ ApoB เป็นการวัด “จำนวน”
-- กลุ่มป้องกัน (Anti-atherogenic): ApoA-I--
  • ApoA-I เป็นตัวแทนของไขมันดี HDL ยิ่งมีระดับ ApoA-I สูง ยิ่งหมายถึงมีกระบวนการขนส่งคอเลสเตอรอลส่วนเกินกลับไปทำลายที่ตับ (Reverse Cholesterol Transport) ที่ดี ซึ่งช่วยลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในผนังหลอดเลือด
-- อัตราส่วนชี้วัดความเสี่ยง --
  • อัตราส่วน ApoB/ApoA-I ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีที่สุดตัวหนึ่ง เพราะเป็นการเปรียบเทียบ "จำนวน" อนุภาคไขมันเลวทั้งหมด ต่อ "จำนวน" อนุภาคไขมันดีทั้งหมด
-- Novel Risk Factor ที่น่าจับตา: Lipoprotein(a) 📛
  • เป็นไลโปโปรตีนคล้าย LDL ที่มี ApoB-100 และมีโปรตีนพิเศษชื่อ Apolipoprotein(a) หรือ Apo(a) เกาะอยู่
  • Apo(a) มีโครงสร้างคล้าย Plasminogen ทำให้ Lp(a) ไม่เพียงแต่เพิ่มการสะสมไขมัน แต่ยังอาจขัดขวางกระบวนการสลายลิ่มเลือด (Fibrinolysis) และกระตุ้นการอักเสบ ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระที่สำคัญและมักถูกกำหนดโดยพันธุกรรม
  • ข้อจำกัด: ทำไมเรายังใช้ LDL-C และ non-HDL Cholesterol เป็นหลัก? 🙋
แม้ว่าการวัด ApoB จะสะท้อนความเสี่ยงได้แม่นยำ แต่ในทางปฏิบัติทั่วไป เรายังคงใช้ค่า LDL-C และ non-HDL-C เป็นหลักในการประเมินและติดตามผลการรักษาด้วยเหตุผลหลายประการ
1. ความพร้อมและค่าใช้จ่าย (Availability & Cost)
  • การตรวจวัดระดับไขมันมาตรฐาน (Lipid profile) ซึ่งให้ค่า Total Cholesterol, HDL-C, และ Triglycerides นั้นมีราคาถูกและทำได้ในห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่ทั่วโลก
  • ขณะที่การวัด ApoB โดยตรงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและยังไม่แพร่หลายเท่า
2. มาตรฐานและการยอมรับในแนวทางเวชปฏิบัติ (Guideline Standardization)
  • แนวทางการรักษาโรคไขมันในเลือดสูงทั่วโลก (เช่น ACC/AHA, ESC/EAS) ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลการศึกษาวิจัยขนาดใหญ่ (Landmark trials) ที่ใช้ LDL-C เป็นเป้าหมายหลักในการรักษามานานหลายทศวรรษ
  • การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายหลักไปที่ ApoB จึงต้องใช้เวลาและข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม
3. non-HDL Cholesterol: ตัวแทนของ ApoB ที่ดีและง่าย
  • ปัจจุบัน แนวทางเวชปฏิบัติหลายฉบับแนะนำให้ใช้ non-HDL Cholesterol (non-HDL-C) เป็นเป้าหมายรองหรือเป้าหมายร่วมในการรักษา
  • คำนวณได้ง่ายๆ จาก non-HDL-C = Total Cholesterol - HDL-C
  • ค่า non-HDL-C นี้จะรวมคอเลสเตอรอลที่อยู่ในไลโปโปรตีนที่ก่อโรคทุกชนิด (LDL, VLDL, IDL, Lp(a)) ซึ่งก็คืออนุภาคที่มี ApoB เป็นองค์ประกอบทั้งหมดนั่นเอง
  • ดังนั้น non-HDL-C จึงเป็นตัวแทน (proxy) ของ ApoB ที่ดีมาก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม และแก้ปัญหาของ LDL-C ที่คำนวณจากสูตร Friedewald ซึ่งจะคลาดเคลื่อนเมื่อผู้ป่วยมีไตรกลีเซอไรด์สูง (>400 mg/dL) ได
--- สรุป ---
  • Apolipoprotein คือ "แสตมป์" ระบุตัวตนและสั่งการบนยานพาหนะขนส่งไขมัน ApoB คือแสตมป์ของกลุ่มไขมันที่เป็นความเสี่ยงทั้งหมด
  • ขณะที่ ApoA-I คือแสตมป์ของไขมันดี
  • แม้ว่าการวัด ApoB โดยตรงจะเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงที่แม่นยำ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายและความแพร่หลาย การใช้ non-HDL-C ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณได้ง่ายจากผลตรวจไขมันมาตรฐาน จึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมและได้รับการยอมรับมากขึ้นในการประเมิน "ความเสี่ยงรวมจากไขมันทั้งหมด" เพื่อการป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา